ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 415 ไปซีอาน(1)
ตอนที่ 415 ไปซีอาน(1)
หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนโตเล่า เซี่ยฉางเจี๋ยก็มองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถาม “เธอคือสมาชิกตระกูลเซี่ยตระกูลย่อยจริงเหรอ?”
ฉินมู่หลานไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เธอจึงพยักหน้าตอบ “ค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของเซี่ยฉางชิง แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นพ่อแท้ ๆ มาก่อน เพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ จึงไม่ค่อยสนิทกับพวกเขามากนัก ไม่ค่อยใกล้ชิดด้วย”
ต่อให้เธอจะเป็นสมาชิกตระกูลเซี่ย แต่เธอก็ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลนี้มากนัก จึงแสดงทัศนคติของตนให้เห็นตั้งแต่แรก
เซี่ยฉางเจี๋ยได้ยินคำพูดของฉินมู่หลานแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าฉินมู่หลานจะเกี่ยวพันกับตระกูลเซี่ยของพวกเขา
สุดท้ายเธอก็ยังเป็นสายเลือดตระกูลเซี่ย แม้เป็นเพียงตระกูลย่อยแต่ก็ไม่อาจตัดทิ้งได้ เขาจึงพูดขึ้นตามตรง “ถึงเธอจะไม่ค่อยคุ้นชินกับตระกูลเซี่ย แต่ก็ยังเป็นสายเลือดตระกูลเซี่ยอยู่ ยังไงก็ต้องกลับบ้าน”
ฉินมู่หลานไม่โต้ตอบประโยคนี้ เพราะเซี่ยฉางเจี๋ยไม่ใช่คนที่จะตัดสินว่าเธอควรทำอะไร
เซี่ยฉางเจี๋ยเห็นว่าฉินมู่หลานไม่โต้ตอบจึงขมวดคิ้วขึ้นมา อย่างที่คาดเอาไว้ ลูกสาวบุญธรรมของเจี่ยงสือเหิงคนนี้น่ารำคาญพอกับลูกสาวของเขาเลย
เซี่ยปิงหรุ่ยมองออกว่าพ่อค่อนข้างทุกข์ใจ จึงรีบเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น “พ่อคะ พ่อยังไม่รู้ใช่ไหมว่ามู่หลานได้ลูกแฝดมังกรหงส์ด้วยนะคะ หลังจากรุ่นหนูกับปิงชิงก็ไม่มีฝาแฝดในตระกูลของเราแล้วนะคะ”
“อะไรนะ…”
สีหน้าท่าทางของเซี่ยฉางเจี๋ยเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “หล่อนได้ลูกแฝดอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ก็เพิ่งบอกไปว่ามู่หลานมีลูกแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกของหล่อนเป็นฝาแฝดมังกรหงส์ หน้าตาน่ารักมากเลยค่ะ”
ตอนนี้เซี่ยฉางเจี๋ยไม่สนใจเรื่องลูกสาวคนเล็กอีกแล้ว เขาหันมองฉินมู่หลานอย่างตื่นเต้นก่อนจะเอ่ยนถาม “ฉันขอเจอลูกสองคนของเธอหน่อยได้ไหม?”
