ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 342 โง่เง่า
ตอนที่ 342 โง่เง่า
ตอนที่ 342 โง่เง่า
ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่เดินไปตามท้องถนน ก่อนจะจับจ่ายซื้อทุกสิ่งอย่างที่เห็นว่ามันดูดี มีทั้งชุดเครื่องนอนและของใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ขอเพียงแค่เห็นแล้วถูกตาต้องใจ ฉินมู่หลานก็จ่ายเงินซื้อมาหมด จนกระทั่งทั้งสองคนซื้อต่อไม่ไหวแล้ว จึงพากันกลับบ้าน
ลุงเจี่ยงเห็นทั้งสองซื้อของมาเยอะมาก จึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนูน้อย ทำไมซื้อของมาเยอะจังครับ”
“เรือนสี่ประสานใกล้ตกแต่งเสร็จแล้วค่ะ ก็เลยเริ่มซื้อของบางอย่างเตรียมเข้าบ้านแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ลุงเจี่ยงก็รีบบอกกล่าว “ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเถอะครับ เดี๋ยวผมจะสรรหาของมาให้คุณหนูน้อยเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุงเจี่ยง ฉันไม่รีบร้อนขนาดนั้น เดี๋ยวมีเวลาจะไปเดินซื้อของอีก ถึงยังไงหลังจากบ้านตกแต่งเสร็จแล้วก็ยังต้องตากทิ้งไว้อีกสักพักค่ะ”
ลุงเจี่ยงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อย่างนั้นก็ได้ครับ ถ้าคุณหนูน้อยมีคำถามสงสัยอะไร ก็บอกผมได้นะครับ”
“ค่ะ”
หลังจากเอาของไปเก็บแล้ว ฉินมู่หลานก็มาหาเจี่ยงสือเหิงอีกครั้ง ปรากฏว่าตอนนี้เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องอ่าหนนังสือ ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้จึงอดพูดไม่ได้ “พ่อคะ พ่อต้องพักผ่อนให้พอนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องเหนื่อย ไม่อย่างนั้นอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของพ่อจะทุเลาลงได้ยังไง”
เจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลานแล้วก็รู้สิกผิดเล็กน้อย เพราะก่อนออกไปข้างนอกเมื่อเช้า มู่หลานกำชับเขาแล้วว่าให้พักผ่อนเยอะ ๆ
“ได้ๆๆ พ่อไม่อ่านแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็อดถามไม่ได้ “จริงสิมู่หลาน เซี่ยปิงชิงจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักพักเลยใช่ไหม ถึงหล่อนจะบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่พ่อก็อยากจะขอบคุณอย่างเป็นทางการสักครั้ง เพราะถึงยังไงหล่อนก็เป็นคนช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพ่อคงชะตาถึงฆาตไม่ต่างจากหวงจิ่นซงแล้ว”
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ แต่ฉันเคยบอกไปแล้วว่าจะรอน้องสาวของเซี่ยปิงหรุ่ยมาถึงเมืองหลวง แล้วจะไปเลี้ยงข้าวพวกหล่อนสองพี่น้องค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปชวนพวกหล่อนแล้วจะลองถามอีกครั้งนะคะ”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินแบบนี้ ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ดี ถ้าอย่างนั้นลูกถามหล่อนหน่อยนะ แล้วก็ช่วยพ่อคิดด้วยว่าเด็กสาวสมัยนี้เขาชอบอะไรกัน พ่อจะได้เตรียมของขวัญขอบคุณให้ดี”
ฉินมู่หลานบอกกล่าวตามตรงหลังจากได้ยินเช่นนี้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันลองแอบถามเซี่ยปิงหรุ่ยให้นะคะว่าน้องสาวหล่อนชอบอะไร”
“ได้”
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ตรงไปที่บ้านของเซี่ยปิงหรุ่ย
“เคยบอกไปแล้วนี่นาว่ารอน้องสาวเธอมา ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอสองพี่น้องไง วันนี้ฉันก็เลยมาหาที่นี่” หลังจากพูดจบ เธอก็หันมองโดยรอบ ก่อนจะอดเอ่ยถามไม่ได้ “ปิงชิงล่ะ ทำไมไม่เห็นเลย”
เมื่อพูดถึงเซี่ยปิงชิง เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดกลอกตาเสียไม่ได้
“หล่อนออกไปหาบ้านน่ะ”
“หาบ้านเหรอ?”
ฉินมู่หลานถามด้วยความสงสัยนิดหน่อย “ปิงชิงไม่อยู่กับเธอเหรอ?”
“หล่อน…”
เซี่ยปิงหรุ่ยเอ่ยค้างแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แต่บอกว่า “หล่อนไม่สะดวกใจจะอยู่กับฉันน่ะ”
เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยพูดแบบนั้น ฉินมู่หลานก็ไม่เอ่ยถามอะไรมากมายอีก แต่กลับถามถึงของที่เซี่ยปิงชิงชื่นชอบมากเป็นพิเศษแทน
“น้องสาวฉันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ นอกจาก…”
“นอกจากอะไร?”
