ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 414 พวกฉันไม่เห็นด้วย(2)
แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยปิงชิงก็ปฏิเสธ “หนูเปล่าสับสน เป็นหนูที่คอยตามตื๊อเจี่ยงสือเหิง ตอนแรกเขาก็ไม่เห็นด้วย แต่หนูก็ยังตามตื๊อเขาต่อไป เขาจึงยอมตอบตกลง เพราะฉะนั้นอย่าพยายามแยกเราสองคนเลย”
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงไม่ยอมตกลงเป็นคู่ครองของหล่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงตอนนี้เขากลับยอมตอบตกลง เซี่ยปิงชิงจึงไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่ได้ยินแบบนี้ก็ได้แต่รู้สึกอึดอัดใจ
“ปิงชิง ที่แกพูดนี่จริงเหรอ?”
“จริงอยู่แล้ว หนูจะหลอกพ่อไปทำไมกัน เจี่ยงสือเหิงดีมากจริง ๆ เพราะฉะนั้นการที่หนูได้เจอคนอย่างเขาช่างเป็นโชคดีเหลือเกิน”
เซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยแทรกขึ้น “ใช่ค่ะพ่อแม่ ถึงแม้ว่าเจี่ยงสือเหิงจะอายุเยอะแล้ว แต่เขาเป็นคนดีมากจริง ๆ พวกพ่อกับแม่ลองคิดดูสิคะ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาและความสามารถของเขาล้วนดีหมด เป็นเรื่องปกติที่ปิงชิงจะชอบเขาไม่ใช่เหรอคะ”
เมื่อเห็นลูกสาวคนโตเข้าข้างคนนอก เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่ต่างก็รู้สึกจนปัญญา ได้แต่รู้สึกว่าลูกสาวคนเล็กจะต้องเสียใจในภายหลังแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของเซิงลี่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา เพื่อให้ลูกได้ดี หล่อนจะไม่ยอมให้เซี่ยปิงชิงกับเจี่ยงสือเหิงได้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน จึงหันไปมองเซี่ยฉางเจี๋ยแล้วพูดขึ้น “ฉางเจี๋ย ยังไงวันนี้พวกเราก็ต้องพาปิงชิงออกไปจากที่นี่ให้ได้”
หลังจากพูดจบก็หันมองเซี่ยปิงหรุ่ยอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “ทำไมแกถึงยอมปล่อยให้น้องมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก”
“แม่ แม่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทุกวันนี้ปิงชิงทำของพวกนั้น หนูทนของพวกนั้นของหล่อนไม่ได้ ก็เลย…”
ตอนแรกเซี่ยปิงหรุ่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของผู้เป็นแม่ หล่อนจึงไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยปิงชิงเปิดปากอธิบายให้เซี่ยปิงหรุ่ยฟังเพิ่มเติม
“หนูก็ไม่ชินที่ต้องอยู่กับเซี่ยปิงหรุ่ยเหมือนกัน อยู่ที่บ้านสือเหิงสะดวกกว่าเยอะจึงย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลย พวกพ่อกับแม่ก็ไม่ต้องตำหนิเซี่ยปิงหรุ่ยหรอก เพราะหนูเองก็อยากจะย้ายออกมาอยู่แล้ว หล่อนห้ามหนูไม่ได้หรอก”
เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่เห็นลูกสาวคนเล็กพูดแบบนี้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “พวกฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย แต่แกกลับแก้ตัวให้พี่สาวเสียแล้ว แต่วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกก็ต้องกลับไปกับพวกฉัน”
“เหอะ…หนูไม่ไป”
เซี่ยปิงชิงเห็นพ่อแม่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทนฟังคำพูดของพวกเขาไม่ได้ ทุกอย่างเธอตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนได้
“แก…เซี่ยปิงชิง แกอย่าให้พวกฉันใช้กำลังนะ”
เซี่ยฉางเจี๋ยรู้นิสัยของลูกสาวคนเล็กดี ทราบด้วยว่าเมื่อหล่อนตั้งใจจะทำอะไรแล้วจะต้องสำเร็จ แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่อาจยอมให้ลูกสาวคนเล็กสมปรารถนาได้จริง ๆ เพราะเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกสาวคนเล็กไปตลอด
เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าสถานการณ์ของเซี่ยปิงชิงกับพ่อแม่ดูตึงเครียด จึงก้าวเดินมาข้างหน้าบดบังสายตาของเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่เล็กน้อย เขาจ้องมองสายตาของทั้งสองที่ราวกับจะกินคน แล้วปกป้องเซี่ยปิงชิงที่อยู่ข้างหลัง ขณะเดียวกันก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณอาคุณน้า ผมจะดีกับปิงชิงไปตลอดชีวิต พวกเราสองคนก็ต่างจริงจัง เพราะฉะนั้นให้โอกาสพวกเราด้วยเถอะครับ”
“แกฝันไปเถอะ”
เซี่ยฉางเจี๋ยปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด แน่นอนว่าเขาไม่อยากได้ลูกเขยอย่างเจี่ยงสือเหิง หากคนอื่นทราบเข้า ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร
“คุณอา ปิงชิงบอกชัดเจนแล้วว่าหล่อนไม่อยากแต่งกับตระกูลเฟิง แล้วก็จะไม่แต่งเข้าตระกูลเฟิงด้วย เพราะฉะนั้นอย่าบังคับหล่อนเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ผมก็จริงจังกับปิงชิง ผมจะทำดีกับหล่อน ไม่ทำให้หล่อนผิดหวังแน่นอนครับ”
