ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 477 ร่วมงาน(2)
ตอนที่ 477 ร่วมงาน(2)
ทัศนคติในครั้งนี้ของข่งไฉ่อิงก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ตอนแรกหล่อนทำตัวสูงส่งห่างเหิน แต่ตอนนี้หล่อนกำลังสนใจฉินมู่หลาน จึงเลิกทำตัวห่างเหินใส่ซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือไปในทันที พลางยกยิ้มประจบประแจง “หว่านอี๋ จิ้งจือ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับในวันนี้มากเลยนะคะ เอาไว้พวกเราย้ายมาที่นี่แล้ว ถึงเวลาจะเชิญพวกคุณไปกินข้าวด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ”
เหยาจิ้งจือพยักหน้าพลางยกยิ้ม ซูหว่านอี๋ก็ไม่ได้ปฏิเสธอยู่แล้ว
หลังจากครอบครัวของเผยเจิ้งผู่กลับไป เหยาจิ้งจือก็หันมองซูหว่านอี๋ด้วยความแปลกใจ แล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยชอบข่งไฉ่อิงนะ เมื่อกี้ตอนหล่อนพูด เธอไม่ยอมตอบอะไรเลย แล้วสีหน้ากูดูเนือย ๆ ด้วย”
ซูหว่านอี๋เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงกล่าว “เมื่อกี้แม่คุณข่งไฉ่อิงนั่นดูถูกพวกเราจะตาย มากินข้าวที่บ้านแต่กลับไม่ยอมขยับตะเกียบเลย แล้วพอเธอกลับมาพร้อมเครื่องสำอางของมู่เสวี่ย หลังจากหล่อนรู้ว่าพวกเราเป็นคนก่อตั้งแบรนด์ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำเป็นเมินเฉยใส่อยู่เลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาจิ้งจือก็คิ้วขมวดนิดหน่อย
“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าข่งไฉ่อิงจะเป็นคนแบบนี้ แต่เผยเจิ้งผู่กับลูกชายเขาท่าทางไม่เลวเลยนะ”
“ใช่ เจิ้งผู่กับกวงซินสองพ่อลูกนิสัยค่อนข้างดี เป็นมิตรมาก ตั้งแต่มาไม่ทำให้อารมณ์เสียเลย ต่างจากข่งไฉ่อิงมาก”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่แม่และแม่สามีกำลังคุยกัน ก็อดพูดทั้งรอยยิ้มไม่ได้ “แม่คะ นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเครื่องสำอางของเรามีชื่ออยู่ไม่ใช่เหรอ แม้แต่ข่งไฉ่อิงก็ยังรู้จัก”
เมื่อคิดอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าจะจริง ดังนั้นซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือจึงกลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากทั้งสองสนทนากับฉินมู่หลานสักพัก ก็แยกย้ายกันกลับไป
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานยังไม่ทันได้ออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าเยว่เจินจูมาหาแล้ว
เมื่อเห็นเยว่เจินจูมาหาแต่เช้า ฉินมู่หลานก็แปลกใจนิดหน่อย “เจินจู เธอมาทำไมเหรอ”
จากนั้นก็เห็นเยว่เจินจูเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วบอกกล่าว “มู่หลาน ข่าวดี นักแสดงชาวฮ่องกงคนนั้นที่ฉันเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้มาหาฉันเพื่อซื้อเครื่องสำอางอีกแล้ว และหล่อนก็บอกว่า หากเครื่องสำอางแบบนี้มีวางขายในฮ่องกง คงขายหมดภายในไม่กี่นาทีแน่”
ฉินมู่หลานหลานได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็สามารถโปรโมทให้ทีมงานทางฝั่งฮ่องกงได้”
“ใช่แล้ว ๆ ฉันรู้สึกว่าทางฝั่งฮ่องกงถือเป็นโอกาสที่ดีนะ”
ฉินมู่หลานก็รู้สึกเหมือนกัน จากนั้นก็หันมองเยว่เจินจูแล้วบอกกล่าว “เธอได้บกเรื่องนี้กับหลิวเสวียข่ายของเธอหรือยัง”
เมื่อได้ยินคำว่าของเธอ ใบหน้าของเยว่เจินจูก็เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ฉันเคยบอกแล้ว แต่ว่า…”
หลังจากพูดถึงตอนท้าย หล่อนก็ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
“การส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังฮ่องกงไม่ใช่เรื่องง่าย คำแนะนำของเสวียข่ายก็คือ พวกเราควรหาตัวแทนจำหน่ายทางฝั่งฮ่องกงดีกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็สามารถส่งออกสินค้าไปถึงมือพวกเขาได้โดยตรง แล้วให้พวกเขาเอาไปขายกันเอง”
“แบบนี้ก็ไม่เลว ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว”
ฉินมู่หลานทราบอยู่แล้วว่าแบบนี้เป็นเรื่องดี แต่พวกเขาไม่ได้รู้จักบริษัทในฮ่องกงเลย จึงไม่รู้ว่าจะหาใครดี
เยว่เจินจูถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “ใช่แล้ว ฉันก็เคยคิดเรื่องนี้มานิดหน่อยบ แต่หลิวเสวียข่ายบอกว่านี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้ นอกเหนือจากทางนี้ เขาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าเธอจะมีความคิดดี ๆ อะไรอีกไหม แต่ดูเหมือนว่า พวกเราจะทำอะไรไม่ได้”