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยหยุดพูดกลางคัน จึงอดถามเร่งเร้าเสียไม่ได้
“หล่อนอาจจะชอบพวกดอกไม้หรือต้นไม้ที่รูปร่างหน้าตาแปลก ๆ พวกนั้น โดยเฉพาะพวกที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ก็ยังชอบพวก…เอ่อ…แมลงงูหนูมดที่มีพิษ ครั้งนี้ที่หล่อนเดินทางอ้อมไปแถวมณฑลเหอเป่ยตั้งนานแล้วบังเอิญไปช่วยพ่อบุญธรรมของเธอเข้าพอดี นั่นก็เป็นเพราะว่ามีงูพิษบางชนิดอยู่ที่นั่น เป็นชนิดที่หล่อนไม่เคยพบเจอมาก่อน หล่อนก็เลยแวะไปที่นั่นก่อนยังไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนว่า ปิงชิงจะชอบพวกของมีพิษ”
ฉินมู่หลานคาดเดาได้หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง สาเหตุก็เป็นเพราะเซี่ยปิงหรุ่ยไม่ได้ปิดบังอะไรเธอมากนัก
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าฉินมู่หลานคาดเดาได้แล้ว จึงเอ่ยบ่นตามตรง “ใช่ น้องสาวของฉันชอบของพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นคนนอกคอกในตระกูลเรา จริง ๆ แล้วหล่อนมีพรสวรรค์ด้านการเรียนแพทย์มาก แต่กลับมีความสามารถด้านพิษวิทยามากกว่า แล้วตัวหล่อนเองก็ชอบสะสมพวกของมีพิษอะไรพวกนั้นด้วย”
อันที่จริงตั้งแต่เล็กจนโต เซี่ยปิงหรุ่ยรู้สึกอิจฉาเซี่ยปิงชิงนิดหน่อย เพราะหล่อนไม่ได้มีพรสรรค์ดีเท่าเซี่ยปิงชิง แต่เซี่ยปิงชิงแสดงพรสวรรค์เด่นชัด ถึงจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางสายเฉพาะทาง แต่ก็รู้จักพวกพิษได้ลึกซึ้งมาก
“ในเมื่อเป็นความชอบของปิงชิง ถ้าอย่างนั้นก็ควรเคารพการตัดสินใจของหล่อน นอกจากนี้ หากมีใครโดนวางยา ปิงชิงก็คงมีทักษะเรื่องการล้างพิษที่ยอดเยี่ยมมากแน่นอน”
เซี่ยปิงหรุ่ยมองฉินมู่หลานด้วยสายตาบางอย่างก่อนจะพูดขึ้น “มู่หลาน เธอเปลี่ยนไปนะ หลังจากเซี่ยปิงชิงช่วยพ่อบุญธรรมของเธอ เธอก็เข้าข้างแต่เขาตลอดเลย”
“เปล่านะ ฉันเองก็ทำกับเธอแบบนี้เหมือนกัน”
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่อยากเชื่อ “ไม่เหมือนเลยสักนิด”
เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยเป็นแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดหัวเราะพลางส่ายหัวอย่างเสียช่วยไม่ได้ ตอนแรกเซี่ยปิงหรุ่ยมีท่าทางเย็นชามาก แต่หลังจากสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ กลับพบว่าอีกฝ่ายมีบางมุมที่เหมือนเด็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เล็กจนโตถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม
ในตอนนี้เซี่ยปิงชิงได้กลับมาแล้ว เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานก็อยู่ที่นั่นด้วย จึงเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ได้ยินมาว่าเธอเก่งมาก พัฒนายาพิเศษออกมาหลายชนิดเลย พวกเรามานั่งคุยกันเถอะ”
“ได้สิ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้าตอบตกลง
ตอนแรกเซี่ยปิงชิงพูดคุยกับฉินมู่หลานถึงเรื่องวิธีการช่วยชีวิตและการรักษาอาการบาดเจ็บ หล่อนจึงพูดคุยกับฉินมู่หลานเรื่องทักษะทางการแพทย์มากขึ้น เพียงแต่ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็ได้พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับยาที่เป็นพิษด้วย ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากคุยทำให้เซี่ยปิงชิงแปลกใจไม่น้อย ฉินมู่หลานมีความรู้เยอะมากจริง ๆ
“เธอรู้จักพวกโรคลมบ้าหมูด้วย”
“ฉันเคยเห็นมันในหนังสือน่ะ”
ตอนนี้เซี่ยปิงชิงเริ่มสนใจฉินมู่หลานมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่เนิ่นนาน จนเซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ต้องพูดขึ้น “พวกเธอคุยกันจนจะเลยเที่ยงวันแล้วนะ ไปกินข้าวก่อนเถอะ”
