ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 402 ความเชื่อมั่น(2)
ตอนที่ 402 ความเชื่อมั่น(2)
แม้จะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เจี่ยงสือเหิงก็ยังตื่นอยู่ดี เขาเห็นแววตาสดใสของเซี่ยปิงชิง ก็อดยิ้มไมได้ แล้วกล่าว “สร่างเมาแล้วเหรอครับ?”
“อื้ม”
เซี่ยปิงชิงหน้าแดงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
ถึงแม้ว่าเมื่อคืนหล่อนจะเมา แต่ก็ยังพอจำได้เลือนราง จำได้ว่าเหมือนตัวเองจะอาเจียน โดยที่เจี่ยงสือเหิงเหมือนจะคอยดูแลตัวเองเมื่อคืนนี้ “อืม…เมื่อคืนขอบคุณคุณมากนะคะ”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มมพลางส่ายหัว แล้วตอบกลับ “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ไหน ๆ คุณก็ตื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะ คุณรีบลุกขึ้นอาบน้ำแล้วไปกินข้าวเถอะ”
“อา ได้”
หลังจากเจี่ยงสือเหิงกลับไปแล้ว เซี่ยปิงชิงก็รีบลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากนั้นก็ไปห้องกินอาหาร
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยปิงชิงมาแล้ว จึงอดถามไม่ได้ “ปิงชิง ทำไมมีเธอคนเดียว แล้วพ่อบุญธรรมล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็อดหันมองไปเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น เธอรู้ว่าเมื่อคืนฉันกับเจี่ยงสือเหิงอยู่ด้วยกันเหรอ?”
“พ่อบุญธรรมเห็นเธอเมาแล้วหลับไปจึงเป็นห่วงมาก ก็เลยตามฉันไปช่วยดูการ แต่ดูแล้วเธอก็แค่เมา จากนั้นพ่อบุญธรรมกลัวว่าเธอจะเมาจนไม่ได้สติ ถ้าหากอาเจียนจะไม่มีใครรู้ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดคงไม่ดี ก็เลยคอยอยู่ดูแลเธอ”
“อ๋อ…มีเขาเฝ้าก็ดีนะ แต่…”
หลังจากพูดจบ เซี่ยปิงชิงก็หันมองฉินมู่หลาน แล้วพูด “ทำไมเธอไม่ขอให้คนอื่นไปเฝ้าฉันแทนล่ะ ให้เจี่ยงสือเหิงคอยเฝ้าฉันรู้สึกอายมากนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็มองเซี่ยปิงชิงสักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็เธอเป็นคนลากพ่อบุญธรรมออกไปด้วยเองนี่นา ไม่ใช่ว่าต้องการพ่อบุญธรรมหรอกเหรอ”
“ฉัน…”
เซี่ยปิงชิงพูดไม่ออกอยู๋พักหนึ่ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “มีอะไรกินไหม ฉันรู้สึกหิวมากเลย”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วบอกกล่าว “มีอยู่แล้ว เธอนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเดินไปตักในครัวมาให้”
ขณะเซี่ยปิงชิงกำลังกินอาหารเช้า เจี่ยงสือเหิงก็จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินมา ฉฺนมู่หลานเห็นเจี่ยงสือเหิงดูเหนื่อยล้านิดหน่อย จึงอดถามไม่ได้ “พ่อคะ ทำไมไม่นอนอีกสักหน่อยล่ะ”
“พ่อมีธุระต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย ก็เลยมากินข้าวเช้าก่อน”
ยังไม่ทันที่ฉินมู่หลานจะได้พูด เซี่ยปิงชิงก็พูดขึ้นก่อนแล้ว “ทำไมคุณต้องออกไปข้างนอกด้วยล่ะ มีธุระด่วนเหรอ?”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินจึงยิ้มแล้วมองไป ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ไม่ไดเร่งด่วนมากหรอก”
“ไม่ได้เร่งด่วนมาก ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านไปเนี่ยแหละ เมื่อคืนนายนอนไม่ค่อยพอ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยพูด มุมปากของเจี่ยงสือเหิงก็ยกยิ้มขึ้นิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างว่าง่าย “ได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ไปแล้ว”
ฉินมู่หลานรู้สึกเป็นก้างขวางคอนิดหน่อย เธอจึงลึกขึ้นยืนแล้วบอกกล่าว “พ่อคะ ปิงชิง ทุกคนกินมื้อเช้ากันไป เดี๋ยวหนูขอไปดูชิงชิงกับเฉินเฉินก่อนนะคะ”
ในตอนนั้นเอง ลุงเจี่ยงก็เดินมาหา
“คุณหนูน้อย คุณโหยวหย่งมาหาครับ บอกว่ามีเรื่องอยากพบคุณหนู”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็รีบบอกกล่าวทันที “ค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปค่ะ”
โหยวหย่งมาหาเธอ ถ้าอย่างนั้นก็คงมีเรื่อง และเมื่อเธอได้เจอโหยวหย่ง ก็พบว่าเขานำข่าวใหญ่ที่ไม่คาดคิดมาฝาก
“พี่สะใภ้ครับ ผมเจอชายคนที่เติ้งซูหลานจ้างวานฆ่าในปีนั้นแล้วครับ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็ดูดีใจมาก “จริงเหรอ ตอนนี้หมอนั่นอยู่ที่ไหน?” เซี่ยฉางชิงก็เคยเจอชายคนนั้นมาก่อน แต่ยังจับตัวไม่ได้ ไม่คิดว่าโหยวหย่งจะลงมือได้เร็วขนาดนี้
