ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 442 อยากรู้เหลือเกิน(1)
ตอนที่ 442 อยากรู้เหลือเกิน(1)
ฉินมู่หลานเห็นเหมาชุนเถาร้องห่มร้องไห้ จึงเข้าไปตบบ่าหล่อนแล้วพูดขึ้นว่า “เอาเถอะ ไม่ต้องร้องแล้ว พวกเราไปที่บ้านพักของพวกเธอก่อนเถอะ”
“อื้ม…ได้”
เหมาชุนเถาสงบอารมณ์ลง พลางเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้ากล่าว “ต่อไปฉันจะไม่ร้องแล้ว ฉันจะไปมหาวิทยาลัย ลูกชายของฉันก็จะไปโรงเรียนเหมือนกัน อีกอย่างฉันยังมีเพื่อนดี ๆ อย่างพวกเธอตั้งเยอะ หลังจากนี้ชีวิตของพวกเราสองแม่ลูกจะดีขึ้น ฉันเชื่อว่าพวกเราจะใช้ชีวิตให้ดีขึ้นได้แน่นอน”
เหมาจี๋เซียงเอ่ยตาม “ใช่แล้วแม่ พวกเราจะต้องใช้ชีวิตดีขึ้นได้แน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของเหมาชุนเถาและลูกชาย ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ “แน่นอนอยู่แล้ว”
จากนั้นฉินมู่หลานก็พาเหมาชุนเถาและลูกชายไปยังบ้านที่เฉินเซี่ยวอวิ๋นจัดหาเอาไว้ให้ บ้านหลังนี้อยู๋ใกล้กับมหาวิทยาลัยปักกิ่งมาก นอกจากนี้ เกาซุนชิวยังช่วยหาโรงเรียนประถมที่อยู่ใกล้ ๆ ให้เหมาจี๋เซียงโดยเฉพาะด้วย เพื่อให้สองแม่ลูกได้เดินทางไปกลับโรงเรียนได้สะดวกมากขึ้น
“ว้าว…ที่นี่สวยมากเลย”
เหมาจี๋เซียงไม่เคยอยู่บ้านที่สวยขนาดนี้มาก่อน เขามองสำรวจเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ด้านใน ก่อนจะเอ่ยถามแม่ “แม่ครับ ต่อไปพวกเราจะอยู่ที่นี่กันจริงเหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายเต็มไปด้วยความคาดหวัง เหมาชุนเถาจึงยิ้มแล้วพยักหน้า พลางบอกกล่าว “ใช่จ้ะ ต่อจากนี้ไปที่นี่เป็นบ้านของเรา”
“ดีจังเลย”
เหมาจี๋เซียงส่งเสียงอย่างมีความสุข หลังจากนั้นเขาก็รับบทเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยจับมือแม่ของตัวเองแล้วพูดขึ้น “แม่ครับ ผมจะตั้งใจเรียนหนังสือแล้วมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนแม่ ผมรู้ว่าที่คุณย่าพูดไม่ถูกเลยสักอย่าง ไปเรียนมหาวิทยาลัยจะได้ความรู้มากมาย อีกทั้งยังหางานดี ๆ ทำได้อีก ก็สมควรแล้วที่แม่จะมาเรียนมหาวิทยาลัย”
เมื่อได้ฟังคำพูดของลูกชาย ดวงตาของเหมาชุนเถาก็หลั่งน้ำตาริน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ พวกเรายังคิดได้ เรียนมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ถูก ที่ไม่ถูกคือความคิดผิด ๆ ของคุณย่าลูกนั่นแหละ หลังจากนี้ลูกก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือด้วยนะจ๊ะ”
“อื้ม ผมรู้แล้ว ผมจะตั้งใจเรียนหนังสือแน่นอน จะได้มาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนแม่กับน้าฉิน”
ฉินมู่หลานได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูก ก็อดยิ้มอย่างรู้ทันเสียไม่ได้
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เธอจึงยิ้มแล้วบอกกล่าว “ชุนเถา พวกเธอเก็บของกันก่อนนะ เดี๋ยวพวกเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”
“ไม่ต้องหรอกมู่หลาน พวกเราสองแม่ลูกกินอะไรก็ได้”
ฉินมู่หลานพาสองแม่ลูกไปที่โรงแรมรัฐ “จี๋เซียงเพิ่งมาปักกิ่ง ก็ต้องจัดของทำความสะอาดให้เรียบร้อย พวกเธอจึงต้องกินเยอะหน่อย พอกินอิ่มแล้วจะได้มีแรงจัดบ้านใหม่ให้สะอาด เท่านี้ก็จะได้มีพลังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดอย่างจริงจัง เหมาชุนเถาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
