ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 330 ตามสืบเรื่องในตอนนั้น(2)
ตอนที่ 330 ตามสืบเรื่องในตอนนั้น(2)
ตอนที่ 330 ตามสืบเรื่องในตอนนั้น(2)
เริ่นม่านนีไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกครั้ง หลังจากนั้นก็พูดต่อ “พวกเราต้องสืบเรื่องนี้ให้รอบคอบ หลังจากนั้นก็จะขอความเป็นธรรมจากตระกูลเหยา”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันมองเซี่ยอวี่หรงแล้วพูดขึ้น “อวี่หรง เดี๋ยวฉันจะไปหาพี่ชายเธอเพื่อคุยรายละเอียดในเรื่องนี้ คงอยู่คุยกับเธอไม่ได้”
เซี่ยอวี่หรงได้ยินอบบนี้ ก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้ค่ะพี่สะใภ้ พี่รีบไปจัดการธุระเถอะ”
และหลังจากเริ่นม่านนีไป เซี่ยอวี่หรงก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเช่นกัน
ทันทีที่กลับถึงห้อง ใบหน้าของเซี่ยอวี่หรงก็มืดมนลง “นังขยะ นังคนไร้ความสามารถ”
หล่อนไม่คิดเลยว่าเริ่นม่านลี่จะล้มเหลว และโดนจับได้ว่าทำอย่างนั้นต่อหน้าสาธารณะ แถมตอนนี้คนก็นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลอีก
แต่ไม่นานนัก เซี่ยอวี่หรงก็ผ่อนคลายขึ้นมาอีกครั้ง
เริ่นม่านลี่ฟื้นขึ้นมาได้ยาก ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครรู้เรื่องระหว่างพวกหล่อนได้ เพราะฉะนั้นเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว นอกจากนี้ตระกูลเริ่นยังเชื่อว่าตระกูลเหยาเป็นฝ่ายทำร้ายเริ่นม่านลี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นต่อไปคงได้เห็นการแสดงสนุกชุดใหญ่แน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยอวี่หรงก็ยกยิ้ม
ในตอนนั้นเอง เติ้งซูหลานก็เข้ามาด้วยความเร่งรีบ “อวี่หรง…”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นกังวลของแม่ เซี่ยอวี่หรงจึงรีบไปเปิดประตู ก่อนจะเอ่ยถาม “แม่ ฉันอยู่นี่ ทำไมรีบร้อนวิ่งมาให้เหนื่อยแบบนี้ล่ะ รีบเข้ามาก่อน”
หลังจากเติ้งซูหลานเข้าไป ก็พยายามปรับลมหายใจให้ดี จากนั้นก็หันมองลูกสาวด้วยสีหน้ามืดมนแล้วพูดขึ้น “เจอหมอที่ทำคลอดลูกให้ซูหว่านอี๋แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ประกอบกับสีหน้ายับยู่ของผู้เป็นแม่ เซี่ยอวี่หรงก็ใจเต้นรัว
“แม่ เจออะไรไหม?”
เติ้งซูหลานพยักหน้าด้วยสีหน้ายับยู่น่าเกลียด ก่อนจะบอกกล่าว “ใช่ ถามไปแล้ว ซูหว่านอี๋คลอดลูกสาวออกมาคนหนึ่ง แต่ว่าหลังจากคลอดเด็กคนนั้นก็เสียทันที”
“อะไรนะ…เสียแล้ว…”
ในตอนนี้ สีหน้าของเซี่ยอวี่หรงก็มืดมนเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นแล้วฉินมู่หลานล่ะ?”
