ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 424 พบปะ
ตอนที่ 424 พบปะ
เมื่อผู้อาวุโสพูดอยู่บนเวที ทุกคนจึงนั่งลงกันหมด ขณะเดียวกันก็หันมองไปทางโต๊ะของฉินมู่หลานด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนในที่นี้ต่างเป็นคนรู้จักกัน แต่กลับไม่รู้จักคนในโต๊ะของฉินมู่หลานเลยแม้แต่คนเดียว จึงคิดว่าคนพวกนี้คงเป็นแขกในวันนี้
ผู้อาวุโสยิ้มแล้วแนะนำฉินมู่หลาน แต่ไม่ได้แนะนำอะไรเจี่ยงสือเหิงมากนัก เพียงแค่เอ่ยแนะนำอย่างกระชับ
“คนนี้คือพ่อบุญธรรมของมู่หลาน”
เซี่ยปิงชิงเห็นคุณปู่ตัวเองแนะนำเจี่ยงสือเหิงแบบนี้ สีหน้าจึงดูไม่ค่อยดี หล่อนจึงก้าวเดินตรงไปข้างหน้า แล้วประกาศให้ทุกคนที่มาในวันนี้ “นี่คือเจี่ยงสือเหิง เขาเป็นคู่ครองของหนูด้วยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสก็คิ้วขมวดขึ้นทันที
แม่หนูคนนี้ปกป้องเจี่ยงสือเหิงทุกวิถีทางจริง ๆ หล่อนมุ่งมั่นอยากให้ทุกคนทราบว่าตนมีคู่ครองแล้ว
หลายคนได้ยินเซี่ยปิงชิงแล้วก็อดพูดจาติดตลกเสียไม่ได้ “ปิงชิง ที่แท้เขาก็เป็นแฟนของเธอนี่เอง เขาช่างดูสง่างามจริง ๆ”
กระนั้นก็มีคนสังเกตถึงปัญหา
เมื่อสักครู่ตอนผู้อาวุโสแนะนำเจี่ยงสือเหิง บอกว่าเขาเป้นพ่อบุญธรรมของฉินมู่หลาน “เจี่ยงสือเหิงคนนี้อายุเท่าไหร่เหรอ ทำไมถึงได้มีลูกสาวบุญธรรมโตขนาดนี้ หากนับญาติกันตามตรงแล้วต้องเป็นน้องสาวหรือเปล่า”
คนบางส่วนที่ทราบเรื่องแล้วจึงกระซิบบอกคนรอบข้าง
“เป็นลูกสาวบุญธรรมนั่นแหละ ได้ยินว่าเจี่ยงสือเหิงคนนั้นอายุห่างจากปิงชิงตั้งสิบเจ็ดปี ผู้อาวุโสจึงไม่ยอมเห็นด้วยกับทั้งคู่ ไม่คิดเลยว่าแม่หนูปิงชิงคนนี้จะเปิดตัวเขาเสียแล้ว ถือโอกาสบอกเรื่องนี้ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด”
“อะไรนะ…ห่างกันสิบเจ็ดปีเหรอ จริงหรือเปล่าเนี่ย ดูไม่ออกเลย”
“ใช่แล้ว เจี่ยงสือเหิงดูเหมือนหน้าตาเพิ่งจะอายุสามสิบเอง ไม่คิดเลยว่าอายุใกล้จะสี่สิบแล้ว ทำไมเขายังดูหนุ่มขนาดนั้น”
ขณะที่หลายคนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ผู้อาวุโสก็จ้องมองเซี่ยปิงชิงด้วยความโกรธ ก่อนจะพูดบอกกับทุกคน “วันนี้ที่ให้ทุกคนมา ก็เพื่อจะแนะนำฉินมู่หลานให้ทุกคนได้รู้จัก”
พูดจบ เขาก็ชี้ไปทางฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้น “มู่หลานคือลูกสาวแท้ ๆ ของเซี่ยฉางชิง ถัดจากรุ่นของปิงหรุ่ยและปิงชิงแล้ว ในที่สุดตระกูลเซี่ยก็ได้มีโอกาสต้อนรับเด็กแฝดอีกหนึ่งคู่”
สิ่งที่ตระกูลเซี่ยให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องฝาแฝด ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องของเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยปิงชิงมากขนาดนั้น พวกเขาทุกคนต่างจับจ้องไปที่ฉินมู่หลานและลูกทั้งสองคนของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉินมู่หลานเห็นทุกคนกระตือรือร้นมาก จึงอดยิ้มแล้วบอกกล่าวเสียไม่ได้ “เป็นโชคดีของฉันด้วยค่ะที่ได้ชิงชิงกับเฉินเฉิน ต่อไปทุกคนก็จะมีโอกาสเหมือนกันค่ะ”
