ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 435 กลับปักกิ่ง(2)
ตอนที่ 435 กลับปักกิ่ง(2)
เดิมทีโม่คุนต้องการคุยเรื่องงานกับฉินมู่หลาน แต่เมื่อเขาเห็นทุกคนเป็นแบบนี้ สุดท้ายจึงต้องกลืนคำพูดลงไป ทำได้เพียงยิ้มแล้วพูดคุยเกี่ยวกับงานหมั้นในวันนี้
ฉินมู่หลานรับฟังพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงขอให้เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อช่วยกันต้อนรับโม่คุน ส่วนเธอเองก็ไปรับแขก เมื่อแขกมากันครบทุกคนแล้ว พิธีหมั้นหมายก็เริ่มขึ้นอย่างเห็นทางการ
ผู้อาวุโสเซี่ยในฐานะหัวหน้าตระกูลเซี่ยคนปัจจุบันและเป็นคุณปู่ของเซี่ยปิงชิงก็มาเป็นเจ้าภาพงานหมั้น “ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานหมั้นของสหายเจี่ยงสือเหิงและสหายเซี่ยปิงชิง ลำดับต่อไปพวกเราขอเชิญพวกเขาขึ้นมาบนเวทีครับ”
เจี่ยงสือเหิงพาเซี่ยปิงชิงเดินไปข้างหน้าพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม เขากล่าวเปิดงานด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม จากนั้นจึงให้ฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งเตรียมสินสอดงานหมั้น และนำของขวัญที่ใช้ในงานหมั้นอีกแปดชิ้นตามขึ้นมา ก่อนหันไปมองเซี่ยปิงชิงแล้วพูดขึ้น “ปิงชิง ถึงผมจะแก่กว่าคุณมาก แต่ผมจะพยายามมอบความรักและดูแลคุณอย่างเต็มที่ จะไม่ปล่อยให้คุณต้องทุกข์ทรมานหรือคับข้องใจแม้แต่น้อย หลังจากนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า ขอให้เราเดินจูงมืออยู่ข้างกันไปตลอด”
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใด เซี่ยปิงชิงจึงรู้สึกว่าตนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าหล่อนกับเจี่ยงสือเหิงหมั้นกันเพราะข้อเสนอ แต่เจี่ยงสือเหิงกลับเอ่ยคำสารภาพออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิดต่อหน้าผู้คนมากมาย เมื่อเป็นแบบนี้ มันจึงทำให้หล่อนรู้สึกราวกับในใจมีขนนกไล้ผ่าน จั๊กจี้อย่างชอบกล
เจี่ยงสือเหิงไม่ทราบว่าเซี่ยปิงชิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ในใจของเขานับว่าหล่อนเป็นคู่หมั้นของตนไปเรียบร้อย อดใจรอที่จะแต่งงานเสียไม่ไหวแล้ว
ผู้อาวุโสเซี่ยเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงพูดจาจริงจัง ก็อดพยักหน้าไม่ได้
แม้แต่เซี่ยฉางเจี๋ยกับเซิงลี่ต่างก็รู้สึกละทิ้งความกังวลไป ไม่ว่าเจี่ยงสือเหิงจะอายุเท่าใด ในด้านอื่นเขาก็ช่างเพรียบพร้อมไร้ที่ติจริง ๆ นอกจากนี้เซิงลี่ก็ได้พิจารณาของที่เจี่ยงสือเหิงได้เตรียมเอาไว้และอดพยักหน้าในใจไม่ได้ ค่าสินสอดมูลค่าเยอะมาก ของขวัญอีกแปดชิ้นก็ประณีต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทองรูปพรรณทั้งห้า หากพิจารณาดูแล้วบอกได้เลยว่าน้ำหนักคงไม่เบา ไม่รู้ว่าเป็นมูลค่าเท่าใด
จากนั้น เจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยปิงชิงก็สวมแหวนหมั้นให้กันและกัน และพิธีหมั้นก็ได้สิ้นสุดลง
หลังจากพิธีหมั้นจบลงแล้ว ผู้อาวุโสเซี่ยก็พาเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยปิงชิงไปดื่มเหล้ามงคล
ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ก็อดหันมองแล้วพูดกับฉินเคอวั่งเสียไม่ได้ “เคอวั่ง พี่เห็นพ่อบุญธรรมเหมือนจะเมามากแล้ว นายช่วยไปบอกให้เลิกดื่มหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ ไปช่วยพ่อบุญธรรมดื่มสักหน่อยก็ดี”
ฉินเคอวั่งผู้เป็นน้องชายตอนนี้โตแล้ว สามารถดื่มเหล้าได้แล้ว ถึงเวลาร้องขอให้เขาไปได้
ซูหว่านอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่แล้วเคอวั่ง เดี๋ยวลูกไปช่วยสือเหิงหน่อยนะ ปล่อยให้เขาเมาแบบนั้นไม่ได้”
ฉินเคอวั่งได้ยินแบบนี้ ก็บอกกล่าวตามตรง “ครับ เดี๋ยวผมไป” ตอนที่เขาเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่นาน พ่อก็ให้เขาดื่มเหล้าองุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบมาก่อน แต่นับตั้งแต่ตอนนั้นก็พบว่าเขาคอค่อนข้างแข็ง ครั้งนี้จึงพอไปช่วยได้
แต่เหยาจิ้งจืออดพูดไม่ได้ “ถ้าอาหลี่อยู่ที่นี่ ก็คงให้เขาไปช่วยได้”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็อดยิ้มแล้วกล่าวเสียไม่ได้ “แม่คะ ให้เคอวั่งไปช่วยก็เหมือนกันค่ะ หากอาหลี่ไม่ยุ่ง เขาคงมาร่วมงานหมั้นได้แล้ว”
พวกเขาเคยติดต่อไปหาเซี่ยเจ๋อหลี่หนึ่งครั้งก่อนออกเดินทาง แต่ขายุ่งมากจริง ๆ หลังจากทราบว่าเจี่ยงสือเหิงจะหมั้นแล้ว ก็ติดต่อเขาไปอีกครั้ง เพียงแต่เซี่ยเจ๋อหลี่ไปไม่ได้ เช่นนั้นจึงไม่มีทางเลือก เพียงแค่หวังว่าเขาจะทันมาร่วมงานแต่งของเจี่ยงสือเหิงกับเซี่ยปิงชิงแทน
และฉินเคอวั่งก็หยิบจอกเหล้าเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อช่วย
ในตอนนี้ ก็มาถึงโต๊ะของเฟิงชางเหล่ยพอดี
เฟิงจื่อจวิ้นเห็นเจี่ยงสือเหิงเดินมาเพื่อดื่มเหล้ามงคล สุดท้ายก็สบอกาส “สหายเจี่ยง วันนี้เป็นงานหมั้นของคุณ จะปล่อยให้หมดสนุกได้ยังไง คุณต้องดื่มเหล้าอวยพรให้กับพวกเราสิ”
ไม่รอให้เจี่ยงสือเหิงพูด ฉินเคอวั่งก็ก้าวตรงไปข้างหน้าแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มา มา พวกเราจะดื่มให้พวคุณเองครับ”
พูดจบเขาก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม จากนั้นก็มองไปทางเฟิงจื่อจวิ้นแล้วเอ่ย “คุณว่า ต้องดื่มอีกสักสองสามแก้วไหมครับ”
“แก…ฉันให้สหายเจี่ยงเป็นคนดื่ม แกเข้ามาสอดอะไรด้วย”
“แหะๆ…พอดีพ่อบุญธรรมผมดื่มจนหน้าแดงหมดแล้ว ผมในฐานะลูกบุญธรรมก็ต้องช่วยแบ่งเบาสักหน่อย ถ้าพ่อบุญธรรมของผมเมาขึ้นมาจะทำยังไง หรือว่าคุณอยากให้พ่อบุญธรรมของผมเมาจนหมดสติ”
“ฉัน…”
เฟิงจื่อจวิ้นพูดไม่ออกทันที หากบอกตามตรง คนอื่นจะไม่คิดว่าเขาตั้งใจทำหรอกหรือ แต่เขาไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก สุดท้ายฉินเคอวั่งก็ดื่มไปห้าจอก ถือเป็นอันสิ้นสุด
“เคอวั่ง ไม่เป็นไรนะ”
เจี่ยงสือเหิงหันกลับมา จ้องมองเฟิงจื่อจวิ้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถามฉินเคอวั่งด้วยความเป็นห่วง
ฉินเคอวั่งยิ้มแล้วส่ายหัว พลางเอ่ย “ผมไม่เป็นไร ผมค่อนข้างคอแข็งครับ”
เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าฉินเคอวั่งดูไม่เป็นอะไร จึงโล่งใจขึ้น หลังจากนั้นก็เดินไปต่ออีกหลายโต๊ะ หลังจากดื่มเหล้ามงคลเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายทุกคนก็ได้นั่งทานอาหารเลิศรสกัน
“เฮ้อ…งานหมั้นนี่เหนื่อยจังเลย”
เซี่ยปิงชิงอดบ่นไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มกินอาหารมื้อใหญ่
เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าหล่อนหิวมาตั้งนานแล้ว จึงรีบนำอาหารจานโปรดมา แล้วให้หล่อนรับประทานเยอะ ๆ
“เจี่ยงสือเหิง คุณเองก็กินด้วย คุณคงหิวเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจี่ยงสือเหิงก็ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ “ได้ เดี๋ยวผมกิน”
ขณะที่ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารอย่างมีความสุข เฟิงจื่อจวิ้นก็กลับไปด้วยความโกรธ ไม่เพียงแต่รู้สึกล้มเหลวในการทวงคืนตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังโกรธมากอีกด้วย
ท่าทางของเฟิงชางเหล่ยกับหยวนหยานหลินก็ไม่ค่อยดีนัก กินอาหารเพียงไม่กี่คำก่อนจะกลับไป พวกเขาตัดสินใจกลับไปวางแผนอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นหากตระกูลเซี่ยกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง ตระกูลของพวกเขาทั้งสองคงไม่ได้ดีเท่าตอนนี้เป็นแน่
ฉินมู่หลานไม่ทราบเลยว่าสองคนนี้กำลังวางแผนอะไร ตอนนี้เธอกำลังไปส่งโม่คุนทางหน้าประตู ยิ้มแล้วโบกมือพลางกล่าว “รัฐมนตรีโม่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเจอกันที่ปักกิ่งนะคะ”
“ครับ ถึงตอนนั้นพวกเราเจอกันที่ปักกิ่งดีกว่า”
“ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานยกยิ้มพยักหน้าตอบตกลง แล้วส่งคนขึ้นรถ
งานเลี้ยงใกล้จบลงแล้ว แขกจึงเริ่มทยอยกลับไปกันทีละคน จนกระทั่งแขกทุกคนกลับไปหมดแล้ว งานหมั้นก็ได้จบลง
ถึงแม้ว่าจะเป็นอีกหนึ่งวันที่ยุ่งมาก แต่ฉินมู่หลานไม่รู้สึกเหนื่อยเลย การหมั้นของพ่อบุญธรรมถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
เจี่ยงสือเหิงก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน ตอนแรกเขาอยากจะไปคุยกับเซี่ยปิงชิงให้เรียบร้อยเพื่อเล่าถึงความตื่นเต้นในตอนนี้ เพียงแต่สาวน้อยเหนื่อยแล้ว จึงโบกมือแล้วพูดขึ้น “เจี่ยงสือเหิง ฉันขอกลับไปนอนก่อนนะ วันนี้เหนื่อยมากเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจี่ยงสือเหิงก็ยิ้มด้วยความเอ็นดู พลางกล่าว “ได้ คุณรีบไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากเซี่ยปิงชิงไปแล้ว เจี่ยงสือเหิงก็ไปหาฉินมู่หลาน แล้วถามเรื่องที่เธอจะกลับไป “มู่หลาน ครั้งนี้ทำให้พวกลูกต้องล่าช้า พวกลูกใกล้จะเปิดเรียนกันแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราต้องรีบกลับปักกิ่งให้เร็วที่สุด”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็พยักหน้าอย่างไม่ขัดแล้วเอ่ย “พ่อคะ ฉันก็ว่าจะบอกพ่อเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อีกสองวันพวกเราจะต้องกลับกันแล้ว ถึงตอนนั้นปิงชิงจะกลับไปด้วยกันไหมคะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเจี่ยงสือเหิงก็เต็มตื้นไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม พ่อเพิ่งถามหล่อนไป หล่อนบอกว่าจะกลับปักกิ่งด้วย”
เมื่อสองสามวันก่อนเขาถามหล่อนแล้ว ครั้นได้รับคำตอบในเชิงบวกจากสาวน้อย เขาจึงรู้สึกมีความสุขมาก
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สองตระกูลนั้นจะลอบกัดตระกูลเซี่ยลับหลังหรือเปล่านะ?
ไหหม่า(海馬)