ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 422 ทนไม่ไหว
ตอนที่ 422 ทนไม่ไหว
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของลูกชาย เซี่ยเหยียนซุ่นก็อดพูดไม่ได้ “ถ้าปิงชิงไม่อยากแต่ง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแต่ง” แต่หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พูดขึ้นอย่างใจเย็นอีกครั้ง “แต่เจี่ยงสือเหิงคนนั้นไม่ใช่คู๋ที่ดี ไม่เหมาะกับปิงชิง”
“ใช่ ไม่เหมาะสมจริง ๆ ครับ”
เซี่ยฉางเจี๋ยเอ่ยตามกัน แต่สิ่งที่เขาเป็นกังวลก็คือเรื่องของลูกสาวคนเล็กและเฟิงจื่อจวิ้น
“พ่อครับ ถ้าปิงชิงไม่อยากแต่ง ถ้าอย่างนั้นเราก็จะรวมตระกูลกับตระกูลเฟิงไม่ได้ แบบนี้จะกลายเป็นว่า ตระกูลเซี่ยของเรากับตระกูลเฟิงจะสานสัมพันธ์กันยากขึ้นนะครับ”
ถึงแม้ตระกูลเซี่ยจะเป็นตระกูลเก่าแก่ในเมืองซีอาน แต่เมื่อสิบปีก่อน ตระกูลหยวนที่เป็นแพทย์ฝั่งตะวันตกได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ตระกูลเซี่ยของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมาก ดังนั้นทรัพย์สมบัติของตระกูลจึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ ปีนี้ถือว่ายากลำบากมากกว่าปกติ ในขณะที่ตอนนี้ตระกูลเฟิงได้ขยายกิ่งก้านสาขาออกไป หากตระกูลของพวกเขาได้แต่งงานรวมกับตระกูลเฟิง ฐานะของตระกูลพวกเขาจะดีขึ้นมาก แต่ดูจากท่าทางของปิงชิง คงใช้วิธีนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“เฮ้อ…เรื่องนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ แกบังคับให้ปิงชิงแต่งงานได้ไหมล่ะ”
อันที่จริงเซี่ยฉางเจี๋ยได้คิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว “คุณพ่อ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก หากตระกูลเฟิงสามารถช่วยเราได้จริง พวกเราก็ควรจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลเฟิงให้ได้ เรื่องนี้มีหลายตระกูลใหญ่ที่อยากเข้ามาเกี่ยวดองด้วย ผลตอบแทนมากมายมหาศาลอย่างไม่ต้องคิด ถ้าพวกเราไม่รีบสานสัมพันธ์ ตระกูลหยวนคงอาศัยโอกาสนี้เข้าหาตระกูลเฟิงแน่นอน ต่อไปก็คงจะก้าวหน้าขึ้นมาก ในไม่ช้าตระกูลเซี่ยของเราก็จะโดนตระกูลหยวนเข้ามาแทนที่”
หลังจากพูดจบ เซี่ยฉางเจี๋ยก็หันมองแล้วพูดกับคุณพ่ออย่างแน่วแน่ “เรื่องนี้พวกเราต้องอธิบายให้ปิงชิงฟัง เพราะหล่อนเป็นลูกสาวของตระกูลเซี่ย เช่นนั้นหล่อนก็มีส่วนรับผิดชอบ”
เซี่ยเหยียนซุ่นไม่คิดว่าลูกชายจะมีความคิดแบบนี้ เขาลังเลอยู่สักพัก จากนั้นจึงถอนหายใจแล้วกล่าว “แกยังไม่ต้องบอกปิงชิงหรอก ตอนนี้มีแขกอยู่ในบ้านหลายคน พูดตอนนี้คงไม่เหมาะ”
เซี่ยฉางเจี๋ยได้ยินแบบนี้จึงพยักหน้า แล้วเอ่ย “คุณพ่อ ผมเข้าใจแล้วครับ”
อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานและอีกหลายคนกลับมาแล้ว เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อก็มีโอกาสได้พูดคุยกับเจี่ยงสือเหิง
“สือเหิงเอ๊ย คุณไม่ต้องเครียดเกินไปหรอก เราทุกคนเห็นว่าคุณกับปิงชิงเหมาะสมกันมากขนาดไหน พวกคุณสองคนกำลังคบหากันอยู่ก่อนแล้ว สุดท้ายจะต้องลงเอยกันอย่างแน่นอน ครอบครัวของปิงชิงจะต้องเข้าใจเรื่องนี้แน่นอน”
ฉินเจี้ยนเซ่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ใช่แล้วสือเหิง ช่วงหลายวันนี้ก็แค่ทำตัวให้ดี ผู้อาวุโสเห็นจะต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคุณอย่างแน่นอน”
เจี่ยงสือเหิงเห็นทั้งสองปลอบโยนเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “พี่ฉิน พี่เซี่ย ขอบคุณทุกคนมากเลย แต่พวกพี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมเข้าใจดี จะทำให้ดีแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นความคิดของปิงชิงก็แน่วแน่มาก หล่อนไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานที่ครอบครัวบังคับอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกพี่ไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอกครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ ๆ พวกคุณทำได้อยู่แล้ว”
