ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 389 หนีไม่พ้น(1)
ตอนที่ 389 หนีไม่พ้น(1)
ตอนที่ 389 หนีไม่พ้น(1)
เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม่เฒ่าผางจึงได้แต่รู้สึกขนลุกชูชันขึ้นมาทันที
หากผู้หญิงคนนี้ตามเธอกับลวี่ต้านีมาถึงที่นี่จริง เช่นนั้นจุดประสงค์ของเธอคงไม่บริสุทธิ์ และการที่เธอจะมาที่นี่เพียงลำพังย่อมเป็นไปไม่ได้เลย หากเป็นเช่นนั้นคงเสี่ยงเกินไป จึงต้องมีใครคอยแอบจับตาดูเธออยู่แน่นอน ตอนนี้คนพวกนี้อาจล้อมพวกเขาเอาไว้หมดแล้วก็เป็นได้
แค่นึกถึงเรื่องนี้ แม่เฒ่าผางก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ครั้งนี้พวกเขาไม่ควรโลภหวังอยากได้เงินขนาดนั้นเลย เดิมคิดเพียงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหญิงแกร่ง ตอนนี้พวกเขาโดนคน ๆ นี้จับได้แล้ว
อาหวู่กับคนอื่นก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน พวกเขามองฉินมู่หลานด้วยแววตาเกลียดชัง ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่แสดงความโหดเหี้ยมเท่านั้น วิธีการลงมือก็ไร้ความปรานี นี่เหมือนคิดจะฆ่าพวกเขาเลย
ในตอนนั้นเอง ด้านข้างบริเวณหน้าต่างก็มีเสียงดังขึ้น ฉินมู่หลานหันมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน แล้วเดินเข้าไปใกล้ด้วยความระแวดระวัง ในมือตระเตรียมผงกระดูกอ่อนเอาไว้เรียบร้อย
“พี่สะใภ้…”
มีเสียงคนตะโกนอยู่ตรงนอกหน้าต่าง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฉินมู่หลานก็รู้สึกวางใจ เป็นเสียงโหยวหย่งนั่นเอง
“นายปีนทางหน้าต่างเข้ามาได้นะ”
โหยวหย่งได้ยินแบบนี้ จึงหันหลังแล้วปีนเข้ามา “พี่สะใภ้ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร”
ฉินมู่หลานแค่นหัวเราะแล้วชี้นิ้วไปที่แม่เฒ่าผางและพวกของอาหวู่ก่อนจะพูดขึ้น “คนพวกนี้เป็นพวกค้ามนุษย์ ห้องข้าง ๆ มีผู้หญิงกับเด็กถูกขังเอาไว้เยอะมาก เหอะ…เติ้งซูหลานนี่คิดรอบคอบมาก หล่อนจะขายฉันให้กับซ่องที่อยู่ในฮ่องกง เพื่อให้ชีวิตฉันเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจอะไรเช่นนี้”
โหยวหย่งได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนตามกัน
“จิตใจชั่วช้ามาก”
ทางฝั่งฮ่องกงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะรับมือได้ อย่าว่าแต่การตามหาคนเลย หากพี่สะใภ้โดนส่งไปที่ฮ่องกงจริง ทางนั้นคงมีเรื่องอะไรรอเธออยู่มากมาย แค่คิดก็น่าขนลุกไปหมด
“ใช่แล้ว ชั่วช้ามากจริง ๆ เพราะฉะนั้นครั้งนี้จะต้องทำให้เติ้งซูหลานไม่ตายดี”
หลังจากพูดจบ แววตาของฉินมู่หลานก็ดูโหดร้ายขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางของฉินมู่หลาน โหยวหย่งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “ใช่ครับ พี่สะใภ้ ควรจะเป็นอย่างนั้น”