แต่คนอื่นไม่คิดว่าพวกเขาจะมีโชคได้ขนาดนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงอยากเห็นเด็กทั้งสองมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังมองดูชิงชิงกับเฉินเฉินด้วยสีหน้าดีใจก่อนจะพูดขึ้น “มาให้ทวดอุ้ม ๆ หน่อยเร็ว”
เด็กทั้งสองก็ไม่ปฏิเสธ ยิ้มแล้วเดินตรงมาข้างหน้า
ผู้อาวุโสเห็นแบบนี้ก็ดีใจมาก เขาอุ้มเด็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายส่วนอีกคนอยู่ทางขวา
เพียงแต่ทั้งสองอายุเกินหนึ่งขวบแล้ว ถึงเวลาจึงอยากเดินเองเสียมากกว่าโดนอุ้ม จึงร้องเสียงเจื้อยแจ้ว “เดิน…”
ตอนแรกผู้อาวุโสยังไม่รู้ตัว แต่กหลังจากเห็นเด็กทั้งสองพยายามจะลงไปเดิน ในที่สุดจึงได้เข้าใจ แล้วรีบวางพวกเขาลงทันที
ชิงชิงกับเฉินเฉินเดินโซเซไปมา เดินเตาะแตะไปได้นิดหน่อยประกอบกับทรุดตัวนั่งลงบนพื้นเป็นระยะ ทำเอาทุกคนทานทนแทบไม่ไหว ต่างเข้ามาถามว่าขออุ้มทั้งสองได้ไหม
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วบอกกล่าวอย่างไม่ขัดข้อง “ได้อยู่แล้วค่ะ”
ค่ำคืนนี้คนที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดก็คือชิงชิงกับเฉินเฉินเจ้าหนูทั้งสองคน มีหลายคนมากที่อยากเล่นกับพวกเขา
หลังจากกินเลี้ยงเสร็จ เซี่ยฉางอวี๋ก็จำได้ว่าขอให้ฉินมู่หลานทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้ตัวเอง จึงถือโอกาสเข้ามาคุยกับมู่หลาน
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วบอกกล่าว “คุณอาหญิงไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะทำให้คุณอาอย่างดีเลย”
“นั่นดีมากเลย”
เซี่ยฉางอวี๋ยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณฉินมู่หลาน หลังจากนั้นก็กลับไป
ฉินมู่หลานครุ่นคิด จากนั้นจึงถือโอกาสจับเซี่ยปิงชิงมาพูดคุยด้วย “ปิงชิง คนในครอบครัวเธอมีใครรู้เรื่องชีพจรของคุณอาหญิงบ้างไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็ส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “ไม่มีนะ อาหญิงของฉันก็รู้วิชาแพทย์เหมือนกัน หากไม่สบาย หล่อนก็ตรวจรักษาตัวเองได้ ดังนั้นคนในครอบครัวจึงไม่เคยตรวจชีพจรหล่อนเลย”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็สงสัยมากขึ้น
“มู่หลาน ทำไมอยู่ ๆ เธอจึงถามแบบนั้นล่ะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงบอกตามความเป็นจริง “สภาพร่างกายของอาหญิงเธอแย่มาก เพราะฉะนั้นเธอควรหาโอกาสบอกเรื่องนี้กับคุณปู่สักหน่อยเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเซี่ยปิงชิงก็ดูแปลกใจ
“ได้ไงกัน คุณอาหญิงของฉันดูสบายดีมากเลยนะ”
“นั่นเป็นภายนอกที่แสดงให้เห็น เธอเคยเห็นตอนคุณอาหญิงไม่แต่งหน้าไหม”
เซี่ยปิงชิงคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะส่ายหัวแล้วบอก “ยังไม่เคยนะ”