ทั้งสองก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง หลังจากปลอบโยนเพียงไม่กี่คำก็กลับไป
หลังจากทั้งสองกลับไป ทันใดนั้นก็มีศีรษะกลม ๆ โผล่เข้ามาทางประตู
เจี่ยงสือเหิงหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นเซี่ยปิงชิง เมื่อเห็นศีรษะแสนน่ารักของสาวน้อยโผล่มาแบบนี้ เขาก็อดยิ้มไม่ได้
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ เข้ามาเร็ว”
ปกติแล้วเซี่ยปิงชิงจะชอบทำท่าทางเย็นชา แต่ตอนนี้กลับน่ารักมาก เขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ได้แต่รู้สึกว่าสาวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน
หลังจากเซี่ยปิงชิงเข้ามา หล่อนก็พูดขอโทษนิดหน่อย “เจี่ยงสือเหิง ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันไม่คิดว่าคุณปู่กับคนที่บ้านจะคิดกับคุณแบบนี้ คุณอย่าโกรธเลยนะ”
พวกเขาสองคนร่วมมือกัน ตอนนี้เจี่ยงสือเหิงจะช่วยหล่อน จึงต้องโดนคนในครอบครัวของหล่อนวางท่าทางแบบนี้ใส่ หล่อนจึงรู้สึกเสียใจนิดหน่อย และคิดว่ามันไม่ถูกต้อง จึงอยากมาคุยกับเขาอีกครั้ง
เจี่ยงสือเหิงยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยพูด
“คุณไม่ต้องรู้สึกอึดอัดหรอก เพราะผมก็แก่กว่าคุณมากจริง ๆ จะไม่เป็นที่ต้อนรับก็เป็นเรื่องปกติ” ขณะพูดเขาก็ลูบหัวเซี่ยปิงชิง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ผมจะพยายามทำให้ครอบครัวยอมรับผมให้ได้ จะไม่ยอมให้คุณต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบหรอก”
“แต่ว่า…”
หลังจากพูดจบ เจี่ยงสือเหิงก็เอ่ยถามอย่างใจเย็น “คุณไม่ชอบเฟิงจื่อจวิ้นจริง ๆ เหรอ ผมว่าเขาก็ดูดีเลยนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็คิ้วขมวดขึ้นทันที
“คุณอย่าหลงกลรูปลักษณ์ภายนอกของเฟิงจื่อจวิ้นเชียว คุณก็เห็นสิ่งที่เขาเพิ่งทำเมื่อกี้ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขากลับตีหน้าเศร้า พอเขาเศร้า แม่ก็รีบต่อว่าฉันทันที เฟิงจื่อจวิ้นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็น คุณว่าคนที่โตเป็นชายอกสามศอกแล้วทำไมยังทำตัวงี่เง่าได้อีก ทำเป็นเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายเจ็บปวดอยู่ตลอด น่ารำคาญมากจริง ๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยปิงชิงดูเหลืออด มุมปากของเจี่ยงสือเหิงก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย แววตาไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มได้เลย
“อย่างนี้นี่เอง แบบนั้นมันน่ารำคาญมากจริงด้วย ดูจากภายนอกแล้วมองไม่ออกเลยจริง ๆ”
“วันนี้คุณเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ก็ต้องดูไม่ออกอยู่แล้ว ถ้าได้รู้จักเขามากขึ้น เขาจะเป็นไอ้คนน่ารำคาญมากคนหนึ่งเลยแหละ”
พูดจบ เซี่ยปิงชิงก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พอเถอะ ไม่พูดเรื่องเขาแล้ว พูดถึงเขาขึ้นมาแล้วรำคาญ จริงสิ พรุ่งนี้ฉันจะพาคุณไปเดินเที่ยวรอบเมืองซีอาน ถึงเมืองซีอานของเราจะไม่เจริญเท่าเมืองหลวง แต่ที่นี่ของเราเป็นเมืองโบราณ จึงมีที่ให้ไปเที่ยวชมเยอะมาก”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าเอ่ยตอบ “ได้สิ ถึงตอนนั้นเธอก็เป็นมัคคุเทศก์ให้พวกเราด้วยนะ”
“วางใจ ฉันจะพาพวกคุณไปเที่ยวอย่างดีเลย”
เมื่อถึงเวลากินอาหารเย็น เด็กทั้งสองก็ตื่นแล้ว ฉินมู่หลานกับคนอื่น ๆ จึงพาเด็กทั้งสองไปทางลานหน้าบ้าน