ถึงแม้เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่จะได้ยินแบบนี้แล้วก็ตาม แต่สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจ้องมองเซี่ยปิงชิงด้วยสีหน้าเย็นชาพลางพูดขึ้น “เซี่ยปิงชิง แกจะตามพวกเราไปดี ๆ หรือจะให้พวกเราจับแกมัดไว้แล้วพาตัวไป”
“พ่อแม่ พวกพ่อกับแม่อย่าให้หนูต้องเอาจริงนะ หนูไม่อยากลงไม้ลงมือกับพ่อแม่”
ตระกูลเซี่ยแห่งเมืองซีอาน นอกจากจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ทุกคนล้วนเป็นศิลปะป้องกันตัวอยู่นิดหน่อย และเซี่ยฉางเจี๋ยก็เป็นคนที่มีทักษะนี้มากที่สุดในบรรดาตระกูลเซี่ยทุกคน ดังนั้นฝีมือการต่อสู้ของเขาจึงดีมาก ทว่าเซี่ยปิงชิงก็ไม่ได้กลัว เพราะหล่อนเป็นคนเดียวในตระกูลเซี่ยที่สกัดพิษได้ สุดท้ายแล้วจึงไม่คิดว่าพ่อจะยังพาตัวหล่อนกลับไปได้
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าพ่อกับน้องสาวกำลังจะทะเลาะกัน จึงรีบก้าวไปข้าง ๆ แล้วพูดขึ้น “ทุกคนอย่าเป็นแบบน้สิ พวกเราคุยกันดี ๆ เถอะ”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครฟังเซี่ยปิงหรุ่ยเลย
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะดังเข้ามา และเสียงพูดนั้นก็ดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกันเหรอคะ ทำไมทุกคนถึงยืนกันหมดเลย”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็หันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นฉินมู่หลานกำลังเดินเข้ามา
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นฉินมู่หลาน ก็รีบวิ่งเข้าไปหาแล้วบอกกล่าว “มู่หลาน ในที่สุดเธอก็กลับมาเสียที พ่อฉันกับปิงชิงกำลังจะทะเลาะกันแล้ว”
ฉินมู่หลานสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่ดูผิดปกติ จึงก้าวเดินเข้าไปหาเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่พร้อมรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “คุณอาคุณน้า พวกคถุณคือพ่อกับแม่ของปิงหรุ่ยกับปิงชิงใช่ไหมคะ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อฉินมู่หลาน เจี่ยงสือเหิงคือพ่อบุญธรรมของฉันค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่ก็ต่างหันมองฉินมู่หลาน ปรากฎว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือลูกบุญธรรมของเจี่ยงสือเหิงนั่นเอง และแน่นอนว่าหล่อนอายุใกล้เคียงกับพวกปิงหรุ่ยและปิงชิง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน และกลายมาเป็นแม่สื่อให้กับปิงชิง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ค่อยประทับใจในตัวฉินมู่หลานสักเท่าไหร่ “ที่แท้เธอก็เป็นลูกสาวบุญธรรมของเจี่ยงสือเหิงนี่เอง พ่อบุญธรรมของเธอจะแต่งกับเด็กสาวอย่างปิงชิง เธอที่เป็นลูกสาวบุญธรรมไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เพราะหากทั้งสองแต่งงานกัน ปิงชิงก็จะกลายเป็นแม่บุญธรรมของเธอนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “อันที่จริงพ่อบุญธรรมของฉันก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นนะคะ เขาก็ยังดูหนุ่มอยู่ และปิงชิงที่อยู่ข้างกายเขาก็เป็นผู้หญิงที่สง่างามเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ เหมาะสมกันมาก แล้วยังมีอะไรให้ต้องกังขาอีกหรือคะ”
“ที่แท้พวกเธอก็หน้าด้านพอกันเลยนะ แต่ไม่ว่าพวกเธอจะพูดยังไง พวกเราก็ไม่มีวันเห็นด้วยกับปิงชิงและเจี่ยงสือเหิงหรอก วันนี้พวกเราจะพาปิงชิงกลับไป”
เมื่อเห็นพ่อดูแคลนฉินมู่หลาน เซี่ยปิงหรุ่ยก็รีบออกโรงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “พ่อ ก่อนหน้านี้พ่อยังอยากเจอหมอที่พัฒนายาพิเศษพวกนั้นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มู่หลานก็อยู่ตรงหน้าพ่อแล้ว ทำไมถึงได้พูดจาร้ายกาจอย่างนั้นเล่า”
“อะไรนะ?”
ตอนแรกเซี่ยฉางเจี๋ยยังไม่มีปฏิกิริยา หลังจากเข้าใจวู่กสาวคนโตกำลังพูดอะไร ก็ชี้นิ้วไปทางฉินมู่หลานด้วยความเหลือเชื่อก่อนจะพูดขึ้น “แกบอกว่า…หล่อนคือหมอฉินคนที่พัฒนายาพิเศษพวกนั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หล่อนนี่แหละ และหล่อนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของหนูกับปิงชิงด้วย”
“แกกำลังพูดเรื่องอะไร”
เขาพอเข้าใจเรื่องพัฒนายาพิเศษ แต่ทำไมถึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกันได้ อย่าบอกนะว่าปิงชิงคบหากับเจี่ยงสือเหิง ฉินมู่หลานจึงกลายมาเป็นลูกพี่ลูกน้องของพวกเธอ
“พ่อ เป็นเรื่องจริงค่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยเล่าเรื่องของฉินมู่หลานกับตระกูลเซี่ยในปักกิ่งให้ฟังอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก้กล่าวต่อ “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นโชคชะตาหรอกหรือ”