ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 344 ลงมือ
ตอนที่ 344 ลงมือ
ตอนที่ 344 ลงมือ
คุณนายเริ่นได้ยินสิ่งที่หลี่ปิงฉวนอธิบาย คนทั้งคนก็รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ม่านลี่ของเราจะไม่มีทางฟื้นหากไม่ล้างพิษ แต่จะเหลือเวลาชีวิตเพียงแค่หนึ่งหรือสองปีเท่านั้น แต่ถ้าล้างพิษ ก็จะมีเวลาแค่หนึ่งในสี่ของชั่วโมงเท่านั้น ทำไมลูกสาวของฉันถึงน่าสงสารแบบนี้” หลังจากพูดจบ คุณนายเริ่นก็อดร้องไห้ไม่ได้
หลี่ปิงฉวนเห็นแบบนี้ จึงไม่ถามเซ้าซี้อีก ก่อนจะคิดที่จะเดินจากไป แต่ถึงอย่างไรตระกูลเริ่นก็ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว จะต้องการล้างพิษหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเองแล้ว
คุณนายเริ่นยังคงร้องไห้อย่างหนักหน่วง เมื่อเห็นหลี่ปิงฉวนกำลังจะจากไป จึงรีบบอกทันที “หมอหลี่คะ ตอนนี้ฉันยังไม่แน่ใจ ฉํนต้องหารือเรื่องนี้กับครอบครัวก่อนค่ะ”
“ครับ ผมเข้าใจครับ”
คุณนายเริ่นเช็ดน้ำตา หลังจากนั้นก็กลับบ้านไปปรึกษาเรื่องนี้กับสามี พวกเขายังไปแจ้งลูกสาวคนโตด้วย เพื่อให้ลูกสาวคนโตทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้
หลังจากที่เริ่นม่านนีทราบข่าว หล่อนก็รีบกลับมาบ้านพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ยังลังเล จึงรีบบอกกล่าวทันที “พ่อคะแม่คะ ยังต้องลังเลอะไรอีกคะ พวกเราไปเรียกร้องขอความยุติธรรมจากพวกตระกูลเหยา แต่พวกเขากลับโต้กลับพวกเรา ตอนนี้เริ่นม่านลี่ก็มีโอกาสฟื้นแล้ว จะได้ลองถามเรื่องทั้งหมดได้ หลังจากนั้นพวกเราก็จะได้ไปเอาเรื่องตระกูลเหยาให้สาสม”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเริ่นม่านนีก็ดูไม่พอใจนัก เห็นได้ชัดว่าตระกูลเหยาเป็นฝ่ายผิด แต่พวกเขากลับปฏิเสธไม่ยอมรับ สามีของตัวเองก็ไม่ช่วยอะไรเลย ไม่เคยไปพูดบอกให้พ่อสามีช่วยเลย
คุณนายเริ่นยังคงลังเลนิดหน่อย
“แต่ว่า…ถ้าทำอย่างนั้น ม่านลี่ก็จะมีชีวิตอยู่ได้แค่สิบห้านาทีนะ หล่อนยังสาว จะให้รีบด่วนจากไปทั้งอย่างนี้เหรอ”
“แม่ ถึงม่านลี่จะไม่ได้ล้างพิษ หล่อนก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาแล้ว แม่จะปล่อยหล่อนเอาไว้อีกปีถึงสองปี แล้วค่อยจากไปอย่างนั้นเหรอ”
“ฉัน…”
คุณนายเริ่นพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายนายท่านเริ่นก็ตัดสินใจเด็ดขาด “ม่านนีพูดถูก ให้ม่านลี่ฟื้นขึ้นมาเลยจะดีกว่า หลังจากนั้นก็จะเป็นพยานปากสำคัญในการกล่าวโทษตระกูลเหยาได้ ถึงตอนนั้นก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านายท่านเหยาจะพูดอะไรได้อีก” พูดจบก็หันมองคุณนายเริ่นพร้อมบอกกล่าว “คุณกลับไปบอกหมอหลี่เถอะ ว่าเราต้องการให้ล้างพิษ”
หลังจากเห็นว่าสามีกับลูกสาวคนโตตัดสินใจแบบนั้นแล้ว คุณนายเริ่นจึงได้แต่จำใจพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปโรงพยาบาลเลย”
หลังจากคุณนายเริ่นไปแล้ว เริ่นม่านนีก็ลุกยืนขึ้นเช่นกันแล้วบอกกล่าว “พ่อคะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับก่อนเหมือนกันค่ะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปโรงพยาบาลกับพวกพ่อ”
“ได้ พ่อจะรอลูกที่บ้านนะ”
หลังจากเริ่นม่านนีกลับถึงบ้าน ก็พบว่าทุกคนเริ่มกินอาหารเย็นกันแล้ว
