ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 383 ออกเดินทาง(2)
ตอนที่ 383 ออกเดินทาง(2)
ตอนที่ 383 ออกเดินทาง(2)
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ แววตาก็เป็นประกายมากขึ้น
“อันนี้ดี ถ้าใช้อย่างเหมาะสม ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยที่จะกำราบคนพวกนั้น”
แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยปิงชิงก็ส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “ถ้าเธอพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ ผงกระดูกอ่อนนี้อาจจะไม่มีประโยชน์ เพียงแค่ปิดปากและจมูกทัน ยาผงนี่ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
หลังจากพูดจบ ใบหน้าของเซี่ยปิงชิงก็มุ่งมั่นมากขึ้น
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะลองคิดค้นแบบอื่นออกมา เพียงแค่สัมผัส คนที่โดนผงกระดูกอ่อนนี่ก็จะสูญเสียการเคลื่อนไหวได้ทันที”
เมื่อเห็นเซี่ยปิงชิงเป็นแบบนี้ ฉินมู่หลานจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ปิงชิง เธอทำได้อยู่แล้ว”
“ฉันเองก็เชื่อว่าฉันทำได้”
เซี่ยปิงชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็หยิบยาอีกขวดให้ฉินมู่หลาน “เธอเอาอันนี้ไปด้วย ทำให้คนตายได้อย่างเงียบ ๆ และหาสาเหตุไม่ได้ด้วย”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานจะปฏิเสธ เซี่ยปิงชิงก็อดพูดไม่ได้ “นี่เป็นแค่ตัวเลือก เอาไว้ใช้มันเฉพาะสถานการณ์จวนตัวก็พอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สุดท้ายฉินมู่หลานจึงยอมรับไป “ได้ ขอบคุณนะปิงชิง”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
เซี่ยปิงชิงโบกมือทันที แล้วเอ่ยถามด้วยความขัดใจนิดหน่อย “เธอไม่ลองเอายาที่ฉันเพิ่งแนะนำไปด้วยเหรอ มีประโยชน์จริง ๆ นะ”
“ไม่ต้องหรอก มีแค่สองอย่างนี้ก็พอแล้ว”
ฉินมู่หลานปฏิเสธตามตรง
หลังจากได้รับยาสองขวดและยาแก้พิษจากเซี่ยปิงชิงแล้ว ฉินมู่หลานจึงกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที เธอยังต้องเตรียมตัวให้พร้อม
จนกระทั่งถึงเวลากินอาหารเย็น ชุยเสี่ยวผิงกับเหวินเฉียนทั้งสองคนก็กลับมาแล้ว
“พี่สะใภ้คะ โหยวหย่งติดต่อไปที่ผู้กองเซี่ยโดยตรงแล้วค่ะ และถึงตอนนั้นจะพาหวังหู่คอยแอบตามคุ้มกันพี่สะใภ้กับพวกเราด้วย”
ชุยเสี่ยวผิงก็เอ่ยขึ้นตามมา “พี่สะใภ้คะ สหายของฉันทุกคนก็ตอบตกลงหมดเลยค่ะ ถึงตอนนั้นพวกฉันกับพวกเหวินฉียนจะแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะเป็นจุดสนใจน้อยลงค่ะ”
“ได้ ขอบคุณพวกเธอมากนะ”
ฉินมู่หลานเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางเคร่งขรึม หลังจากนั้นก็บอกให้ทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อม “อีกสามวันฉันจะออกเดินทาง พวกเธอก็เตรียมตัวให้พร้อมนะ”
“ค่ะ”
เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ไปที่บ้านตระกูลเซี่ยอีกครั้ง
เซี่ยฉางชิงเห็นฉินมู่หลานมาหา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจ “มู่หลาน ลูกมาทำไมเหรอ?”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันกำหนดวันออกเดินทางแล้วค่ะ เลยแวะมาคุยกับพ่อ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวจำคำพูดของตัวเองได้ เซี่ยฉางชิงก็ได้แต่รู้สึกดีใจ “จริงเหรอ แล้วมันเมื่อไหร่กัน?”