เขาค้นพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยเจ๋อหลี่แล้ว พี่สะใภ้เหมือนจะมีความเลือดร้อนมากกว่า ดูจากวิธีการอันเหี้ยมโหดของพี่สะใภ้แล้ว มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียนี่กระไร
ฉินมู่หลานเห็นว่าโหยวหย่งเห็นด้วย จึงอดที่จะยิ้มขึ้นมาเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “คนของพวกเราล้อมอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ครับ อยู่รอบ ๆ หมดเลย อยากให้พวกเขาเข้ามาตอนนี้เลยไหมครับ?”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ค่ะ ให้พวกเขาเข้ามาเลย หลังจากจับคนพวกนี้ได้หมดแล้วจะได้เค้นถามอย่างถี่ถ้วน ว่าคนที่จะมารับตัวฉันไปในตอนเย็นคือใคร”
“ครับ”
โหยวหย่งพยักหน้าทันที แต่เขายังไม่ทันได้ไปเรียกคนก็พบว่าทั้งห้องนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้หมดแล้ว
แม่เฒ่าผางก็ได้ยินเสียงข้างนอกเหมือนกัน สีหน้าในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นโอกาสดี อาศัยจังวะจากช่วงที่คนของฉินมู่หลานยังไม่ม รีบจับสองคนนี้ ถึงตอนนี้ก็จะไม่ต้องกลัวคนพวกนั้นแล้ว เพราะฉินมู่หลานซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญอยู่ในน้ำมือของพวกเขา
“สวัสดี…คนที่อยู่ข้างใน พวกคุณถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว รีบพาตัวเองออกมามอบตัวเสีย”
จู้จื่อเป็นฝ่ายตะโกนนำ พลางจ้องมองไปตรงบานประตูด้วยสายตาชั่วร้าย
ลวี่เถี่ยจ้องมองไปยังบานประตูด้วยสายตาเรียบเฉย สีหน้าค่อนข้างบูดบึ้ง ตอนแรกก็คิดอยากจะดูแลคนให้ดี แล้วรีบส่งตัวออกไปให้เร็วที่สุดในคืนนี้ แต่กลับพบว่าตรงบริเวณหน้าต่างไม่ค่อยเรียบร้อย เขาจึงคาดเดาว่าอาจมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริง
ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังจะเดินไปเปอดประตู โหยวหย่งก็พูดขึ้น “พี่สะใภ้ ผมเองครับ”
โหยวหย่งเดินเข้าไปขวางตรงหน้าฉินมู่หลาน แล้วค่อย ๆ เปิดประตูออก
ลวี่ต้านีก็อยู่ด้วย เมื่อไม่เห็นฉินมู่หลาน แต่เจอชายแปลกหน้าแทน จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “แกเป็นใคร ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ลวี่เถี่ยเป่ยหันมองน้องสาวตัวเอง แล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่เห็นต้องถาม ก็มาช่วยคนไง”
แต่โหยวหย่งไม่ได้สนใจคนพวกนี้เลย เมื่อเปิดประตูออกแล้ว ก็เป่านกหวีดเสียงดังลั่น
เมื่อได้ยินเสียงนกหวีด ลวี่เถี่ยก็แอบสบถเสียงเบาว่า ‘ฉิบหาย’ “เร็วเข้า รีบจับตัวมันกับนังผู้หญิงนั่นเอาไว้ ต้องมีพวกมันอยู่ใกล้ ๆ อีกแน่”
หลังจากฟังคำสั่งของลวี่เถี่ย จู้จื่อก็รีบพาคนวิ่งเข้าไป
แม้โหยวหย่งจะรู้สึกสงสัยมาก แต่เขาก็เลือกที่จะฟังคำพูดของฉินมู่หลาน ดังนั้นจึงก้าวหลบไปข้าง ๆ หนึ่งก้าวทันที