ฉินมู่หลานไม่คาดคิดว่าความสนใจของเซี่ยฉางเจี๋ยจะไปอยู่ที่ลูกทั้งสอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเด็กทั้งสองคนจะเจอผู้คนไม่ได้ เธอจึงพยักหน้าเอ่ยตอบ “ได้สิคะ แต่ตอนนี้พวกเขาออกไปกินข้าวข้างนอก เดี๋ยวฉันจะไปรับพวกเขาหลังจากที่กินเสร็จค่ะ”
เพื่อให้พ่อบุญธรรมได้สร้างความประทับใจให้กับพ่อแม่ของเซี่ยปิงชิงได้เป็นอย่างดี เธอจึงออกไปกินข้าวข้างนอก และบังเอิญนึกขึ้นได้ว่าลืมของบางอย่างเอาไว้ จึงกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่คิดว่าจะได้เห็นสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้
เซี่ยฉางเจี๋ยได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรอเด็ก ๆ สองคนกลับมา”
ตอนนี้เขาไม่ได้รีบร้อนจากไปอีกแล้ว
เจี่ยงสือเหิงขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง ไม่คิดว่าชิงชิงกับเฉินเฉินจะทำให้ท่าทางของเซี่ยเจี๋ยฉางเจี๋ยอ่อนโยนลงได้ ไม่รู้ว่าทำไมเซี่ยฉางเจี๋ยถึงให้ความสำคัญกับเด็กทั้งสองมากขนาดนี้
เซิงลี่เห็นสามีนั่งลงแล้ว หล่อนจึงนั่งลงตาม
หล่อนทราบว่าครอบครัวให้ความสำคัญกับลูกฝาแฝดมาก นอกจากนี้หล่อนยังโชคดีที่ได้ปิงหรุ่ยกับปิงชิง ไม่อย่างนั้นสถานะของหล่อนคงสั่นคลอน เพียงแต่หลังคลอดลูกสาวฝาแฝดแล้วก็ไม่มีใครในตระกูลเซี่ยที่ได้ลูกแฝดอีกเลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่นั่งลงทั้งคู่แล้ว จึงหันไปพูดกับเจี่ยงสือเหิง “พ่อคะ ถ้าอย่างนั้พวกพ่อกินข้าวกันต่อเถอะ เดี๋ยวฉันไปรับชิงชิงกับเฉินเฉินก่อน”
เจี่ยงสือเหิงพยักหน้ากล่าว “ได้ ถ้าอย่างนั้นลูกรีบไปเถอะ”
หลังจากฉินมู่หลานไปแล้ว เจี่ยงสือเหิงก็เชิญให้เซี่ยฉางเจี๋ยกับคนอื่น ๆ กินข้าวกันต่อ
ทว่าจิตใจของเซี่ยฉางเจี๋ยไม่ได้จดจ่ออยู่กับการกินอาหารแล้ว เขารู้สึกทนไม่ไหวนิดหน่อย ก่อนจะโบกมือให้เจี่ยงสือเหิงแล้วบอกกล่าว “ไม่กินๆ พวกเธอกินกันเถอะ”
เจี่ยงสือเหิงยังไม่ทันได้พูดอะไร เซี่ยปิงชิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอคว้าตัวเจี่ยงสือเหิงก่อนจะพูดขึ้น “พวกเขาไม่กินก็ปล่อยพวกเขาเถอะ พวกเรากินกันเองก็ได้”
หลังจากพูดจบก็ผลักตัวเจี่ยงสือเหิงให้นั่งลงอย่างแรง
เซี่ยฉางเจี๋ยเห็นท่าทางของเซี่ยปิงชิงแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกครั้ง
เซิงลี่ก็ปรายตามองค้อนลูกสาวเช่นกัน แต่ก็ยังห้ามปรามสามี แล้วพูดขึ้น “พอแล้ว คุณทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยหล่อนอย่างนั้นแหละ จะไปโกรธตามหล่อนทำไม พวกเราก็แค่นั่งรอไปเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็พยายามระงับโทสะลง แล้วนั่งรออย่างเงียบ ๆ
เจี่ยงสือเหิงมองเซี่ยปิงชิงพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณกับพ่อเป็นแบบนี้กันตลอดเลยหรือปล่า”
เซี่ยปิงชิงเบะปากตอบ “ใช่แล้ว เป็นแบบนี้ตลอดเลยล่ะ”
“ต่อไปอย่าพูดกับคุณพ่อคุณแม่แบบนั้นอีกนะ ท่านแค่อยากให้คุณได้สิ่งที่ดีที่สุด”
เซี่ยปิงชิงได้ยินแบบนี้ก็หันมองเจี่ยงสือเหิงด้วยความรำคาญแล้วพูดขึ้น “ฉันพูดเพื่อปกป้องคุณนะ แต่ตอนนี้คุณกลับมาสั่งสอนฉัน ทำคุณบูชาโทษจริง ๆ เลย”
เจี่ยงสือเหิงเห็นสาวน้อยกำลังโกรธ ก็ยกมือลูบหัวเธอด้วยสีหน้าเอ็นดูแล้วพูดขึ้น “เอาเถอะ ผมไม่พูดแล้ว แต่ว่า…พ่อกับแม่ของคุณก็ยังอยู่ที่นี่ ถ้าเข้ากันได้ดีก็เป็นอันว่าดี เดี๋ยวจะเหมือนผม ต่อให้อยากดูแลพวกท่านก็ไม่อยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ สีหน้าของเจี่ยงสือเหิงก็ดูเหงาหงอย หากตอนนี้เขาไม่มีฉินมู่หลาน เขาคงอยู่คนเดียวมานานแล้ว แล้วก็คงไม่ได้เจอสาวน้อยคนนี้