“อีกสองวันให้หลังค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางชิงจึงขมวดคิ้วนิดหน่อย “ทำไมถึงออกเดินทางเร็วจัง ลูกบอกอาหลี่แล้วหรือยัง?”
“อาหลี่รู้เรื่องที่ฉันจะไปแล้วค่ะ แต่เมื่อวานเด็กทั้งสองคนงอแง ตอนแรกฉันคิดว่าคงเป็นเพราะไม่ได้อยู่กับคุณย่ากับคุณยายของพวกเขา แต่เมื่อวานนี้ฉันลองเลี้ยงคนเดียวไม่ให้พวกเขาได้เจอคุณย่ากับคุณยาย เด็กทั้งสองคนกลับงอแงนิดหน่อย ครั้งนี้ฉันจึงตั้งใจว่าจะไปคนเดียว แต่ฉันเองก็น่าจะอยู่กับอาหลี่ได้น้อยลง สักเจ็ดหรือแปดวันก็จะกลับมาแล้วค่ะ”
เซี่ยฉางชิงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เด็กสองคนนั้นเกิดมา ก็ได้คุณยายกับคุณย่าดูแลตลอด ได้เจอพวกเขาทุกวัน พออยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้เจอ พวกเขาก็ต้องงอแงเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเด็กทั้งสองก็ครบหนึ่งขวบแล้ว พวกเขาก็คงมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น”
ทั้งสองเดินเข้าไปข้างในระหว่างที่พูดคุยกัน
หลังจากคุณนายเซี่ยทราบว่าฉินมู่หลานมา ก็ยิ้มแย้มแล้วเรียกเธอมาพูดคุยด้วย เมื่อเห็นว่าหลานสาวคนโตจะออกเดินในอีกสองวันข้างหน้าก็อดพูดไม่ได้ “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นในสองวันนี้หลานก็เตรียมตัวให้พร้อมนะ”
“คุณย่าวางใจค่ะ หนูเตรียมตัวพร้อมแล้วค่ะ”
เมื่อเห็นหลานสาวคนโตพูดแบบนี้ คุณนายเซี่ยจึงไม่ต้องพูดอะไรอีก ได้แต่ยกยิ้มแล้วเชื้อเชิญให้ทานข้าวด้วย “มู่หลานกินข้าวกลางวันด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ”
ฉินมู่หลานยิ้มและพยักหน้าตามปกติ แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยอวี่หรงเหมือนจะไม่อยู่บ้าน จึงอดถามเพิ่มเติมเสียไม่ได้ “น้องอวี่หรงไม่อยู่เหรอคะ”
เมื่อพูดถึงหลานสาวคนเล็ก ใบหน้าของคุณนายเซี่ยก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กี่วันก่อน อวี่หรงมีนัดดูตัวกับซูจิ้งเหยา หลานชายคนโตของตระกูลซู ทั้งสองเหมือนจะชอบพอกันมาก วันนี้ก็เลยนัดออกไปกินข้าวกันอีกรอบ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานจึงยกยิ้มแล้วเอ่ยแสดงความยินดี “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นต้องขอแสดงความยินดีกับน้องอวี่หรงด้วย หนูก็เคยได้ยินเรื่องของซูจิ้งเหยาคนนี้มาเหมือนกัน ได้ยินมาว่าเขามีความสามารถเต็มเปี่ยมเลยค่ะ”
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นอวี่หรงจึงถูกตาต้องใจกับเขามาก ย่ารู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ”
คุณนายเซี่ยพอใจกับตระกูลซูและซูจิ้งเหยาเป็นอย่างมาก จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตระกูของพวกเขาจะได้ตกลงเรื่องวันแต่งงานกับตระกูลซูโดยเร็วที่สุด