เมื่อพวกเขามาถึง ก็พบว่าตระกูลเซี่ยเลี้ยงต้อนรับอย่างมีชีวิตชีวามาก โต๊ะประมาณสิบโต๊ะ ค่อนข้างยิ่งใหญ่ตระการตามาก
เซิงลี่ทำหน้าที่ต้อนรับ เมื่อเห็นพวกฉินมู่หลาน ก็เดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“มู่หลาน พวกเธอมาแล้ว รีบเข้าไปนั่งก่อนสิ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าพลางตอบรับ “ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณน้า เดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปนั่งกันเลย แต่ว่าเย็นนี้คนมาเยอะเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว คนในตระกูลมากันหมดเลย ถึงยังไงเธอก็เป็นลูกหลานตระกูลเซี่ยของเรา เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสจึงอยากแนะนำให้เธอรู้จักกับทุกคนในครอบครัว”
หล่อนก็ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการสื่ออะไร หลังจากลูกสาวฝาแฝดของหล่อนแล้ว ฉินมู่หลานเป็นสมาชิกตระกูลเซี่ยเพียงคนเดียวที่ได้ลูกแฝด จึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสจึงอยากแนะนำให้เธอรู้จักกับคนในครอบครัว
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาต้องทำความรู้จักกับพวกลุงป้าน้าอาให้มากขึ้นแล้วค่ะ”
อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้ว่าเซี่ยฉางเจี๋ยจะไม่ค่อยมีความสุขมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังทักทายเจี่ยงสือเหิงกับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยงสือเหิงมีโอกาสจึงพาฉินเจี้ยนเซ่อกับคนอื่น ๆ ไปทักทายผู้อาวุโส จากนั้นก็พูดคุยกับเซี่ยฉางเจี๋ยพร้อมรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสจับจ้องเจี่ยงสือเหิงอยู่ตลอด เมื่อเห็นรูปลักษณ์แสนหล่อเหลาและท่าทางสง่างามของเขา รวมทั้งกิริยามารยาทอันงดงาม เขาจึงอดที่จะแอบพยักหน้าเสียไม่ได้
หลานสาวคนเล็กของเขารสนิยมดีเหลือเกิน ถึงเจี่ยงสือเหิงจะแก่ไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาด้านอื่นเลย
“พ่อ พ่อกำลังมองอะไรอยู่เหรอคะ”
วันนี้เซี่ยฉางอวี๋น้องสาวของเซี่ยฉางเจี๋ยก็มาด้วย หล่อนมองตามสายตาของผู้อาวุโสแล้วเห็นเจี่ยงสือเหิงได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยแววตาสดใส “พ่อ นั่นคือคนที่ปิงชิงพากลับมาเหรอ ดูดีจังเลย รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ดูดีกว่าเฟิงจื่อจวิ้นเสียอีก แล้วก็ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ที่มั่งคงมาก รู้สึกดีกว่าเฟิงจื่อจวิ้นอีกนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสก็จ้องมองหล่อนอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดขึ้น “แกจะไปรู้อะไร เจี่ยงสือเหิงอายุเยอะกว่าปิงชิงตั้งสิบเจ็ดปี มีอะไรดีกัน”
“อะไรนะ…อายุเยอะกว่าปิงชิงสิบเจ็ดปี?”
สีหน้าของเซี่ยฉางอวี๋ดูไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะอายุมากสุดก็แค่สามสิบเท่านั้น ทำไมถึงอายุเยอะได้ขนาดนั้นล่ะ”
“ฉันจะหลอกแกไปทำไม”
เซี่ยฉางอวี๋ทราบว่าผู้อาวุโสไม่ได้โกหกตัวเอง จึงเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น “เขายังดูหนุ่มอยู่เลย ใช้อะไรบำรุงกันนะ”
หลังจากพูดจบ เซี่ยฉางอวี๋ก็แอบนับอายุเงียบ ๆ
“ฉันกับเขามีอายุพอกันเลย แต่เขากลับดูเด็กกว่าฉันมาก”
ผู้อาวุโสเห็นท่าทางของลูกสาวต่างไปจากเดิม จึงได้แต่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย
“เอาล่ะ แกก็ไปหาที่นั่งเสียเถอะ”
แต่เซี่ยฉางอวี๋รู้สึกอดใจไม่ไหว เพราะหญิงสาวคนไหนจะทนปฏิเสธที่จะมีใบหน้าแสนอ่อนเยาว์เช่นนี้ได้ จึงบอกกล่าวกับชายชรา แล้วตรงไปหาหลานสาวทั้งสอง
“ปิงหรุ่ย ปิงชิง ไม่ได้เจอกันนาน พวกเธอสวยขึ้นมากเลยนะ”