เติ้งซูหลานกัดฟันพูด “จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ฉินมู่หลานคนนั้นต้องเป็นลูกของซูหว่านอวี๋แน่นอน พวกหล่อนสองพี่น้องนี่เก่งมากเลยนะ หลบซ่อนตัวกันมาตั้งหลายปีขนาดนั้น ตอนแรกก็คิดว่าซูหว่านอวี๋กับลูกสาวของหล่อนตายไปหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยอวี่หรงก็มองแม่ของหล่อนด้วยสีหน้าซับซ้อน
“แม่ ก่อนหน้านี้แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่รู้เรื่องที่ซูหว่านอวี๋ตายแล้ว แต่ฟังจากที่แม่พูด เหมือนว่าแม่จะรู้ว่าซูหว่านอวี๋ตายไปนานแล้วนะ”
“ฉัน…”
เติ้งซูหลานเพียงเผลอพูดไป จึงไม่ได้คิดใส่ใจอะไรกับคำพูดของตัวเอง ตอนนี้เมื่อได้ยินลูกสาวพูดแบบนั้น จึงรีบกล่าวทันที “อวี่หรง แกฟังผิดแล้ว ฉันไม่ได้พูดเลย”
เซี่ยอวี่หรงยังอยากถามเพิ่ม แต่เมื่อเห็นว่าแม่ไม่อยากพูดมาก หล่อนจึงกลืนคำพูดมากมายลงไป แล้วไม่เอ่ยถามอีก เพียงแต่ก็มีความคิดบางอย่างอยู่ภายในใจ ดูเหมือนว่าครั้งที่แล้วแม่จะไม่ได้พูดความจริงกับตัวเอง แต่หล่อนก็สามารถเข้าใจได้ เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นยอดรักในดวงใจของพ่อ แม่จะทนไม่ไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แม่ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะเอายังไงต่อ ถ้าให้พ่อรู้เรื่องนี้เข้า ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร”
เติ้งซูหลานได้ยินแบบนี้ ก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว พ่อของแกยังจำยัยหมาตัวเมียซูหว่านอวี๋นั่นได้ ถ้าให้เขารู้ว่าพวกเขามีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน เขาคงยอมรับหล่อนอย่างไม่ลังเลเลย แล้วปู่กับย่าก็แก่มากแล้วด้วย พ่อของแกก็มีอำนาจสิทธิเสียงมากขึ้น ที่บ้านหลังนี้ คำพูดของพ่อแกก็จะมีอำนาจมากขึ้น”
หลังจากพูดจบไปแล้ว เติ้งซูหลานก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น
และเมื่อเซี่ยอวี่หรงได้ยินแบบนี้ ก็เอ่ยพูดอย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นต้องห้ามให้พ่อรู้เด็ดขาด แต่ฉันคิดว่าเราไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้มากหรอก”
“ทำไมพูดอย่างนั้น?”
เติ้งซูหลานได้ยินคำพูดของลูกสาว จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยนิดหน่อย
“แม่ ซูหว่านอี๋ต้องรู้อยู่แล้วว่าฉินมู่หลานคือใคร ตอนนี้หล่อนก็อยู่ที่ปักกิ่ง ก่อนหน้านี้หล่อนก็เจอพ่อแล้ว ถ้าหล่อนอยากให้ฉินมู่หลานกลับมาตระกูลเซี่ยจริง ก็คงบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
เติ้งซูหลานได้ยินแบบนี้ ก็เพียงรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
“ใช่แล้วอวี่หรง ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงคิดไม่ได้นะ ตอนนั้นซูหว่านอี๋ก็มีโอกาสบอก แต่หล่อนก็ไม่พูด ก็แสดงว่าหล่อนอาจไม่อยากให้ฉินมู่หลานกลับมาก็ได้” เมื่อคิดได้เช่นนี้ เติ้งซูหลานก็รู้สึกโล่งใจไปบ้าง แต่สิ่งนี้มันก็เหมือนก้างขวางคอ หากไม่ยอมดึงมันออกก็คงเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“อวี่หรง เรื่องนี้พวกเราต้องคิดกันให้รอบคอบ”
เซี่ยอวี่หรงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว แม่ ต้องคิดให้รอบคอบอีก”
ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่าตัวตนของตัวเองถูกค้นพบแล้ว ตอนนี้เธอกำลังเล่นกับลูกทั้งสองอยู่
ซูหว่านอี๋มองลูกสาวอยู่ข้าง ๆ จึงอดพูดไม่ได้ “มู่หลาน พรุ่งนี้พวกเราไปที่บ้านตระกูลเหยากันอีกรอบเถอะ แม่จะไปเยี่ยมคุณนายเหยาด้วย ถึงยังไงก็เป็นคุณยายของลูกเขย”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้ค่ะ”
และซูหว่านอี๋ก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว จึงไม่เข้าใจการกระทำของเริ่นม่านลี่
เมื่ออยู่กับแม่ตัวเอง ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ก่อนจะพูดการคาดเดาของตัวเอง “เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือของเซี่ยอวี่หรงค่ะ”
“อะไรนะ…”
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ จึงรู้สึกสงสัยนิดหน่อย “ทำไมลูกถึงคิดว่าเป็นเซี่ยอวี่หรงล่ะ?”