“ได้ พวกเราจะกินเยอะ ๆ”
เหมาจี๋เซียงไม่เคยกินข้าวที่โรงแรมรัฐมาก่อน เมื่อเห็นหมูตุ๋นเป็นมันเงาสีแดงสดใส เกี๊ยวขาวใหญ่อวบอ้วน เขาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ แต่ทำเพียงจ้องมองเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นก็ละสายตาแล้วสั่งตามที่แม่ต้องการ โดยไม่เอ่ยปากร้องสักแอะว่าตนอยากกินอะไร
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ถามเหมาชุนเถาสองแม่ลูกว่าจะกินอะไร เพราะอาหารก็มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น เธอจึงเลือกสั่งมาทั้งหมดอย่างละหนึ่งจาน
เหมาชุนเถาเห็นแบบนี้รีบพูดขึ้นตามหลังทันที “มู่หลาน เยอะเกินไปแล้ว พวกเรากินไม่หมดหรอก”
“ไม่เป็นไร กินไม่หมดก็ห่อกลับได้”
เหมาชุนเถายังคงรู้สึกว่ามันแพงเกินไปด้วย เพียงแต่ฉินมู่หลานสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงไม่พูดขัดอะไร
หลังจากทั้งสามนั่งลง ฉินมู่หลานก็ยิ้มแล้วบอกให้เหมาชุนเถากับลูกชายกินให้มากๆ “วันนี้พวกเธอมาแบบเร่งรีบ จึงไม่มีเวลาต้อนรับจี๋เซียงให้ดี พรุ่งนี้ฉันจะบอกปิงหรุ่ยกับเซี่ยวอวิ๋นให้พวกหล่อนมาด้วย พวกเราจะได้ฉลองกันหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมาชุนเถาก็ไม่ปฏิเสธ นึกถึงความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมห้องที่มอบให้หล่อนแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความตั้งใจ “พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปซื้ออาหาร ตอนกลางวันพวกเธอก็มากินข้าวด้วยกันเถอะ ฉันจะทำอาหารอย่างดีเพื่อเป็นการขอบคุณพวกเธอเอง”
เมื่อนึกไปถึงเหมาชุนเถาเพิ่งผ่านเรื่องเครียดมา ฉินมู่หลานจึงอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นอย่างนั้น เธอจึงยอมพยักหน้าตอบตกลงในที่สุด “ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงพวกเราจะไปกินข้าวที่บ้านเธอ เธอก็ไม่ต้องซื้ออาหารมาเยอะหรอกนะ พวกเรากินกันไม่เยอะหรอก”
เหมาชุนเถาเห็นฉินมู่หลานพยักหน้า จึงอดยิ้มแล้วพูดขึ้นเสียไม่ได้ “ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะรอพวกเธอมานะ”
ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีเงินไม่มาก แต่หล่อนก็ยังอยากทำอาหารดี ๆ เพื่อเป็นการขอบคุณเพื่อนร่วมห้อง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนสามารถทำได้ในตอนนี้
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า หลังจากนั้นก็บอกให้เหมาชุนเถารีบกินอาหาร “รีบกินเถอะ เธอเห็นไหมว่าจี๋เซียงไม่ยอมกิน เขาก็เลยไม่ยอมขยับตะเกียบเลย”
เหมาชุนเถาได้ยินแบบนรั้นก็หันมองลูกชาย ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้กินจริง ๆ จึงหยุดพูด แล้วเริ่มกินอย่างรวดเร็ว
เหมาจี๋เซียงเห็นว่าแม่และน้าของเขาเริ่มกินอาหารกันแล้ว เขาจึงเริ่มขยับตะเกียบ เขาแอบเหลือบมองหมูตุ๋น แต่ไม่ได้คีบขึ้นมา กลับกินเพียงผักกาดขาวผัดวุ้นเส้นที่อยู่ตรงหน้าแทน ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ จึงรีบตักเนื้อตุ๋นติดมันบาง ๆ ให้เขาหลายชิ้นทันที
