ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 360 ต้องการทั้งหมด(2)
ตอนที่ 360 ต้องการทั้งหมด(2)
ตอนที่ 360 ต้องการทั้งหมด(2)
ฉินมู่หลานเพิ่งไปพบปะผู้คนมาไม่น้อย จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย หลังจากได้กินข้าวเต็มชามแล้วก็รู้สึกว่าท้องไม่ว่างอีกต่อไป ตอนแรกเธออยากจะกินอีกสักชาม แต่หลิวเสวียข่ายเข้ามาหาเธอเสียก่อน
“มู่หลาน มีข่าวมาจากคุณวิลเลี่ยมว่าเขายังอยากเซ็นสัญญาต่อครับ เครื่องสำอางที่คุณผลิตได้รับความนิยมในประเทศเขาอย่างมาก เขาจึงอยากสั่งซื้อเครื่องสำอางต่อไป” ก่อนหน้านี้เซี่ยฉางชิงพาตัวฉินมู่หลานไป เขาจึงไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องนี้ สุดท้ายก็หาเวลาพูดคุยกับมู่หลานได้สักที
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “นี่เป็นข่าวดีมากเลยค่ะ ดูเหมือนว่าเครื่องสำอางแบรนด์มู่เสวี่ยของเราจะยังค้าขายแลกเปลี่ยนเงินตรากับต่างประเทศได้อยู่ ดีมากจริง ๆ ค่ะ”
เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ที่อยู่อีกด้านก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้ว ดีมากเลย”
ตอนแรกพวกหล่อนสองคนกังวลว่าหลังจากการสั่งซื้อครั้งแรกเสร็จหมด แล้วมีการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้สินค้าขายได้ไม่หมด คิดไม่ถึงว่าจะมีคำสั่งซื้อใหม่จากคุณวิลเลียม ซึ่งแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเครื่องสำอางของพวกเธอดีจริง จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมธุรกิจกับคุณวิลเลียมต่อไปอีกในระยะยาว
หลิวเสวียข่ายดีใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน จึงบอกให้พวกเขาคอยผลิตเครื่องสำอางเพิ่มต่อไปอีก
ตอนแรกหลิวเสวียข่ายอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ เพียงแต่หลังจากพูดอีกสองประโยค เขาก็พบว่ามีผู้หญิงมากมายรายล้อมอยู่รอบตัว และในตอนนี้ผู้หญิงพวกนั้นก็กำลังส่งสายตาเป็นประกายมาทางฉินมู่หลาน
หลิวเสวียข่ายเห็นแบบนี้ จึงรีบบอกลาทันที
“มู่หลาน คุยธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นเชิญพวกคุณกินข้าวต่อเถอะ”
หลังจากหลิวเสวียข่ายไปแล้ว สาว ๆ ก็ต่างเข้ามารายล้อม ด้วยอยากได้คำแนะนำจากฉินมู่หลาน ทั้งถามว่าสินค้าใหม่จะผลิตออกมาตอนไหน แล้วยังถามด้วยว่าจะต้องแต่งหน้าอย่างไรให้ดูดี และอีกมากมาย เพื่ออยากจะให้ฉินมู่หลานสอนการแต่งหน้าให้โดยเฉพาะ
ฉินมู่หลานเห็นความกระตือรือร้นของทุกคน ก็ยกยิ้มก่อนจะเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “ถ้าทุกคนมีความสนใจ เดี๋ยวฉันจะลองจัดตารางเวลา แล้วเปิดประชุมสินค้า ถึงตอนนั้นจะได้อธิบายอย่างละเอียดเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนก็ต่างพยักหน้า แล้วพูดขึ้น “ได้ ถึงเวลาพวกเราจะไปเข้าร่วมแน่นอนค่ะ”
เมื่อเห็นว่าทางฝั่งของฉินมู่หลานคึกครื้น คุณนายเซี่ยก็อดพยักหน้าไม่ได้ จากนั้นก้หันมองเซี่ยฉางชิงแล้วพูดว่า “จริงสิ ที่บ้านห้องก็พร้อมแล้ว เดี๋ยวแกลองไปถามหลานสาวคนโต ดูว่าเธอยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางชิงก็อดพูดไม่ได้ “ผมจะถามมู่หลานให้ทีหลังครับ แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะมาพักอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”
คุณนายเซี่ยได้ยินแบบนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นทันที “มู่หลานได้กลับเข้าตระกูลเราแล้ว เธอจะไม่เข้ามาอยู่กับเราเหรอ”
เรื่องนี้เซี่ยฉางชิงไม่สามารถยืนยันได้จริง ๆ เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสำหรับฉินมู่หลานแล้ว เธออาจไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับตนเท่าเจี่ยงสือเหิงซึ่งเป็นพ่อบุญธรรม
และเซี่ยฉางชิงก็คาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด ฉินมู่หลานไม่ได้วางแผนจะไปพักที่บ้านจริง ๆ
“หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกฉันจะกลับบ้านค่ะ เอาไว้มีเวลาจะมาหาทุกคนใหม่”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน เซี่ยฉางชิงก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ถึงแม้จะพอคาดเดาผลลัพธ์เอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินจริง ๆ ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เซี่ยฉางชิงย่อมไม่อยากทิ้งห่างจากลูกอยู่แล้ว แต่เขาก็ทราบดีว่ามู่หลานยังไม่ได้สนิทสนมกับตัวเองมากนัก ดังนั้นจึงต้องรอให้คุ้นเคยกันไปมากกว่านี้ก่อน บางทีสถานการณ์อาจจะดีขึ้น เขาจึงทำได้แค่พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ได้ ถ้าพวกลูกมีเวลาก็กลับมาบ้านบ้างนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ไว้มีเวลาฉันจะมาหาค่ะ”