เซี่ยฉางชิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้พูดอะไร การนัดดูตัวกับตระกูลซูในครั้งนี้ มีเติ้งซูหลานเป็นคนจัดการทั้งหมด เขาจึงไม่ออกความเห็นใด
ขณะหลายคนกำลังพูดคุยกัน เติ้งซูหลานก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นฉินมู่หลาน ก็กล่าวทักทายพร้อมรรอยยิ้ม “มู่หลานมาเหรอ เดี๋ยวฉันไปบอกที่ครัวก่อน ว่าให้ทำของโปรดเธอ”
ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณน้าเติ้งมากเลยนะคะ”
วันนี้ทางครอบครัวลูกชายคนโตออกไปหาอะไรทำข้างนอก เซี่ยอวี่หรงก็ไม่อยู่เหมือนกัน แม้กระทั่งนายท่านเซี่ยเองก็ยังออกไปพบปะเพื่อนฝูง เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันจึงมีเพียงแค่ฉินมู่หลาน คุณนายเซี่ย เซี่ยฉางชิง และเติ้งซูหลานเท่านั้น และเติ้งซูหลานก็ได้ทราบว่าฉินมู่หลานกำลังจะออกเดินทางในอีกสองวัน จึงตักเตือนพร้อมใบหน้าเป็นกังวล
ฉินมู่หลานยอมรับคำพูดพวกนั้นพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ฉินมู่หลานก็อยากจะพูดคุยกับคุณนายเซี่ยให้มากกว่านี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่หาได้ยาก “คุณย่าคะ หนูไม่ได้มาที่ช่วงหนึ่งแล้ว วันนี้ก็เลยอยากจะอยู่คุยกับคุณย่าสักหน่อยค่ะ”
คุณนายเซี่ยได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเป็นกันเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลย ย่าเองก็มีเรื่องจะคุยกับหลานเยอะเหมือกัน”
เติ้งซูหลานเห็นว่าฉินมู่หลานยังไม่กลับไป หล่อนก็มาพูดคุยด้วยอยู่สักพัก แต่ไม่นานก็กลับไปทางลานบ้านของตัวเอง
ฉินมู่หลานเฝ้ามองร่างของเติ้งซูหลานที่เดินจากไป แววตาก็ส่องประกายสลัว และเมื่อเซี่ยฉางชิงเห็นฉินมู่หลานกำลังคุยกับคุณหญิง จึงอดพูดขึ้นเสียไม่ได้ “แม่ มู่หลาน ผมขอไปทำงานที่ห้องหนังสือก่อนนะ”
“ได้ แกรีบไปเถอะ”
คุณนายเซี่ยโบกมือไล่ แล้วให้เซี่ยฉางชิงปล่อยพวกเธอไว้ตามลำพัง
หลังจากเซี่ยฉางชิงไปแล้ว ฉินมู่หลานก็ยังพูดคุยกับคุณนายเซี่ยต่อ เธอคิดจะไปหาเซี่ยฉางชิงทีหลัง และในตอนนั้นเองนายท่านเซี่ยก็กลับมาแล้ว เขาเห็นฉินมู่หลานอยู่ที่นี่ จึงอดพูดไม่ได้ “มู่หลานเป็นแขกมาที่บ้านแล้ว ทำไมซูหลานถึงออกไปข้างนอก หล่อนไม่มาคุยกับพวกหลานเลยหรือ”
คุณนายเซี่ยตกใจเมื่อได้ยินแบบนี้ ก่อนจะบอกกล่าว “ซูหลานเพิ่งกลับไปพักผ่อนนี่เอง ไม่คิดว่าจะออกไปข้างนอกอีก คงมีธุระอะไรให้ออกไปนั่นแหละ”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ค่ะ น้าเติ้งคงมีธุระบางอย่าง” จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกกล่าว “คุณปู่คุณย่าคะ อยู่ ๆ หนูก็นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกอะไรคุณพ่อ เดี๋ยวหนูขอไปหาเขาก่อนนะคะ”