ว่านจี้อวิ๋น แม่สามีของเริ่นม่านนีเห็นว่าลูกสะใภ้กลับมาช้ามาก จึงอดถามไม่ได้ “ม่านนี ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะ หรือว่าบ้านพ่อแม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วเหรอ” หล่อนเองก็ทราบเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในตระกูลเริ่นเช่นกัน ถึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เริ่นม่านลี่จะไม่ฟื้นแล้ว แต่ตระกูลเริ่นก็ได้ไปปรักปรำตระกูลเหยาทั้งที่หาหลักฐานใดไม่ได้ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่านายท่านเหยาจะแกร่งกล้าถึงขนาดไม่มีใครทำอะไรได้ถึงเพียงนี้
เติ้งซูหลานที่อยู่ข้างนอกอดพูดไม่ได้ “พี่สะใภ้ ม่านนีเพิ่งกลับมา ให้หล่อนไปนั่งกินข้าวก่อนเถอะค่ะ”
ว่านจี้อวิ๋นปรายตามองน้องสะใภ้ รู้สึกไม่พอใจที่หล่อนมาขัดจังหวะตัวเอง แต่ด้วยความที่พ่อและแม่สามีอยู๋ตรงนี้ด้วย หล่อนจึงไม่พูดอะไรมาก
หลังจากเริ่นม่านนีนั่งลง เซี่ยอวี่หรงก็เอ่ยถามด้วยท่าทางดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจนัก “พี่สะใภ้ หรือว่าที่บ้านพี่มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็บอกพวกเราได้นะ พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวฉันน่ะ”
หลังจากนั้นเริ่นม่านนีก็เล่าถึงสถานการณ์ของเริ่นม่านลี่ให้ฟัง
“อะไรนะ…”
เซี่ยอวี่หรงตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่าทุกคนจะแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยามากมายเท่าเซี่ยอวี่หรง
เติ้งซูหลานที่อยู่อีกด้านหันมองลูกสาว ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดอธิบาย “อวี่หรงตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยน่ะ เพราะน้องสาวของม่านนีก็ยังสาวอยู่เลย”
เซี่ยอวี่หรงก็มีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นกัน ก่อนจะถอนหายใจ แล้วพูด “ใช่ค่ะ หนูแค่ตกใจแล้วก็เศร้าใจนิดหน่อย เพราะหนูกับน้องสาวของพี่สะใภ้ก็เคยเจอหน้ากัน ไม่คิดเลยว่าจะด่วนจากไปทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้”
หลายคนได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอีก
คุณหญิงเซี่ยเอ่ยถามขึ้นแทน “แล้วครอบครัวของเธอตัดสินใจกันว่ายังไงล่ะ?”
“ครอบครัวของหนูตัดสินใจกันว่าจะให้ม่านลี่ได้ล้างพิษค่ะ พวกเราอยากจะถามหล่อน ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันแน่”
คุณหญิงเซี่ยได้ยินแบบนี้จึงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “เรื่องก็เป็นแบบนี้ ครอบครัวของหล่อนก็ตัดสินใจกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นแบบนี้ก็ดีแล้ว”
หลังจากนั้นทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารกันต่อไป
หลังจากกินเสร็จ เซี่ยอวี่หรงก็ได้โอกาสพาแม่กลับไปที่ห้องของตน
“แม่ หนูจะทำยังไงดี”
ใบหน้าของเซี่ยอวี่หรงเต็มไปด้วยความกังวลใจ รู้สึกเหมือนสิ่งต่าง ๆ กำลังออกนอกเส้นทางที่กำหนด
เติ้งซูหลานปรายตามองลูกสาวอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดขึ้น “หุบปาก แกอยากจะตะโกนให้คนรู้กันหมดเลยใช่ไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยอวี่หรงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตอนนี้เสียงดังเกินไป แต่หล่อนก็กังวลใจมากจริง ๆ “แม่ ถ้าอย่างนั้นแม่คิดว่าจะทำยังไง”
“ปล่อยเป็นหน้าที่ฉันเอง แกไม่ต้องยุ่ง”
“แม่ แม่มีวิธีจริงเหรอ?”