นึกย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน เซี่ยปิงชิงกลับพบว่าทุกครั้งที่เจอคุณอาหญิง หล่อนจะดูสงบเสงี่ยมและยิ้มให้อยู่เสมอราวกับคุณหญิงจากตระกูลใหญ่ แต่หล่อนก็ยังจำได้ว่าคุณอาหญิงตอนที่ยังสาวไม่ได้เป็นแบบนี้
เซี่ยปิงชิงยังคิดเรื่องเซี่ยฉางอวี๋ แต่ฉินมู่หลานก็พูดสิ่งที่น่าตกตะลึงออกมา “ปิงชิง อาหญิงของเธอเคยแท้งลูกมาก่อน ตอนนั้นคงไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดี หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สภาพร่างกายจึงเสียหายร้ายแรงมาก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็ได้แต่รู้สึกไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะบอกกล่าว “ได้ เดี๋ยวฉันจะลองไปคุยกับคุณปู่”
ผู้อาวุโสเห็นเซี่ยปิงชิงเดินเข้ามาหา จึงพูดด้วยความโกรธ “แกมาทำอะไร อยากจะประกาศเรื่องเจี่ยงสือเหิงอีกรอบเหรอ ฉันไม่อยากจะฟัง”
“คุณปู่ หนูมาหาเพราะอยากจะคุยเรื่องอาหญิงค่ะ”
“อาหญิงแก? ฉางอวี๋น่ะเหรอ?”
เซี่ยปิงชิงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ค่ะ วันนี้มู่หลานจับชีพจรของอาหญิง หล่อนบอกว่าสภาพร่างกายของอาหญิงแย่มาก”
“เป็นไปได้ยังไง”
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ
เซี่ยปิงชิงเห็นคุณปู่เป็นแบบนี้ จึงพูดบอกตามตรง “จริงหรือไม่จริง พรุ่งนี้รอให้อาหญิงมา คุณปู่ก็ลองจับชีพจรหล่อนดูก็ได้”
ผู้อาวุโสเริ่มคิดว่านี่เป็นเรื่องจริง “ได้ เดี๋ยวรอพรุ่งนี้อาแกมาถึง ฉันจะหาโอกาสตรวจชีพจรหล่อนเอง”
ในตอนนี้เซี่ยฉางเจี๋ยก็เดินเข้ามา เห็นว่าลูกสาวคนเล็กอยู่ที่นั่นด้วย จึงอดถามไม่ได้ “ปิงชิง แกมาทำอะไร”
“หนูแค่มาคุยกับคุณปู่”
เซี่ยปิงชิงไม่ได้บอกรายละเอียด จากนั้นก็หันหลังกลับทันที
เซี่ยฉางเจี๋ยเห็นแบบนี้จึงอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ตอนนี้สีหน้าของผู้อาวุโสดูไม่ค่อยดีนัก “เป็นอะไรเหรอครับคุณพ่อ หรือว่าปิงชิงพูดอะไรให้คุณพ่อโกรธอีกหรือเปล่า”
ผู้อาวุโสส่ายหัวแล้วบอก “ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อรีบไปพักผ่อนเถอะครับ”
เมื่อถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซี่ยปิงชิงก็พาฉินมู่หลานกับคนอื่น ๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกทันที
ในเมืองซีอานมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย คนกลุ่มหนึ่งเดินตลอดช่วงเช้า เมื่อเดินไปได้สักพัก เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยง เซี่ยปิงชิงจึงพาไปที่โรงแรมรัฐ
เพียงแต่คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเข้ามา ก็ได้พบเฟิงจื่อจวิ้นกับคนอื่น ๆ
เฟิงจื่อจวิ้นเห็นเซี่ยปิงชิง แววตาก็เป็นประกาย “ปิงชิง เธอมาทำอะไรที่นี่?”ในขณะที่เขาต้องการจะเอ่ยถามเพิ่มอีกสักหน่อย ทันใดนั้นน้ำเสียงที่ดังไม่ค่อยชัดเจนก็พูดขึ้นจากข้างหลัง “หมอฉิน?”