ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 313 โชคดีวันเปิดกิจการ(2)
ตอนที่ 313 โชคดีวันเปิดกิจการ(2)
ตอนที่ 313 โชคดีวันเปิดกิจการ(2)
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันพยักหน้าและกล่าว “ใช่ค่ะ ยังต้องหาพนักงานอีกจำนวนหนึ่ง”
“ไม่ทราบว่าการรับสมัครพนักงานของโรงงานนี้ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?”
ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้พลันยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “ก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่สามารถผ่านการสัมภาษณ์ของฉันได้แค่นั้นก็พอแล้ว” เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย เธอมองหลิวเสวียข่ายและกล่าว “หัวหน้าหลิว หากคุณมีคนที่เหมาะสมก็สามารถแนะนำมาได้นะคะ”
“ได้ครับ เมื่อถึงตอนนั้นผมจะให้คนเข้ามาสัมภาษณ์ดู”
มีโรงงานเครื่องสำอางแห่งนี้แล้วก็สามารถแก้ไขปัญหาการจ้างงานของคนบางกลุ่มได้ ดังนั้นเมื่อเห็นความสำเร็จ เขาเองก็ย่อมมีความสุข
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งที่อยู่ด้านข้างนั้นประหม่าเล็กน้อย แม้ว่าพวกหล่อนจะเป็นคนงานของโรงงานแล้ว แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าก็ดูเหมือนกับผู้บริหาร คนที่เขาแนะนำเข้ามานั้นจะเป็นหัวหน้าทันทีที่เข้ามาหรือเปล่า เดิมทีพวกหล่อนก็คิดจะใช้เส้นสายของฉินมู่หลาน รวมถึงความขยันภายในอนาคตของพวกหล่อน จากนั้นก็ค่อยๆไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไป
ทั้งสองคนพากันคิดมาก ส่วนฉินมู่หลานนั้นกลับไม่คิดอะไรเลย หากคนที่เข้ามานั้นมีความสามารถ เธอก็รับไว้ แต่หากไม่สามารถผ่านการสัมภาษณ์ของเธอได้ ต่อให้หลิวเสวียข่ายจะแนะนำมาก็ไร้ประโยชน์
หลังจากคุยกับหลิวเสวียข่ายอยู่ชั่วครู่ ฉินมู่หลานพลันเอ่ยถึงเรื่องเครื่องสำอางล็อตแรก “หัวหน้าหลิว เครื่องสำอางล็อตแรกพร้อมขายเรียบร้อยแล้วนะคะ เดี๋ยวฉันจะให้คนไปจัดส่งให้ที่ร้านค้าจีนโพ้นทะเลและห้างโหยวอี้ คุณเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการขายเมื่อไรเหรอคะ?”
หลิวเสวียข่ายได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยทันใด “คุณเตรียมพร้อมแล้วเหรอ งั้นพรุ่งนี้ก็สามารถจัดการได้เลย”
ได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พรุ่งนี้เหรอ? เร็วเกินไปหรือเปล่าคะ พวกเราเองไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนขนาดนี้ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ค่ะ ทางที่ดีที่สุดควรจะอุ่นเครื่องก่อน ทำให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้านั้นรับรู้ว่าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางของพวกเรานั้นกำลังจะเปิดขายเครื่องสำอางแล้ว”
“อุ่นเครื่องเหรอ? อุ่นเครื่องอะไร?”
“ทำให้ทุกคนรู้ว่าพวกเรานั้นจะขายเครื่องสำอางวันไหน ขณะเดียวกันพวกเราเองก็สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้” เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย ฉินมู่หลานก็กล่าว “หัวหน้าหลิว เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะเตรียมแผนการขายมาให้คุณดูนะคะ”
“ได้เลยครับ”
หลิวเสวียข่ายพลันเกิดความรู้สึกคาดหวังเล็กน้อย
ครั้งก่อนฉินมู่หลานกล่าวว่าตำแหน่งการจัดวางของเคาน์เตอร์นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอ สุดท้ายแล้วเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจ กระทั่งเมื่อเขาได้เห็นเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเหล่านั้นอีกครั้ง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยกล้ายอมรับเท่าไรนัก
การจัดวางนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายความคลาสสิค เพียงแรกเห็นก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของประเทศจีนของพวกเขา เพียงแรกเห็นก็ทำให้ผู้คนเห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศของพวกเขา เมื่อเคาน์เตอร์อื่นได้เห็นก็พลันเอ่ยถามเจ้าหน้าที่รับผิดชอบร้านค้าว่าสามารถจัดวางแบบนี้ได้หรือไม่ กระทั่งผู้คนต่างรับรู้ว่าเป็นการตกแต่งด้วยตัวเจ้าของร้านเอง พวกเขาต่างก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าหลิวเสวียข่ายตอบตกลง ฉินมู่หลานก็คิดไว้แล้วว่าจะใช้กลยุทธ์การขายแบบใด คิดว่าช่วงหลายวันนั้นที่ทำการเปิดธุรกิจ เคาน์เตอร์จะต้องคึกคักอย่างแน่นอน
หลังจากทั้งสองคนกล่าวจบ ฉินมู่หลานพลันโบกมือให้กับเยว่เจินจูและให้หล่อนเข้ามา
เยว่เจินจูเห็นสถานการณ์นี้ก็พลันรีบเดินเข้ามา
ฉินมู่หลานชี้ไปทางเยว่เจินจูและเอ่ยแนะนำ “คนนี้คือช่างแต่งหน้าที่ฉันแนะนำให้ไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อถึงวันเปิดการขายฉันจะไปที่นั่นพร้อมกับหล่อนค่ะ”
หลิวเสวียข่ายมองเยว่เจินจู จากนั้นยิ้มและเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับ คุณเยว่”
เยว่เจินจูรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อยเมื่อได้รับความสำคัญ คนตรงหน้านี้เป็นผู้นำของกระทรวงพาณิชย์ หล่อนจึงรีบโค้งคำนับทักทายและเอ่ย “สวัสดีค่ะ หัวหน้าหลิว”
หลังจากพูดคุยกับเยว่เจินจูด้วยคำพูดสองประโยคอย่างเรียบง่าย หลิวเสวียข่ายหันศีรษะมองฉินมู่หลานพลางเอ่ย “งั้นผมจะรอแผนการขายของคุณ หลังจากได้รับการยืนยันแล้ว พวกเราจะเลือกวันที่ดีและเปิดเคาน์เตอร์เครื่องสำอางอย่างเป็นทางการ”
“ตกลงค่ะ”
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการเปิด หลิวเสวียข่ายเป็นฝ่ายกลับไปก่อน นายท่านเหยาและคนอื่นต่างก็เตรียมกลับไปเช่นกัน ส่วนฉินมู่หลานและพวกเหยาจิ้งจือต่างยังอยู่ที่นี่ต่อ เพราะทางด้านนี้ยังมีเรื่องมากมายต้องสะสาง
ฉินมู่หลานสรุปรายละเอียดทุกอย่างเสร็จแล้วก็ส่งมอบให้กับเหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋ หากพวกหล่อนมีปัญหาอะไรก็สามารถถามเธอได้เลย ส่วนตัวเธอนั้นก็เริ่มเขียนแผนการขาย
ฉินมู่หลานครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ สุดท้ายก็ได้ตัดสินใจว่าวันเปิดเคาน์เตอร์เครื่องสำอางจะลดราคาสินค้าทุกชิ้นลงสิบเปอร์เซ็นต์ หากซื้อของมากกว่าสามร้อยหยวนแถมเซรั่มบำรุงผิวขวดหนึ่ง ซื้อของมากกว่าห้าร้อยหยวนได้รับครีมบำรุงผิวขวดหนึ่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งของแถมเหล่านี้ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตโดยโรงงานเครื่องสำอาง
นอกจากการแต่งหน้าให้งดงามแล้ว การบำรุงผิวก็สำคัญมากเช่นกัน
และผู้ที่ใช้จ่ายมากกว่าสามร้อยหยวนยังขอรับการแต่งหน้าได้ฟรี ขณะเดียวกันยังสามารถเข้าร่วมลอตเตอรี่ได้อีกด้วย รางวัลที่หนึ่งคือโทรทัศน์หนึ่งเครื่อง รางวัลที่สองคือวิทยุเครื่องหนึ่ง รางวัลที่สามคือจักรยานหนึ่งคัน รางวัลที่สี่คือนาฬิกาข้อมือทิโทนีหนึ่งเรือน รางวัลที่ห้าคือปากกา รางวัลผู้โชคดีที่เหลือนั้นคือสบู่หอมคนละก้อน ส่วนของคำขอบคุณสำหรับการอุดหนุนของลูกค้าก็ไม่มีอะไรแล้ว
เมื่อเขียนสิ่งเหล่านี้เสร็จ ฉินมู่หลานก็ส่งแผนการขายฉบับนี้ให้กับหลิวเสวียข่ายทันที
ก่อนหน้านี้หลิวเสวียข่ายไม่เคยเห็นแผนการขายเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเพียงว่าแปลกใหม่มาก อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นของรางวัลเหล่านั้น เขาก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “คุณมู่หลาน ของรางวัลนี้……ดีเกินไปหรือเปล่า คุณทำแบบนี้จะขาดทุนหรือเปล่า”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา อย่างไรก็ตามรางวัลที่หนึ่งถึงรางวัลที่ห้านั้นมีเพียงแค่อย่างละหนึ่งรางวัลเท่านั้น ส่วนสบู่หอม โรงงานของพวกเรานั้นผลิตเอง ดังนั้นไม่ได้เสียเงินอะไรเท่าไรนัก”
หลิวเสวียข่ายยังคงรู้สึกว่ารางวัลมากมายขนาดนี้จะทำให้ขาดทุนมาก แต่สิ่งของเหล่านี้ฉินมู่หลานเป็นคนจัดการด้วยตนเอง เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