เติ้งซูหลานบอกกล่าวด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “ฉันวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่คิดว่าเริ่นม่านลี่จะฟื้นขึ้นมาได้จริง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่ามัวรอช้า รีบกำจัดหล่อนทิ้งซะ”
หลังจากพูดจบ เติ้งซูหลานก็หันมองลูกสาวแล้วบอกกล่าว “ต่อไปถ้าแกคิดจะทำอะไร ช่วยมาบอกฉันก่อนด้วย แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ”
เซี่ยอวี่หรงก็ทราบดีว่าครั้งนี้ตัวเองรีบร้อนเกินไป จึงพยักหน้าแล้วรีบบอกกล่าวทันที “ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”
“เอาล่ะ แกรีบไปพักผ่อนซะ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นผู้เป็นแม่พูดแบบนั้น เซี่ยอวี่หรงก็รู้สึกโล่งใจ
ส่วนทางด้านฉินมู่หลานนั้น เมื่อได้รับข่าวจากหลี่ปิงฉวนว่าตระกูลเริ่นอยากให้ช่วยล้างพิษ เธอจึงไปที่บ้านของเซี่ยปิงหรุ่ยอีกครั้ง
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นฉินมู่หลานก็ดีใจมาก แต่นึกขึ้นได้ว่าที่อีกฝ่ายมาหาเช้าขนาดนี้ คงมาหาเซี่ยปิงชิงแน่นอน
“มู่หลาน เธอมาหาน้องสาวฉันใช่ไหม?”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงหยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ ฉันมีธุระมาหาปิงชิง หล่อนอยู่ไหม?”
“อยู่นะ เดี๋ยวฉันเรียกหล่อนให้”
หลังจากเซี่ยปิงชิงเดินมาหา ฉินมู่หลานก็บอกเรื่องที่จะต้องไปล้างพิษให้เริ่นม่านลี่ในวันพรุ่งนี้ “ปิงชิง ฉันจะไม่ไปที่นั่นนะ พรุ่งนี้เธอช่วยไปที่โรงพยาบาลได้ไหม”
เซี่ยปิงชิงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ได้ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไป”
หลังจากฉินมู่หลานพูดคุยกับเซี่ยปิงชิงต่ออีกไม่กี่คำก็กลับไป
ตอนแรกเธอคิดว่าเรื่องต้องเป็นไปในทางนั้นอย่างแน่นอน เพราะเซี่ยปิงชิงพูดแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นเริ่นม่านลี่ก็ต้องตื่นขึ้นมาได้ในช่วงสิบห้านาทีอย่างแน่นอน ไม่ทันคาดคิดว่า จะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
“เธอว่าอะไรนะ…เริ่นม่านลี่ตายแล้วเหรอ?”
ฉินมู่หลานหันมองเซี่ยปิงชิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ ก่อนจะพูดขึ้น “เมื่อวานพวกเราเพิ่งไปดูมาเอง กว่าเริ่นม่านลี่จะเสีย ก็ยังต้องรออีกหนึ่งหรือสองปีเลยนะ”
หลังจากพูดจบ ใบหน้าของฉินมู่หลานก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้น
“เป็นเซี่ยอวี่หรง ต้องเป็นหล่อนแน่ หล่อนรู้ว่าเริ่นม่านลี่จะฟื้น จึงได้ชิงลงมือฆ่าคนก่อน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เลวจนกู่ไม่กลับแล้วสองแม่ลูกคู่นี้ หาหลักฐานมามัดตัวให้ได้นะมู่หลาน
ไหหม่า(海馬)