“คนถูกพามาที่เมืองหลวงแล้วครับ พวกเราออกไปหากันเลยดีไหมครับ” ตอนที่พี่สะใภ้ถามหาว่ามีคนรู้จักอยู่ที่มณฑลเซินเจิ้นบ้างไหม เขานึกขึ้นได้ว่ามีสหายอยู่ที่มณฑลเซินเจิ้นสองคน จึงรีบขอความช่วยเหลือไป ไม่คิดว่าจะจับคนได้จริง ๆ
“ได้ ไปหาตอนนี้เลย”
ฉินมู่หลานต้องการพบชายคนนั้นโดยเร็วที่สุด แล้วถามเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นอย่างละเอียด
แต่ฉินมู่หลานเดินออกไปได้ไม่นาน ก็นึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ เธอกลับไปที่ห้องทานอาหารอีกครั้ง ก่อนจะขอยากล่อมประสาทเม็ดสุดท้ายจากเซี่ยปิงชิง
“ได้ เดี๋ยวฉันไปเอาให้”
เซี่ยปิงชิงไม่ถามอะไรมาก แล้วไปหยิบยามาให้ทันที
เป็นเจี่ยงสือเหิงที่ถามขึ้นแทน หลังจากทราบว่าชายที่ก่อเหตุในปีนั้นโดนจับตัวได้แล้ว ก็รีบพูดขึ้นทันที “มู่หลาน เดี๋ยวพ่อไปกับลูกด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ มีพวกโหยวหย่งไปกับด้วย เพราะฉะนั้นพ่อไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ แล้วสีหน้าพ่อก็ดูไม่ค่อยดีเลย ควรรีบไปพักผ่อนดีกว่านะคะ”
โหยวหย่งเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงสีหน้าไม่ค่อยดี จึงพูดขึ้นตามกัน “ใช่ครับ พวกเราจะปกป้องพี่สะใภ้เป็นอย่างดี ท่านไม่ต้องห่วงครับ”
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงอยากพูดต่อรองอีกหน่อย แต่ฉินมู่หลานยืนกรานเด็ดขาด เขาจึงไม่เซ้าซี้ต่อไปอีก
หลังจากฉินมู่หลานรับยาที่เซี่ยปิงชิงเอามาให้แล้ว ก็รีบออกไปทันที
หลายคนตรงไปสถานที่คุมขังชายคนนั้นเอาไว้ในตอนนี้ ฉินมู่หลานใช้ยาเม็ดสุดท้ายอย่างไม่ลังเล ก่อนจะถามเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
ปีนั้น เติ้งซูหลานจ้างวานให้ชายที่ชื่อหวังฉซนคนนี้ไปที่มณฑลซานตงจริง และเขาก็คือคนที่ลงมือฆ่าซูหว่านอวี๋จริง กลายเป็นว่าซูหว่านอวี๋ไม่ได้มีภาวะคลอดบุตรยากเลย เป็นเขาที่จัดฉากขึ้น ทำให้หลายคนคิดว่าซูหว่านอวี๋มีภาวะคลอดบุตรยาก ขณะที่เขากำลังจะลงมือกับทารก หมอก็มากันแล้ว ทำให้เขาต้องรีบร้อนออกจากตรงนั้น เมื่อกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งก็พบว่าเด็กก็ตายแล้วเหมือนกัน
จริง ๆ แล้วเด็กที่ตายไปคือลูกของซูหว่านอี๋ และฉินมู่หลานก็คือลูกของซูหว่านอวี๋
เป็นเพราะพวกหมอเข้ามา จึงซื้อเวลาให้ฉินมู่หลานได้นิดหน่อย เมื่อนำเธอไปวางอยู่ข้างซูหว่านอี๋ เธอจึงรอดชีวิตมาได้
ในตอนนั้นหวังฉวนคิดว่าเด็กคนนั้นตายแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เขาเองก้ไม่คิดว่าจะมีการสลับเปลี่ยนตัวเด็กกัน จึงเป็นสาเหตุที่ยังรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
ฉินมู่หลานทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น แววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
โหยวหย่งจึหันมองแล้วเอ่ยถามฉินมู่หลาน “พี่สะใภ้ครับ คุณจะเอายังไงต่อไป?”
“ตอนนี้ก็เจอชายคนนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ส่งตัวไปให้ตำรวจ แบบนี้ เติ้งซูหลานก็จะไม่สามารถรอดพ้นจากข้อกล่าวหาได้แล้ว”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานบอกแบบนั้น โหยวหย่งก็พยักหน้าแล้วตอบรับ “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ไม่นานนัก หวังฉวนก็โดนส่งไปที่สถานีตำรวจ มีพยานปากสำคัญเช่นนี้ เติ้งซูหลานต้องโดนข้อหาจ้างวานฆ่าอย่างแน่นอน และเซี่ยฉางชิงก็ทราบเรื่องเช่นกัน เขาจึงรีบวิ่งแจ้นไปทันที
“ฉู่เหวินหย่วน ฉันอยากเจอเจ้าหวังฉวนนั่น”
ฉู่เหวินหย่วนได้ยินแบบนี้ก็ไม่ปฏิเสธ ให้เซี่ยฉางชิงไปพบคนผู้นั้นโดยตรง
หวังฉวนเห็นว่าตัวเองได้สารภาพผิดออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้ว ก็ไม่ปกปิดอะไรอีกต่อไป บอกรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เซี่ยฉางชิงได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น คนทั้งคนจึงเหม่อลอยนิดหน่อย ถึงแม้จะพอคาดเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หลังจากมาได้ยินจริง ๆ เขาก็ยังรู้สึกโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก หากว่าตอนนั้นเขาใส่ใจสักหน่อย ถ้าหากเขาทราบว่าตอนนั้นหว่านอวี๋อยู่ที่ไหน เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
ถึงอย่างไร…โลกนี้ก็ไม่มีคำว่าแต่