เมื่อเห็นเนื้อหมูตุ๋นจานพิเศษวางอยู่ในชาม เหมาจี๋เซียงก็รีบมองทันที จากนั้นเขาก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณครับน้าฉิน”
“จี๋เซียง รีบกินเถอะ ดูสิเธอผอมขนาดไหน ต้องกินเนื้อให้เยอะ ๆ”
“อื้ม”
เหมาจี๋เซียงกินอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หลังจากกินเสร็จ ก็มีอาหารบางจานที่ยังกินไม่หมดตามคาด เหมาชุนเถาเห็นว่าฉินมู่หลานไม่อยากห่อกลับ หล่อนจึงห่ออาหารทั้งหมดนั้นกลับเอง
ฉินมู่หลานไปส่งคนที่บ้านอีกครั้ง สุดท้ายก็มีโอกาสได้ถามพวกเหมาชุนเถาว่ากลับไปครั้งนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
พูดถึงเรื่องที่เกิดในบ้าน เหมาชุนเถาก็ยังรู้สึกโกรธนิดหน่อย
“ตอนที่พวกเราไปถึง ฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังทุบตีจี๋เซียงอย่างแรง กลายเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังท้อง หล่อนสะดุดล้มเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับมาระบายความโกรธที่จี๋เซียง โทษว่าจี๋เซียงทนยอมรับน้องในท้องไม่ได้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดขึ้น “ทำไมท้องเร็วจัง”
“เหอะ…ใช่ ท้องเร็วจริง”
สีหน้าของเหมาชุนเถาดูเหมือนกำลังเยาะเย้ย “แน่นอนว่าหลังจากนังนั่นเข้ามา หล่อนก็รังแกจี๋เซียงตลอด ตอนแรกพ่อของเขาก็ช่วยพูดแก้ต่างให้ตลอด แต่พอผู้หญิงคนนั้นเริ่มเสี้ยมให้แตกคอกัน ชีวิตของจี๋เซียงในบ้านหลังนั้นก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ โชคดีที่ฉันรีบไปที่นั่น ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าพวกนั้นจะรังแกจี๋เซียงขนาดไหน”
ขณะเดียวกันหล่อนก็แอบไม่พอใจ ว่าก่อนหน้านี้ทำไมหล่อนถึงไม่ลงมือเสียตั้งแต่แรก
ฉินมู่หลานเอ่ยปลอบใจ “เธออย่าคิดมากเลย ต่อให้เธออยากจะพาจี๋เซียงมา พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอพาไปหรอก เดาว่าพอเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังท้อง จึงไม่ให้ความสำคัญกับจี๋เซียงแล้ว”
“ใช่แล้ว นี่เป็นเพราะรู้ว่าต่อไปจะมีลูก ก็เลยไม่สนใจจี๋เซียงแล้ว”
หลังจากฉินมู่หลานกับเหมาชุนเถาพูดเรื่องนี้กันจบ ก็คุยอีกเรื่องกันต่อ
“ชุนเถา เธอเรียนคณะวรรณกรรมไม่ใช่เหรอ งานเขียนของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมาชุนเถาก็สงสัยนิดหน่อย แต่เธอก็ยังตอบอย่างมั่นใจ “งานเขียนของฉันก็ไม่เลว ต่อไปถ้ามีโอกาส เธอก็ลองอ่านบทความที่ฉันเขียนได้นะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พูดขึ้นทันที “ถ้างานเขียนเธอค่อนข้างใช้ได้ เธอก็หาเงินจากค่าลิขสิทธิ์ได้นะ ถ้าเธอยิ่งเขียนดีก็จะยิ่งได้เยอะ ค่าลิขสิทธิ์ก็มูลค่าเยอะอยู่”
“จริงเหรอ รับค่าลิขสิทธิ์ได้จริงเหรอ?”
สีหน้าของเหมาชุนเถาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับประตูสู่โลกใหม่ได้เปิดออก หล่อนไม่เคยคิดถึงวิธีการนี้มาก่อน “มู่หลาน แล้วถ้าจะรับเงินต้องทำยังไงเหรอ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ็นดูน้องจัง มีเนื้อมาอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้ากิน
ได้ช่องทางหาเงินเลี้ยงชีพแล้วล่ะ ถามมู่หลานได้ มู่หลานเคยทำมาก่อน
ไหหม่า(海馬)