พวกคนของจู้จื่อเห็นท่าทางของโหยวหย่ง สีหน้าก็อดตกใจไม่ได้ ทราบอยู่ว่าชายคนนี้มีหน้าที่คุ้มกันฉินมู่หลาน แต่เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตกลับถอยหนีไปเสียง่าย ๆ เขาทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร นี่คือตั้งใจทำให้เรื่องมันแย่ลง แล้วไม่ปกป้องอย่างนั้นเหรอ
เมื่อเห็นแบบนี้ จู้จื่อก็อดหัวเราะขึ้นมาเสียไม่ได้
“ฉันว่าพวกแกยกมือขึ้นให้พวกเรามัดเถอะ จะได้ไม่ต้องทำให้พวกเราลำบากจำพวกแก”
แต่ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าผางกับอาหวู่ที่กำลังนอนอยู่บนพื้นกลับรู้ว่าฉินมู่หลานต้องการทำอะไร พวกเขาอยากจะส่งเสียงตะโกนบอก แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
ฉินมู่หลานอาศัยจังหวะที่พวกจู้จื่อกำลังเดินเข้ามา แล้วปาผงยาออกไปประมาณหนึ่งกำมือ
พวกจู้จื่อยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนรู้สึกว่าแทบลืมตาไม่ขึ้น
“แกมัน…”
จู้จื่อกำลังจะก่นด่า เพียงแต่ยังพูดได้ไม่ถึงสองคำก็ไม่อาจประคองร่างกายเอาไว้ได้แล้ว พวกชายหนุ่มอีกห้าถึงหกคนที่เข้ามาพร้อมกับเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นเช่นกัน ก่อนจะนอนแน่นิ่งไม่สามารถขยับได้อยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นแบบนี้ หลายคนจึงไม่นึกสงสัยแล้ว ที่โหยวหย่งถอยไปตอนแรกก็เพื่อให้ฉินมู่หลานแอบทำเรื่องนี้
เลวทรามเหลือเกิน…
เมื่อคนทราบว่าฉินมู่หลานมีผงยาที่ทำให้คนไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ คนที่อยู่หลังจากนั้นจึงไม่เดินหน้าต่อ
ลวี่เถี่ยเห็นแบบนี้สีหน้าก็พลันโกรธจัดน่ากลัว เขาเห็นว่าหลายคนทำอะไรไม่ได้ จึงเอ่ยตะโกนเสียงดัง “มันมีผงยาไม่มากหรอก พวกแกก็ปิดปากปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ก็ได้ แค่ไม่สูดดมเข้าไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนก็มีปฏิกิริยาอีกครั้ง เพียงแต่ในใจก็ยังกลัวนิดหน่อย
โหยวหย่งเห็นว่าคนพวกนั้นกำลังล่าถอย จึงเข้าใจว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ จึงเดินเข้าไปสวนคนพวกนั้นทันที
คนพวกนั้นเห็นว่าเป็นโหยวหย่ง จึงไม่ได้รู้สึกกลัวขนาดนั้น หากคนนี้มียาผงติดตัว เมื่อสักครู่คงไม่ถอยออกไป ดังนั้นจึงพุ่งตัวเข้าใส่โหยวหย่งทันที
คนพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโหยวหย่งเลย แต่ด้วยความที่จำนวนคนมีเยอะมาก จึงทำให้โหยวหย่งตกอยู่ในความชุลมุนสักพัก
ลวี่เถี่ยเห็นว่าโหยวหย่งกำลังชุลมุน เขาจึงหันมองฉินมู่หลานด้วยสายตาชั่วร้าย จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเธอ
“พี่ อันตราย”
ลวี่ต้านีเห็นแบบนี้ จึงร้องตะโกนขึ้นทันที
แต่ถึงอย่างนั้น ลวี่เถี่ยก็หยิบปืนออกมาด้วยสีหน้ามืดมน แล้วเล็งเป้าไปที่ฉินมู่หลาน “ฉันไม่เข้าไปใกล้หรอก วันนี้นังผู้หญิงนี่ต้องตาย”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โดนพิษกันถ้วนหน้า มู่หลานจะปาพิษอะไรมาอีก
ไหหม่า(海馬)