เมื่อเห็นเยว่เจินจูดูหดหู่นิดหน่อย ฉินมู่หลานก็ปลอบโยนพร้อมรอยยิ้ม “ไมเป็นไร เดี๋ยวพวกเราก็หาทางได้ อย่าเพิ่งกังวลไปเลย”
อันที่จริงเยว่เจินจูมีความกังวล เพราะตอนแรกแม่สามีไม่พอใจในตัวหล่อน แต่เป็นเพราะหลิวเสวียข่ายยืนกราน หล่อนจึงได้แต่งงานสมปรารถนา แต่แม่สามีกลับเมินเฉยใส่หล่อนตลอด หล่อนจึงต้องการพิสูจน์ตัวเองอย่างมากว่าตัวเองก็มีดีเหมือนกัน นอกจากนี้ยังช่วยหลิวเสวียข่ายในหน้าที่การงานได้ด้วย
“เจินจู เธอกินข้าวเช้ามาหรือยัง อยากกินด้วยกันก่อนไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เยว่เจินจูก็หันไปมอง ก่อนจะพบว่าฉินมู่หลานมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ของหล่อนจึงสงบลงในทันที จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาสิ ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
หลังจากทั้งสองนั่งลงก็ซดโจ๊กและกินซาลาเปานึ่ง กินกันจนอิ่มแปล้
เยว่เจินจูโบกมือก่อนจะกล่าว “น้าซูคะ ฉันอิ่มแล้วค่ะ ไม่เอาแล้วค่ะ”
ฉินมู่หลานก็บอกว่าตัวเองอิ่มเหมือนกัน
ซูหว่านอี๋เห็นแบบนี้ ก็เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ได้ ถ้าอย่างนั้นแม่ไม่เสิร์ฟอาหารให้พวกลูกแล้วล่ะ”
ในตอนนั้นเอง ข้างนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลังจากที่ซูหว่านอี๋ได้ยิน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ “ใครกันนะ มาหาแต่เช้าตรู่เชียว”
หลังจากซูหว่านอี๋เปิดประตู ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบกับข่งไฉ่อิงที่อยู่ข้างนอก
“ไฉ่อิง คุณมาทำไมเหรอ?”
เมื่อเห็นข่งไฉ่อิง ซูหว่านอี๋ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ข่งไฉ่อิงเห็นซูหว่านอี๋ ก็ทักทายพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “พอดีฉันแวะมาหามู่หลาน หล่อนอยู่หรือเปล่าคะ?”
ซูหว่านอี๋พยักหน้าแล้วเอ่ย “มู่หลานอยู่ที่บ้าน ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณเข้ามาก่อนเถอะ”
หลังจาากข่งไฉ่อิงตามซูหว่านอี๋เข้ามา ก็เห็นฉินมู่หลานกำลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายอยู่ตรงนั้น ถัดจากเธอมีหญิงสาวคนหนึ่งที่รูปร่างหน้าตาสวยงาม
ฉินมู่หลานเห็นข่งไฉ่อิง สีหน้าก็ดูแปลกใจ
“น้าข่ง มาหาฉันเหรอคะ?”
ข่งไฉ่อิงพยักหน้า เพียงแต่เมื่อเห็นเยว่เจินจูอยู่ข้าง ๆ ก็คิ้วขมวดนิดหน่อย ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเลย
ฉินมู่หลานก็เข้าใจท่าทางการแสดงออกของข่งไฉ่อิง แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรมาก แล้วเอ่ยแนะนำพร้อมรอยยิ้ม “นี่คือเยว่เจินจูค่ะ เพื่อนของฉันเอง นอกจากนี้ยังเป็นช่างแต่งหน้าเฉพาะของแบรนด์มู่เสวี่ยด้วยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ข่งไฉ่อิงก็หันไปมองด้วยความแปลกใจ
“เธอเป็นช่างแต่งหน้าของมู่เสวี่ยงั้นหรือ ฉันเคยได้ยินว่ามู่เสวี่ยมีช่างแต่งหน้าที่เก่งกาจมาก ไม่ทราบว่าใช่เธอหรือเปล่า”
เยว่เจินจูรู้สึกเขินกับคำชมนิดหน่อย แต่ไม่นานก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ฉันนี่แหละค่ะ”
“เป็นเธอจริง ๆ ด้วย ฝีมือเธอสุดยอดมากจริง ๆ”
ข่งไฉ่อิงไม่คิดว่าการมาในวันนี้จะยังได้พบกับช่างแต่งหน้ามือฉมังของมู่เสวี่ยด้วย หากเป็นอย่างนี้ สิ่งที่หล่อนกำลังจะพูดคุยต่อจากนี้คงเป็นเรื่องที่ดีมากแน่นอน หล่อนหันหน้าไปมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน ที่ฉันมาวันนี้ ก็เพราะอยากจะร่วมงานกับเธอ”
“ร่วมงาน? ร่วมงานอะไรเหรอคะ?”
ฉินมู่หลานไม่คาดคิดว่าข่งไฉ่อิงจะมาหาเพื่อร่วมงานกับเธอ สีหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข่งไฉ่อิงได้ยินแบบนี้ก็รีบกล่าวอย่างกระชับ “ฉันมีบริษัทในฮ่องกงที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอาง เมื่อวานหลังจากที่ฉันรู้ว่าเธอเป็นเจ้าของแบรนด์มู่เสวี่ย จึงคิดอยากจะร่วมงานด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานกับเยว่เจินจูก็พามองหน้ากัน
นี่…
เหมือนอยากนอนแล้วมีคนเอาหมอนมายื่นให้เลย
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โชคดีมักมาแบบคาดไม่ถึง ไม่ต้องออกแรงโปรโมตเลย
ไหหม่า(海馬)