เมื่อนายท่านเซี่ยกับคุณนายเซี่ยทราบว่าฉินมู่หลานจะกลับไป ใบหน้าของพวกเขาก็มืดมนลง
บ
หลานสาวคนโตคนนี้กลับมาคืนสู่ตระกูลแล้ว แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังเหมือนไม่ได้กลับเลย
“ฉางชิง มู่หลานไม่ได้จะมาอยู่ที่บ้านเหรอ บ้านของพวกเราเป็นบ้านจริง ๆ ของหล่อนนะ หล่อนยังจะกลับไปไหนอีก”
เซี่ยฉางชิงเอ่ยพูดด้วยความเข้าใจดี “มู่หลานอยากจะอยู่ที่ไหนก็ได้ตามที่หล่อนต้องการครับ ต่อไปพอมู่หลานคุ้นเคยกับพวกเราแล้ว หล่อนก็คงจะมาอยู่ที่บ้าน”
เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กพูดแบบนั้น นายท่านเซี่ยกับคุณนายเซี่ยก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพียงแต่พวกเขายังคงอยากเจอฝาแฝดอยู่
สำหรับเรื่องนี้ ฉินมู่หลานไม่ได้ปฏิเสธอยู่แล้ว เธอกับเซี่ยเจ๋อหลี่เดินตรงไปที่โต๊ะทางฝั่งตระกูลเซี่ย โดยมีเด็กทั้งสองอยู่ในอ้อมแขน
“อุ๊ย…เด็กน้อยสองคนหน้าตาดีจังเลยนะ”
คุณนายเซี่ยได้เจอฝาแฝดก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แถมยังหันไปมองเซี่ยอวี่เซิ่งกับเริ่นม่านนีอย่างอดไม่ได้ “อวี่เซิ่ง ม่านนี น้องสาวของพวกเธอมีลูกแล้ว พวกเธอก็พยายามกันด้วยสิ ถ้าได้ฝาแฝดมังกรหงส์เหมือนมู่หลานก็คงดีนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของเริ่มม่านนีก็มืดมนลง
ฝาแฝดมังกรหงส์เป็นผักกาดขาวหรืออย่างไร คิดอยากจะมีก็มีได้อย่างนั้นหรือ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ได้ลูกแฝด หล่อนก็คงไม่พ้นที่จะโดนตำหนิแน่นอน
เมื่อคิดไปถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเริ่นม่านนีก็บูดบึ้งมากขึ้น
เซี่ยอวี่เซิ่งไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้สักเท่าใดนัก เขาก็ได้เห็นฝาแฝดแล้วเหมือนกัน จึงอดจินตนาการถึงไม่ได้ “คุณย่าครับ พวกเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับ”
ว่านจี้อวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกอยากมากเช่นกัน ขณะเดียวกันก็จ้องมองลูกชายกับเริ่นม่านนีด้วยสายตาเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ ลูกชายแต่งงานกับเหรินหมาหนี่มาก็หลายปีแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีลูกเลย ดูอย่างฉินมู่หลานที่เพิ่งได้กลับมานี่สิ ยังได้ลูกแฝดเลยนะ
ฉินมู่หลานเห็นว่าทุกคนในตระกูลเซี่ยได้เห็นเด็กทั้งสองคนแล้ว จึงคิดจะพาลูก ๆ กลับไป
แต่แล้วนายท่านเซี่ยกับคุณนายเซี่ยรีบคว้าซองแดงที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมอบให้เด็กทั้งสอง
ว่านจี้อวิ๋นก็คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองมอบซองแดงให้ หล่อนก็รีบให้ด้วยเหมือนกัน สุดท้ายทุกคนจึงอดที่จะหันมองเติ้งซูหลานเสียไม่ได้
คุณนายเซี่ยเห็นเติ้งซูหลานนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ใบหน้าจึงบูดบึ้งนิดหน่อย ลูกสะใภ้คนเล็กไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยหรือ โตขนาดนี้แล้วยังคิดไม่ได้ถึงสิ่งที่ควรทำอย่างนั้นใช่ไหม
เติ้งซูหลานมีการเตรียมตัวมาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เต็มใจสักเท่าใด ไม่เพียงแต่ต้องโดนบังคับให้ยอมรับฉินมู่หลานกลับมา แต่ตอนนี้กลับต้องมอบซองแดงให้กับลูกทั้งสองของฉินมู่หลานอีก แต่หล่อนเข้าใจได้ว่าไม่อาจเลี่ยงได้ จึงทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วนำสิ่งที่เตรียมไว้ออกมา
“ฉันขอมอบสร้อยข้อมือทองคำกับหนูน้อยทั้งสองด้วย ก็หวังว่าพวกเขาจะชอบมัน”
สุดท้ายเติ้งซูหลานไม่เพียงแค่มอบซองแดงให้เท่านั้น แต่ยังมีสร้อยข้อมือทองคำด้วย ก้ถือว่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเช่นกัน
ฉินมู่หลานยอมรับเอาไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโดยไม่มีข้อกังขาอะไร หลังจากนั้นก็พาเด็กทั้งสองคนกลับไป
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พวกคนตระกูลเซี่ยในปักกิ่งเริ่มอยู่ไม่สุขกันแล้ว ใครใส่หน้ากากไว้ก็โดนกระชากกันหมด
ไหหม่า(海馬)