ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 41 ค่าลิขสิทธิ์มาแล้ว
ตอนที่ 41 ค่าลิขสิทธิ์มาแล้ว
ตอนที่ 41 ค่าลิขสิทธิ์มาแล้ว
ทางด้านนี้ ฉินมู่หลานยังคงยุ่งอยู่กับการเตรียมสมุนไพรทำยา
ส่วนอีกด้าน เหยาจิ้งจือก็ได้พาสามีของหล่อนไปพูดคุยกันในห้อง “วันนี้คุณไปบ้านตระกูลเหอได้พูดอะไรไปบ้าง แล้วทางฝั่งตระกูลเหอว่าอย่างไร พวกเขาระแคะระคายอะไรพวกเราหรือเปล่า?”
ตระกูลเหอคือครอบครัวที่เซี่ยเหวินปิงได้นัดหมายดูตัวเอาไว้ให้ลูกสาว เซี่ยเหวินปิงรีบไปก่อนนัดหมายเพื่อไปให้ถึงบ้านตระกูลเหอก่อน พลางเอ่ยบอกในเรื่องที่อาจทำให้มองหน้ากันไม่ติด หล่อนรู้ว่าสามีของตนเป็นซื่อตรง จึงไม่รู้ว่าสามีเอ่ยกล่าวสิ่งใดไปบ้าง
เซี่ยเหวินปิงได้ยินดังนั้น ก็ได้ถอนหายใจ พลางเอ่ยขึ้น “เฮ้อ…พ่อหนุ่มเหอซิ่งช่างดีเหลือเกิน ตระกูลเหอเองก็ดีมากเหมือนกัน เซี่ยเจ๋อน่าพลาดเข้าแล้วล่ะ นังเด็กนั่นพลาดครั้งใหญ่เลย วันนี้ตอนที่ผมไปถึง พวกเขากำลังจะออกจากบ้านพอดี พอเห็นผมก็รู้สึกแปลกใจกันใหญ่ จนกระทั่งผมพูดอธิบายว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร ในตอนแรกตระกูลเหอก็แอบเคือง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดจาว่าร้ายอะไรครอบครัวของเราเลย พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนมีเหตุผล เฮ้อ…”
เมื่อนึกถึงความมีเหตุผลของตระกูลเหอ เซี่ยเหวินปิงจึงรู้สึกเสียดาย
เป็นตระกูลสามีที่ดีทีเดียว แต่ก็หลุดมือไปเสียแล้ว
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าตระกูลเหอช่างเป็นครอบครัวที่ดีมากเช่นกัน แต่ยังคงจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ว่าสามีเอ่ยสิ่งใด “แล้วคุณไม่ได้บอกเรื่องที่ลูกสาวเราจะแต่งกับเกาหยวนใช่ไหม”
หากเอ่ยไปแล้ว มันจะทำให้ตระกูลเหอมองลูกสาวของตนไม่ดี
“เปล่า ผมแค่ยอกไปว่าเราเพิ่งรู้ว่าลูกสาวมีคนในใจแล้ว ก็เลยรู้สึกเสียใจมากจริง ๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็พยักหน้าพร้อมทั้งเอ่ย “พูดยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละเฮ้อ…ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกสาวแท้ๆ” เมื่อเอ่ยถึงประโยคหลัง สุดท้ายหล่อนก็หันมองสามีพลางเอ่ยถามขึ้น “ถ้าลูกสาวเราจดทะเบียนสมรสกับเจ้าเกาหยวนนั่นจริง พวกเราจะตัดขาดกับลูกจริงเหรอ?”