ฉินมู่หลานเหลือบมองเวลา ก่อนจะพบว่ามันสายแล้ว ขณะเดียวกันก็บอกเซี่ยปิงชิงว่าจะเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการตอบรับด้วย
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
เซี่ยปิงชิงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องคิดอะไรเลย
เซี่ยปิงหรุ่ยมีป้าแม่บ้านคอยทำอาหารให้ อาหารรสชาติค่อนข้างดี ฉินมู่หลานกินข้าวหมดไปสองชามก็วางตะเกียบลง และเซี่ยปิงชิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ วันนี้ตอนเช้าที่ออกไปข้างนอกฉันเจอเซี่ยอวี่หรงกับแม่ของหล่อนด้วย พวกหล่อนยังเชิญพวกเราสองพี่น้องไปกินข้าวเย็นที่บ้านตระกูลเซี่ยด้วยนะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยส่ายหัวปฏิเสธทันทีเมื่อได้ยินแบบนี้
“เซี่ยอวี่หรงเคยเชิญฉันแล้ว แต่ฉันปฏิเสธ ฉันไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวพวกเขาเท่าไหร่น่ะ”
เซี่ยปิงชิงหันมองเซี่ยปิงหรุ่ยก่อนจะบอกกล่าว “แต่วันนี้ฉันตอบตกลงไปแล้ว”
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้จึงหันไปจ้องมองเซี่ยปิงชิงแล้วพูดขึ้น “ทำไมเธอถึงอยากจะไปกินข้าวที่นั่นอีก ถ้าอยากไปก็ไปเองแล้วกัน”
และฉินมู่หลานก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหันมองเซี่ยปิงชิงด้วยแววตาเป็นประกายก่อนจะเอ่ยถาม “ปิงชิง ถึงแม้ว่าฉันจะพอรู้เรื่องพิษอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญมากนัก ฉันอยากจะขอให้เธอช่วยไปตรวจใครบางคนได้ไหม หล่อนหลับไม่ตื่นเลยหลังจากโดนวางยาพิษ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็พยักหน้าแล้วตอบรับ “ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย หลังกินข้าวเที่ยงพวกเราไปโรงพยาบาลกัน”
อีกด้านหนึ่ง เติ้งซูหลานมองลูกสาวด้วยสีหน้ายับยู่ก่อนจะพูดขึ้น “โง่เง่า ทำไมถึงปล่อยให้เริ่นม่านลี่ทำเรื่องแบบนั้นให้แก โชคดีนะที่เริ่นม่านลี่ไม่ฟื้นแล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนคงเปิดโปงแกแน่”
“หนูก็ไม่คิดว่าเริ่นม่านลี่จะไร้ประโยชน์แบบนี้”
เติ้งซูหลานเพิ่งทราบว่าลูกสาวของหล่อนทำอะไรลงไปเมื่อเช้านี้ หลังจากที่ทราบเรื่องก็พาลูกสาวไปเยี่ยมเริ่นม่านลี่ โชคยังดีที่หมอบอกว่าเริ่นม่านลี่จะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้ว
แต่เติ้งซูหลานก็ยังเอ่ยด้วยความสงสัย “ทำไมสองพี่น้องจากตระกูลดั้งเดิมถึงพากันมาที่เมืองหลวงกันหมด หรือว่าทางตระกูลดั้งเดิมจะมีเรื่องอะไร?”
เซี่ยอวี่หรงบอกกล่าวตามตรง “เซี่ยปิงชิงคนนั้นตกลงจะมากินข้าวที่บ้านไม่ใช่เหรอคะ เอาไว้รอสองพี่น้องมาถึงเราค่อยถามก็ได้ค่ะ”
“ก็ได้”
เติ้งซูหลานก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องครอบครัวในตอนนี้ สิ่งที่หล่อนเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องทางฝั่งฉินมู่หลาน ถึงแม้ฉินมู่หลานกับซูหว่านอี๋จะนิ่งสงบมาก แต่หล่อนก็ยังกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบ นอกจากเรื่องของเริ่นม่านลี่แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นให้ต้องคิดด้วย คนตายแล้วพูดไม่ได้ ถึงแม้ว่าเริ่นม่านลี่จะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้แล้ว แต่หากว่ามันเป็นไปได้ล่ะ…
สิ่งที่เติ้งซูหลานไม่ทราบก็คือ ในตอนนี้ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงชิงพากันไปที่โรงพยาบาลหลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะโป๊ะไหมนะทางฝั่งตระกูลเซี่ยใหม่ คนตระกูลเดิมมาอยู่ข้างมู่หลานแล้วนี่
ไหหม่า(海馬)