ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 438 ฉันหย่าแล้ว(1)
ตอนที่ 438 ฉันหย่าแล้ว(1)
เซี่ยปิงหรุ่ยกับฉินมู่หลานกระซิบคุยกัน
“วันนี้ตอนเช้าฉันไปที่หอพักมา เห็นตาของเหมาชุนเถาบวมเป่งอย่างกับลูกวอลนัทเลย และหน้าหล่อนก็ดูซีดเซียวมากด้วย จนดูเหมือนหล่นอจะมีอายุเพิ่มขึ้นหลายปีในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แล้วเธอถามเหมาชุนเถาหรือยัง?”
เซี่ยปิงหรุ่ยส่ายหัวแล้วกล่าว “ฉันยังไม่ทันได้ถาม ตอนที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูด คนอื่นก็กลับมากันแล้ว หลังจากนั้นทุกคนก็ลงไปรายงานตัวที่ห้องเรียนกันหมด”
“ถ้าอย่างนั้นช่วงเที่ยงพวกเราลองไปถามเหมาชุนเถากันเถอะ”
เหมาชุนเถาใจดีมาก ๆ มาโดยตลอด นอกจากนี้ยังเข้ากับทุกคนในหอพักได้ดีมากด้วย ตอนนี้เมื่อทราบว่าหล่อนกำลังมีปัญหา จึงจำเป็นต้องถาม
“ได้สิ พวกเรากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเสร็จแล้วค่อยกลับไปที่หอพักกัน”
เซี่ยปิงหรุ่ยก็มีความประทับใจดีต่อเหมาชุนเถาเหมือนกัน เพราะหากเทียบกับคนอื่น ๆ ในหอพัก หล่อนก็รู้สึกว่าเหมาชุนเถาเข้าหาได้ง่ายที่สุด
พูดเรื่องนี้จบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดถามถึงทางฝั่งเซี่ยปิงชิงเสียไม่ได้
“สองวันนี้ปิงชิงทำอะไรเหรอ หลังจากหมั้นกับพ่อบุญธรรมเธอแล้ว พวกเขาสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นไหม”
เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยดูอยากรู้อยากเห็น ฉินมู่หลานก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนจะเอ่ย “เธออยากรู้มากขนากนั้นเลยเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าเธอต้องรีบหาคู่ได้แล้ว”
เซี่ยปิงหรุ่ยส่ายหัวแล้วกล่าว “ยังไม่ต้องหรอก ฉันแค่อยากจะเอาเวลาไปกลั่นยาให้ดี” พูดถึงเรื่องนี้หล่อนหันมองแล้วพูดกับฉินมู่หลานด้วยความชื่นชม “มู่หลาน ฉันลองอ่านสูตรยาที่เธอให้พ่อฉันแล้ว เธอเก่งมากจริง ๆ”
ตระกูลเซี่ยของพวกเขาก็เคยมีสูตรยามากมาย แต่มันสืบทอดกันมาหลายชั่วคนแล้ว สูตรยาก็ค่อย ๆ ถูกใช้ประโยชน์ไป สูตรยาที่เปี่ยมประสิทธิภาพนั้นเป็นตราประดับของตระกูลเซี่ย
หากไม่มีสูตรยาพวกนี้ ตระกูลเซี่ยคงไม่เจริญรุ่งเรืองได้มาจนถึงตอนนี้ ตระกูลของพวกเขาไม่ได้คิดค้นสูตรยาใหม่ออกมานานแล้ว ต่อไปก็มีแต่จะซบเซาลงเรื่อย ๆ เสียเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตระกูลของพวกเขาได้ร่วมงานกับทางกองทัพ นอกจากนี้ยังมีสูตรยาที่มู๋หลานมอบให้อีก ย่อมต้องฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ฟังคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ย ฉินมู่หลานก็อดพูดด้วยรอยยิ้มเสียไม่ได้ “จริง ๆ เธอก็เก่งนะ ต่อไปข้างหน้าฝีมือจะต้องพัฒนาขึ้นแน่นอน”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานยกย่องตนเอง เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดกล่าวด้วยรอยยิ้มเสียไม่ได้ “ฉันเคยคิดว่าตัวเองเก่งมาก แต่หลังจากได้พบเธอแล้วก็ได้เข้าใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ฉันจึงต้องตั้งใจเรียนรู้ต่อไป”
ฉินมู่หลานทราบดีว่าเซี่ยปิงหรุ่ยมีความตั้งใจอยู่ตลอด เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้ว จึงพยักหน้าแล้วกล่าว “ดี งั้นพวกเรามาช่วยกัน”