เมื่อเซี่นะเหวินปิงได้ยินดังนั้น จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ผมให้ลูกเลือกแล้ว เป็นการตัดสินใจของลูกเอง ถ้าลูกเลือกเกาหยวนโดยไม่เห็นหัวพวกเรา ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยมีลูกสาวแบบนั้น”
เห็นว่าสามียังดูเหมือนโกรธมาก เหยาจิ้งจือจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ถึงแม้ว่าภายในใจจะยังกังวลนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจว่าตอนนี้สามีกำลังโกรธ พูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์
ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะทราบว่าเซี่ยเหวินปิงไปที่หมู่บ้านข้าง ๆ เมื่อตอนเช้า แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจเลยสักนิด ในตอนนี้หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเขียนบทความอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเรื่องแรกจะยังไม่ได้รับการตอบกลับ แต่เธอก็ยังอยากลองอีกสักครั้ง
จนกระทั่งหลี่เสวี่ยเยี่ยนกลับมา ฉินมู่หลานก็เพิ่งวางปากกา หลังจากเขียนต้นฉบับบทความเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ออกจากห้องเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น
เป็นเพราะเซี่ยเจ๋อหลี่กลับไปแล้ว และเซี่ยเจ๋อน่าก็หนีหายไปหลังจากจะถูกจับแต่งงาน ในบ้านจึงให้ความรู้สึกเงียบเหงามาก กระทั่งตอนที่กำลังรับประทานอาหาร หากหลี่เสวี่เยี่ยนไม่ได้เล่าเรื่องการทำงานในโรงงานของหล่อนให้ฟัง อาหารเย็นมื้อนี้คงมีแต่เสียงช้อนกระทบชามเท่านั้น
ฉินมู่หลานรับประทานเสร็จก็ช่วยเก็บกวาดจาน หลังจากนั้นก็กลับเข้าห้องไปอีกครั้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อถึงเวลาต้องเข้านอนตอนกลางคืน เธอก็เริ่มมีอาการนอนไม่หลับ
ฉินมู่หลานต้องจำใจข่มตาให้หลับขณะจ้องมองเพดานอยู่เนิ่นนาน ทุกวันเธอเคยชินกับการทีเซี่ยเจ๋อหลี่นอนอยู่ข้าง ๆ ไปแล้วจริง ๆ ตอนนี้เมื่อต้องมานอนคนเดียว จึงรู้สึกไม่ชิน
ขณะที่คิดว่าพรุ่งนี้จะขึ้นเขา ฉินมู่หลานก็พลางพยายามข่มตา และในที่สุดก็ตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน
วันต่อมาเมื่อฉินมู่หลานตื่น ภายในบ้านก็ไม่มีคนอยู่แล้ว เธอเห็นว่ามีอาหารเช้าเหลือเอาไว้ให้ในส่วนของเธอ เมื่อรับประทานเสร็จก็สะพายตะกร้าสานเตรียมจะออกจากบ้าน
ฉินมู่หลานก้าวพ้นประตูบ้านออกมาได้ไม่นาน ก็เห็นเหยาจิ้งจือพาเสี่ยวอวี่กลับมาแล้ว
“มู่หลาน เธอจะขึ้นเขาอีกแล้วใช่ไหม”
เหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานสะพายตะกร้าหวายเอาไว้บนหลังตัวเอง จึงทราบได้ทันทีว่าเธอจะขึ้นไปเก็บสมุนไพรอีกแล้ว
ฉินมู่หลานได้ยินจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยตอบ “ใช่ค่ะ หนูว่าจะขึ้นไปหาสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็รีบไปเถอะ”
เมื่อเอ่ยจบ เหยาจิ้งจือก็พาเสี่ยวอวี่เดินเข้าประตูไป เนื่องจากลูกชายคนรองกลับฐานทัพแล้ว ลูกสาวก็ออกจากบ้าน เหยาจิ้งจือจึงรู้สึกเงียบเหงาขึ้นมา ตอนนี้เมื่อเห็นหน้าฉินมู่หลาน จึงรู้สึกเหมือนกลับไปเฉยเมยเหมือนตอนแรก
ฉินมู่หลานเองก็ไม่ได้สนใจ ก้าวออกจากประตูบ้านไปทันที แต่ก่อนที่เธอจะขึ้นเขาก็ได้แวะไปที่บ้านตระกูลฉินก่อน
“พี่ มาได้ยังไงเนี่ย”
เมื่อฉินเคอวั่งเห็นฉินมู่หลาน จึงทักทายอย่างตื่นเต้น
เห็นฉินเคอวั่งอยู่ที่บ้าน ฉินมู่หลานจึงเอ่ยถามตามตรง “เคอวั่ง ไปขึ้นเขากับพี่เถอะ ถ้ามีสมุนไพรทำยา ก็จะได้เก็บมาได้บางส่วน”
“ได้สิ”
ฉินเคอวั่งได้ยินเช่นนั้น จึงรีบสะพายตะกร้าสานด้วย พลางเดินตามหลังฉินมู่หลาน ขึ้นไปบนเข้าต้าชิงซาน
“พี่ พี่เขยจะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่เหรอ?”