“หัวหน้าหลิว งั้นห้าวันหลังจากนี้พวกเราจะเปิดเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ช่วงสองสามวันนี้อยากจะรบกวนร้านค้าทั้งสองแห่งช่วยทำการประชาสัมพันธ์ให้สักหน่อยนะคะ”
“ประชาสัมพันธ์เหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางฉงนเล็กน้อยของหลิวเสวียข่าย ฉินมู่หลานหยิบใบปลิวที่วาดเอาไว้แผ่งหนึ่งออกมา “ค้นหากลุ่มเป้าหมาย เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยแจกใบปลิว สามารถดึงดูดผู้คนจำนวนหนึ่งได้อย่างแน่นอน ส่วนลูกค้าต่างชาติเหล่านั้นทำได้เพียงแค่พึ่งพาพวกคุณให้พาเข้ามาดู”
หลังจากหลิวเสวียข่ายได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน เขารู้สึกเพียงว่าเขาได้เปิดช่องทางความคิดใหม่ “ตกลง เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”
เมื่อเห็นหลิวเสวียข่ายกล่าวเช่นนี้ ฉินมู่หลานพยักหน้าและไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้อีก
หลายวันมานี้เพื่อเรื่องเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ฉินมู่หลานยุ่งเป็นอย่างมากและเกือบจะพักอยู่ที่โรงงานแล้ว อย่างไรก็ตามเธอยังต้องเฝ้ามองการผลิตสบู่และยังต้องปรึกษาเรื่องการแต่งหน้ากับเยว่เจินจู ขณะเดียวกันยังต้องให้ความสนใจกับการโฆษณาของหลิวเสวียข่าย
กระทั่งถึงวันเปิดธุรกิจ ฉินมู่หลานออกเดินทางไปยังห้างโหยวอี้ตั้งแต่เช้าตรู่
หลิวเสวียข่ายกำลังรอฉินมู่หลานอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นเธอเข้ามาแล้วก็รีบเอ่ยทันใด “วันนี้มีลูกค้าต่างชาติกลุ่มหนึ่งเข้ามาด้วย ดังนั้นคุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันพยักหน้า ขณะเดียวกันก็มองหลิวเสวียข่ายและเอ่ย “ฉันเข้าไปก่อนนะคะ”
ฉินมู่หลานอยู่ที่ห้างโหยวอี้ ส่วนเยว่เจินจูนั้นไปยังร้านค้าจีนโพ้นทะเล ทั้งสองคนแยกกันทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถแต่งหน้าให้กับลูกค้าได้อย่างดี
เมื่อมาถึงเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ฉินมู่หลานเห็นท่าทางการเตรียมพร้อมของพนักงานขาย ก็เอ่ยถามชื่อของสินค้าจากพนักงานขายสองคนนั้น เมื่อเห็นว่าพวกหล่อนจดจำได้ดีเป็นอย่างมากก็พยักหน้า ก่อนหน้าที่จะส่งสินค้าล็อตแรกให้กับหลิวเสวียข่าย ก็ได้เอ่ยกำชับให้พนักงานจดจำชื่อและสรรพคุณของเครื่องสำอางเหล่านี้ให้ได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เห็นว่าการแต่งหน้าของพนักงานสองคนนั้นยังไม่เด่นชัด เธอก็โบกมือให้กับพวกหล่อน “ฉันจะเติมหน้าให้พวกเธออีกสักหน่อย”
เดิมทีทั้งสองคนนั้นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพวกหล่อนก็เห็นด้วยเมื่อได้เห็นการแต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อนบนใบหน้าของฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานจัดการด้วยความคล่องแคล่วว่องไว จนพนักงานทั้งสองคนนั้นดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้ทั้งสองคนต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ “นี่…..นี่มหัศจรรย์เกินไปแล้ว”
“อันที่จริงแล้วมันไม่มหัศจรรย์หรอก เพียงแค่เชี่ยวชาญทางเทคนิคแค่นั้นก็พอแล้ว ช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่ง เมื่อมีเวลาแล้วฉันจะมาสอนพวกเธอ พวกเธอจะต้องเรียนรู้”
“ได้ค่ะ รับทราบค่ะ พวกเราจะตั้งใจเรียนรู้อย่างแน่นอน”
ทั้งสองคนต่างกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าอันมหัศจรรย์นี้
อย่างไรก็ตามโดยไม่รอให้ทั้งสองคนขอคำแนะนำจากฉินมู่หลาน หลิวเสวียข่ายก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ลูกค้าต่างชาติเหล่านั้นก็มาด้วยความเร็ว ผู้คนจำนวนมากรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ขณะใบหน้าของฉินมู่หลานดูผ่อนคลาย แต่ในก้นบึ้งของหัวใจนั้นยังคาดหวังว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เปิดตัวสินค้าให้ปังๆ ไปเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)