ฉินมู่หลานเล่าเรื่องครั้งล่าสุดที่เธอเจอเซี่ยอวี่หรงกับเริ่นม่านลี่ ขณะเดียวกันก็เอ่ยถึงการคาดเดาของตัวเองด้วย “ก่อนหน้านี้คุณนายเหยาได้แค่ยานอนหลับนิดเดียว แต่ครั้งนี้เป็นยาพิษ และครั้งนี้ คุณนายเหยาก็กำลังกินยาที่ฉันสั่งให้ด้วย เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่หล่อนพยายามจะใส่ร้ายฉัน”
ซูหว่านอี๋ได้ยินสิ่งที่ลูกสาวตัวเองพูด จึงรู้สึกสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะอดพูดไม่ได้ “พวกเขา…หรือว่าพวกเขารู้ตัวตนของลูกแล้ว?”
ฉินมู่หลานคิดไปถึงก่อนหน้านี้ว่าเซี่ยอวี่หรงคลั่งรักเซี่ยเจ๋อหลี่มากเพียงใด ดังนั้นจึงคิดอยากจะทำร้ายตัวเอง เธอจึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้เลย แต่เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มณฑลซานตงก็ห่างไกล จะอะไรให้สืบหาอีก แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่แบบนี้แล้ว เธอจึงอดที่จะคิดไตร่ตรองเสียไม่ได้ “หรือว่า…พวกเขาจะเจออะไรแล้วจริงๆ?”
ซูหว่านอี๋กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “มู่หลาน มันก็เป็นไปได้นะ ไม่อย่างนั้นเซี่ยอวี่หรงจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน ครั้งนี้หล่อนอยากจะใส่ความลูกชัดเจน”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงอดพูดไม่ได้ “ดูเหมือนว่าหนูจะต้องลองตรวจสอบให้ละเอียด ว่าเร็ว ๆ นี้มีใครไปที่มณฑลซานตงแล้วถามเรื่องตอนแม่คลอดลูกหรือเปล่า”
ในตอนนี้ ซูหว่านอี๋ก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา
“มู่หลาน เอายังไงต่อดี?”
ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ ก็เอ่ยพูดตามตรง “แม่คะ ไม่ต้องกังวลไปค่ะ นี่เป็นแค่การคาดเดาของหนูเอง เพราะฉะนั้นแม่ยังไม่ต้องกังวลไปค่ะ”
“แม่ต้องกังวลอยู่แล้ว ถ้าพวกเขารู้อะไรบางอย่างจริง ต่อไปลูกจะเดือดร้อนเอา มู่หลาน ลูกรีบคิดหาทางแก้ปัญหา แล้วตรวจสอบเรื่องนี้ให้รอบคอบ”
“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทางนั้นรู้ตัวตนของมู่หลานแล้ว ทางมู่หลานก็ไหวตัวทันเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมใครเลย
ไหหม่า(海馬)