ระหว่างทางเดินขึ้นเขา ฉินเคอวั่งก็เอ่ยถามอย่างนึกสงสัย เขาเกรงว่าพี่สาวของตนจะรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่บ้านตระกูลฉินเพียงลำพัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงส่ายศีรษะทันที พลางเอ่ยตอบ “พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาบอกว่าจะไปลงทะเบียนเป็นบ้านครอบครัว หลังจากนั้นจะพาพี่ไปอยู่ด้วยกัน”
“จริงเหรอเนี่ย ถ้าอย่างนั้นต่อไปพวกเราก็คงได้เจอหน้ากันยากแล้วสิ”
เมื่อนึกไปถึงกรณีของเซี่ยเจ๋อหลี่ ก็พบว่าเขาไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย ฉินเคอวั่งจึงรู้สึกว่าจะได้เจอพี่สาวของตนยากขึ้น เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย “พี่ ถ้าอย่างนั้นต่อไปพี่ต้องกลับมาบ่อย ๆ นะ”
เมื่อเห็นว่าฉินเคอวั่งไม่ค่อยเต็มใจอยากให้จากไป ฉินมู่หลานจึงหัวเราะขึ้นมา พลางเอ่ยตอบ “พี่ยังไม่ได้ไปเลยนะ และถึงพี่จะไปอยู่ในกองทัพแล้ว พี่ก็กลับมาหาพวกนายบ่อย ๆ ได้อยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่สาวเอ่ย ฉินเคอวั่งจึงรู้สึกโล่งใจ
ฉินมู่หลานคิดได้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะกลับมาเปิดให้สอบ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนฉินเคอวั่ง “เคอวั่ง ได้อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า อย่าลืมทบทวนบทเรียนช่วงม.ต้นกับม.ปลายให้ดีนะ”
“พี่วางใจได้เลย ตอนนี้พอมีเวลาว่างผมก็อ่านแต่หนังสือ แล้วแม่ก็คอยช่วยเตือนด้วย”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็สบายใจ และยังพูดถึงการอ่านหนังสือของตัวเองด้วย “ล่าสุดพี่เองก็เพิ่งเริ่มอ่านหนังสือ เพราะคิดว่าต่อไปพอมหาวิทยาลัยเปิดสอบ ถ้าเป็นไปได้ พี่เองก็จะไปสอบเหมือนกัน”
ฉินเคอวั่งได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“พี่ พี่…พี่เองก็อ่านหนังสือเหรอ?”
เขาทราบดีว่าพี่สาวของตนเกลียดการไปโรงเรียนเป็นชีวิตจิตใจ และแม่ก็เข้มงวดกวดขันมาก แม้จะรักพี่สาว แต่ก็ยังบังคับให้เรียนถึงมัธยมศึกษาปีที่สอง หากแม่ไม่คอยบังคับ พี่สาวคงไม่มีทางไปเรียนมัธยมต้นเสียด้วยซ้ำ
“ใข่แล้ว เมื่อก่อนพี่ไม่ชอบเรียน แต่ตอนนี้เริ่มคิดได้ การอ่านหนังสือมีประโยชน์มาก อย่างน้อยก็เข้าใจอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากนี้ยังได้ความรู้เยอะด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเคอวั่งก็รู้สึกมีความสุข
“พี่ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน พวกเรามาตั้งใจไปด้วยกันเถอะ”
“ได้สิ”
สองพี่น้องพูดคุยกันระหว่างเดินขึ้นเขา ฉินเคอวั่งคือคนที่หยุดชะงักลงก่อน พลางชี้ไปยังจุดที่ไม่ไกลนัก “พี่ ดูสินั่นใช่ชวนฉงหรือเปล่า”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงหันมองไป ก่อนจะพบว่าฉินเคอวั่งพูดถูก “เป็นชวนฉงจริงด้วย พวกเราไปกันเถอะ” เมื่อเอ่ยจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดชม”เคอวั่ง ดูเหมือนจะมีแววด้านนี้เหมือนกันนะเนี่ย ทำไมไม่ลองศึกษาดูด้วยล่ะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะของพวกนี้จะหาเงินได้ ผมคงไม่ได้ศึกษาดูด้วยซ้ำ”
ฉินเคอวั่งแสดงทัศนะคติชัดเจนมาก การศึกษาสมุนไพรเพียงเพื่อจะสามารถสร้างรายได้ เขาไม่สนใจเรียนแพทย์เลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่หลานได้ฟังเช่นนั้น จึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก สุดท้ายสองพี่น้องก็ลงแรงทำงานด้วยกัน ทำให้พวกเขาได้สมุนไพรทำยามามากมาย
เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว ฉินมู่หลานจึงหันไปมองฉินเคอวั่งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
เมื่อสองพี่น้องลงมาถึงตีนเขา พวกเขาก็เห็นฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋รีบวิ่งมาทางนี้ อีกฝ่ายเห็นฉินมู่หลานแล้วจึงรีบโบกมือให้เธออย่างรวดเร็ว พลางเอ่ย “มู่หลาน เร็วเข้า มีคนมาส่งค่าลิขสิทธิ์ของลูก ต้องให้ลูกเซ็นรับ รีบกลับบ้านเร็วเข้า”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชอบความสัมพันธ์พี่น้องบ้านฉินจังค่ะ มันน่ารักดีเหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)