เมื่อคิดแบบนี้ เจี่ยงสือเหิงก็รู้สึกว่าตนโชคดีขึ้นมาอีกครั้ง
เซิงลี่ที่กำลังสังเกตก็ได้เห็นความสัมพันธ์ของเจี่ยงสือเหิงกับลูกสาวคนเล็กด้วย เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดูลึกซึ้งกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าการคิดแยกพวกเขาออกจากกันจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว
เซี่ยฉางเจี๋ยก็เห็นเหมือนกัน เขาขมวดคิ้วขึ้นมา เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่พูดอะไร เพราะอยากเจอคู่แฝดมังการหงส์มากกว่า
เซี่ยปิงหรุ่ยที่นั่งอยู๋ข้าง ๆ ไม่ทราบเรื่องพวกนี้เลย เมื่อห็นว่าน้องสาวจับเจี่ยงสือเหิงนั่งลงแล้ว หล่อนจึงนั่งลงด้วย และหล่อนที่ยังกินไม่อิ่มก็มองเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่แล้วเอ่ยถาม
“พ่อแม่ ไม่กินกันจริง ๆ เหรอคะ”
เซี่ยฉางเจี๋ยพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่กิน”
“อืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันกินเองค่ะ” เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าพ่อกับแม่ไม่กินจริง ๆ จึงไม่พูดอะไรให้มากความ ก่อนจะเริ่มลงมือกินเอง
เมื่อเห็นลูกสาวคนโตเป็นแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็ปวดใจอีกครั้ง ตอนแรกแค่ลูกสาวคนเล็กเพียงคนเดียวก็น่ารำคาญมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ลูกสาวคนโตกลับน่ารำคาญมากพอกัน สมควรเป็นพี่น้องกันเสียจริง
เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่ปฏิเสธที่จะกิน จึงเรียกลุงเจี่ยงเข้ามา ให้เตรียมของว่างให้พ่อแม่ของปิงชิง
ลุงเจี่ยงได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วบอกกล่าว “วางใจครับนายน้อย ผมเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
ตอนนี้เองขนมและน้ำชาก็ถูกยกมาจากทางห้องครัว แล้ววางเสิร์ฟลงตรงหน้าเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่
ทั้งสองมองดูพลางขมวดคิ้ว เจี่ยงสือเหิงนี่จัดการได้ดี อย่างน้อยก็เตรียมการมาเป็นอย่างดี
เซี่ยฉางเจี๋ยแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ขณะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็โดนเซิงลี่ปรามเอาไว้เสียก่อน “พอแล้ว จิบชาสักหน่อยเถอะ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ไม่ได้กินอะไรมาก ตอนนี้ได้กินของว่างสักหน่อยก็ดี”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็ไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยปิงชิงเห็นลุงเจี่ยงกำลังเสิร์ฟขนมให้ แววตาจึงฉายรอยยิ้ม แต่แล้วไม่นานก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ทั้งที่คุณทำให้ขนาดนี้ เดี๋ยวพ่อฉันก็ยังดุด่าได้อีกอยู่ดี”
ครั้งนี้พ่อแม่มาหาโดยที่หล่อนไม่ทันตั้งตัว เจี่ยงสือเหิงจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากขนาดนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือท่าทางการวางตัวของเขา ก็ต่างใส่ใจไปเสียหมด และไม่ว่าพ่อจะดุด่าว่าเขาอย่างไร เขาก็ยังยิ้มอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าเขาเคารพพ่อและแม่ของหล่อนมาก
ต่อให้หล่อนกับพ่อจะทะเลาะกันเมื่อได้พบหน้ากัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อแม่ตัวเอง ดังนั้นเมื่อเห็นเจี่ยงสือเหิงยังทำดีกับพ่อแม่ของตัวเอง จึงรู้สึกดีใจ