ทั้งสองพูดกันเพียงไม่กี่คำ พวกนักเรียนคนอื่น ๆ ก็มาถึงกันหมดแล้ว พวกอาจารย์ก็มาแล้วเหมือนกัน เมื่ออาจารย์ใหญ่กล่าวเปิดงาน นั่นหมายความว่าภาคเรียนในครึ่งหลังได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ พวกนักศึกษาชายตามอาจารย์ไปหยิบหนังสือมา หลังจากพวกเธอรับหนังสือแล้วก็กลับไปกันได้เลย การเรียนการสอนจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้”
ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าหลังจากรับหนังสือแล้วเวลายังเช้าอยู่ จึงยังไม่ไปที่โรงอาหาร แต่ตรงกลับไปที่หอพักแทน
“มู่หลาน ปิงหรุ่ย พวกเธอยังไม่กลับแต่มาที่หอพักแทนเหรอเนี่ย เป็นเรือ่งที่พบเจอยากจริง ๆ” เฉินเซี่ยวอวิ๋นเห็นทั้งสอง จึงยิ้มแล้วกล่าวทักทาย
นอกจากเฉินเซี่ยวอวิ๋นแล้วก็มีแค่เกาซุนฉิวที่อยู่ในหอพัก ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงอดถามไม่ได้ “ชุนเถากับหยวนฝูล่ะ ทำไมไม่เห็นพวกหล่อนสองคนเลย”
“คณะของพวกหล่อนคงยังไม่ปล่อยตัว ไม่อย่างนั้นคงกลับมาตั้งนานแล้วล่ะ” เฉินเซี่ยวอวิ๋นยิ้มแล้วบอกกล่าว แต่หลังจากพูดจบ เธอก็หันมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วเอ่ยพูดอย่างมีเล่ศนัย “ปิงหรุ่ย เมื่อเช้าเธอก็อยู่ด้วย คงเห็นเหมาชุนเถาแล้วใช่ไหม เกิดอะไรขึ้นกับหล่อนเหรอ ทำไมหล่อนดูซีดเซียวหมดพลังขนาดนั้น”
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองเฉินเสี่ยอวิ๋นหลังได้ยินแบบนี้ แล้วกล่าว “ตอนเช้าพวกเราทุกคนอยู่ที่หอพักกันหมด เห็นคนข้างในของเธอเห็นฉันพูดกับเหมาชุนเถาบ้างไหมล่ะ หล่อนไม่บอกอะไร แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อน”
ส่วนใหญ่แล้วเซี่ยปิงหรุ่ยจะแสดงท่าทางเหมือนเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็ง ก็มีแค่ตอนอยู่กับฉินมู่หลานเท่านั้นจึงจะยอมพูดมากและแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาได้ เฉินเสี่นยวอวิ๋นก็ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงแค่ยิ้ม แล้วกล่าว “ฉันเห็นว่าชุนเถากับเธอดูสนิทกัน คิดว่าเธอน่าจะรู้น่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยบอกกล่าวตามตรง “ชุนเถามีน้ำใจกับคนรอบข้าง ดีกับทุกคน วันนี้ตอนเช้าที่ฉันมาพวกเธอก็อยู่ด้วยกันหมด ฉันก็คิดว่าเธอน่าจะรู้”
“จริง ๆ เมื่อเช้าฉันลองถามชุนเถาแล้ว แต่หล่อนไม่บอกอะไรเลย ฉันคิดว่าหล่อนคงเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ลำบากมาแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเซี่ยวอวิ๋น เซี่ยปิงหรุ่ยก็ขมวดคิ้วทันที
“อะไรนะ…ชุนเถาไม่บอกเหรอ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะอยากช่วยก็ตาม”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นพยักหน้า
“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”
การโพล่งขึ้นมาของเกาซุนฉิวที่หอพักแห่งนี้ไม่เคยยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน โดยปกติ ถึงแม้ว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่กันหมด เธอก็ไม่ค่อยพูดอะไร การที่พูดขึ้นมาในยามนี้จึงเป็นเรื่องพบเจอได้ยาก
“ถ้าเหมาชุนเถาไม่อยากบอก พวกเราก็อย่าไปเค้นถามมากเลย จะได้ไม่ทำให้หล่อนไม่สบายใจ” หล่อนก็เห็นว่าเหมาชุนเถาเป็นคนดี จึงเป็นเหตุผลที่เอ่ยปากเตือนทุกคน
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงขมวดคิ้วหันมองเกาซุนฉิว คิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมห้องที่ปกติแล้วจะปลีกวิเวก เมื่อถึงเวลาคับขันกลับกลายเป็นคนมีน้ำใจ