“ได้ หลานรีบไปเถอะ”
เมื่อฉินมู่หลานเจอเซี่ยฉางชิงก็ไม่อ้อมค้อม เธอบอกข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเติ้งซูหลานขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็พูดว่า “เติ้งซูหลานเพิ่งออกไปข้างนอกค่ะ อาจเป็นเพราะทราบวันเดินทางที่แน่นอนของฉันแล้ว จึงรีบไปเตรียมการ”
เซี่ยฉางชิงที่กำลังตามสืบเรื่องของเติ้งซูหลานได้ยินเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกแปลกใจ “หล่อนกล้าดียังไง”
“หล่อนมีอะไรที่ไม่กล้าคะ”
เซี่ยฉางชิงได้ยินแบบนี้ จึงพูดไม่ออกทันที
แต่ฉินมู่หลานเห็นท่าทางของเซี่ยฉางชิงดูเหลือเชื่อ จึงเอ่ยบอกตามตรง “คุณพ่อคะ ถ้าพ่อทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าเติ้งซูหลาน แบบนี้อาจจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้นะคะ”
เซี่ยฉางชิงพอมีประสบการณ์ สักพักหนึ่งเขาจึงกลับมาพูดจาตามปกติ “มู่หลานวางใจได้ พ่อจะไม่ยอมให้ใครเห็นพิรุธของพ่อแน่นอน”
หลังจากพูดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นต่อ “มู่หลาน พ่อเข้าใจว่าลูกอยากไปหาอาหลี่ที่นั่น พ่อก็เลยไม่อยากขัดอะไร แต่พ่อจะหาคนคอยคุ้มกันลูกให้นะ”
“จริง ๆ แล้วฉันมีคนคอยตามคุ้มกันอยู่แล้วค่ะ”
ฉินมู่หลานไม่ได้อธิบายลงรายละเอียด ได้แต่บอกว่าตัวเองไม่มีปัญหาอะไร
แต่เซี่ยฉางชิงยังไม่วางใจนัก จึงอยากให้ใครสักคนคอยตามคุ้มกันลูกสาวคนโตของตัวเอง
มู่หลานกลัวว่าการมีคนมากเกินไปจะรบกวนการทำงานของพวกโหยวหย่ง จึงบอกให้เซี่ยฉางชิงทำหน้าที่อื่นแทน “พ่อให้คนคอยจับตาดูเติ้งซูหลานก็พอค่ะ ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางชิงก็รู้สึกว่าสมเหตุผล
“ได้ เติ้งซูหลานเดี๋ยวพ่อจัดการเอง พ่อจะต้องรู้ให้ได้ว่าเติ้งซูหลานคิดอยากทำร้ายลูกตอนออกไปข้างนอกจริงไหม”
แต่แล้วเซี่ยฉางชิงก็ต้องผิดหวัง เมื่อฉินมู่หลานถึงเวลาออกเดินทาง เขาไม่พบข้อมูลสำคัญอะไรเลย ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเติ้งซูหลานส่งใครไปทำร้ายฉินมู่หลาน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าลูกสาวคนโตอาจคาดเดาผิดไป
ฉินมู่หลานยังรู้สึกว่าตัวเองคาดเดาถูก เมื่อถึงเวลาออกเดินทางในวันนั้น เธอเก็บสัมภาระและขึ้นรถไฟไปตามลำพัง มุ่งหน้าไปหาเซี่ยเจ๋อหลี่ แต่เธอทราบดีว่ามีคนคอยตามคุ้มกันอยู่มากมาย จึงรู้สึกสบายใจมาก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ภัยที่ว่ามันอาจไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดๆ น่ะค่ะ เติ้งซูหลานคนนี้ร้ายจะตาย
ไหหม่า(海馬)