แต่สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็คือ เหมาชุนเถาได้ยินบทสนทนาของพวกหล่อนกันหมดแล้ว
สือหยวนฝูยกยิ้มอย่างช้า ๆ แล้วกล่าว “คณะพวกเราเลิกเรียนแล้ว ตอนนี้ก็เลยเอาหนังสือใหม่กลับมาเก็บที่หอพัก ไม่คิดว่าพวกเธอจะเลิกเรียนกันเร็วขนาดนี้”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นได้ยินแบบนี้ก็รีบกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “ใช่แล้ว คณะของฉันกับมู่หลานเลิกค่อนข้างเร็ว ก็เลยกลับมากันก่อน พวกเธอคงจะหอบหนังสือกันมาเหนื่อย รีบเข้ามาเถอะ”
สือหยวนฝูยิ้มแล้วกล่าว “หนักเอาเรื่องเลย”
และเหมาชุนเถาก็เดินตามเข้าประตูมา หลังจากวางหนังสือลงแล้วก็หันมองฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ “ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันดูไม่ค่อยดี พวกเธอก็คงสังเกตได้ว่าฉันมีเรื่องอะไรในใจใช่ไหม วันนี้ทุกคนต่างพูดเรื่องนี้กันหมด ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่จำป็นต้องปิดบังอะไร ไม่ช้าก็เร็วพวกเธอก็ต้องรู้อยู่ดี”
หลังจากพูดจบ เหมาชุนเถาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดออกมาด้วยความยากลำบาก “ฉันหย่าแล้ว”
“อะไรนะ…”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นกับสือหยวนฝูหันมองด้วยความตกใจ ได้แต่รู้สึกเหลือเชื่อ “ชุนเถา เกิดอะไรขึ้น ความสัมพันธ์ของเธอกับสามีไม่ค่อยดีเหรอ แล้วพวกเธอก็มีลูกกันแล้วด้วย ทำไมถึงหย่าล่ะ”
เหมาชุนเถาแสร้งยิ้มแหย ๆ แทนที่จะร้องไห้
“ตอนแรกความสัมพันธ์ของเราก็เป็นไปด้วยดี แต่พอฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นยังรู้สึกสงสัยนิดหน่อย
“เธอสอบติดมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ อย่างที่รู้ว่าที่นี่คือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หลังจากเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยจะต้องมีงานดี ๆ ทำแน่นอน ถึงตอนนั้นเธอก็จะยกสถานะทางบ้านได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีมากนะ”
เหมาชุนเถายิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหัว ก่อนจะกล่าว “น่าเสียดายที่พ่อแม่สามีของฉันไม่คิดแบบนั้น พวกท่านไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่ฉันจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ต่อมาสามีฉันก็บอกให้เดินหน้าต่อ ฉันก็เลยมาปักกิ่ง ”
“ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่สามีจะไม่เห็นด้วย แต่สามีของเธอก็ยังยืนกรานให้เธอมาเรียนที่มหาวิทยาลัยอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเธอคงจะดีมากแน่ มิฉะนั้นเขาคงไม่ฝืนคำสั่งพ่อแม่เขาหรอก แล้วทำไมพวกเธอถึงหย่ากัน นี่…”
ก่อนที่เฉินเซี่ยวอวิ๋นจะทันได้พูดจบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็จ้องมองเธอด้วยความโกรธ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ถ้าเธออยากรู้ขนาดนี้ ก็อย่ามาขัดจังหวะชุนเถา ให้หล่อนเล่าให้จบ เธอพูดพล่อย ๆ แบบนี้จะได้อะไรขึ้นมา”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หย่ากันด้วยเรื่องอะไรนะ ไม่ชอบขี้หน้าสะใภ้คนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วหรือเปล่า เลยยุให้หย่า
ไหหม่า(海馬)