ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 478 คาดไม่ถึง(1)
ตอนที่ 478 คาดไม่ถึง(1)
ข่งไฉ่อิงเห็นสีหน้าของฉินมู่หลานกับเยว่เจินจูแล้วก็อดถามไม่ได้ “ทำไมเหรอ หรือว่าพวกเธอไม่อยากร่วมงานกับฉัน?”
หลังจากพูดจบ คิ้วของหล่อนก็ขมวดย่นนิดหน่อย หากไม่ใช่เพราะยอดขายแบรนด์มู่เสวี่ยในต่างประเทศค่อนข้างดีมากเป็นกอบเป็นกำ หล่อนก็คงไม่อยากทำแบบนี้ หากอีกฝ่ายไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็คงทำอะไรเกี่ยวกับธุรกิจนี้ไม่ได้
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็รีบยกยิ้มแล้วโบกมือ พลางกล่าวขึ้น “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ตอนแรกพวกเรากำลังหาบริษัทในฮ่องกงเพื่อจะร่วมงานด้วยอยู่พอดี นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ที่วันนี้ได้คุณเสนอตัวขึ้นมาพอดี”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของข่งไฉ่อิงก็ดูแปลกใจ
“จริงเหรอ พวกเธอกำลังมองหาบริษัทที่จะร่วมงานด้วยอยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วเอ่ยอธิบายเพิ่ม ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ไม่คิดเลยค่ะว่าจะบังเอิญขนาดนี้”
เยว่เจินจูก็รู้สึกว่าบังเอิญเหมือนกัน แต่หากจะร่วมงานก็ต้องทำความเข้าใจรายละเอียดอย่างรอบคอบ สุดท้ายจึงจะตกลงร่วมงานกันได้ “ถ้าอย่างนั้นเรามาลองคุยรายละเอียดกันเถอะค่ะ”
จริง ๆ แล้วฉินมู่หลานอยากตกลงร่วมมือกับข่งไฉ่อิงทันที แต่บริษัทในฮ่องกงก็ถือว่าเป็นบริษัทต่างประเทศเช่นกัน นอกจากนี้โรงงานเครื่องสำอางยังขึ้นชื่อว่าเป็นโรงงานเคมีภัณฑ์ ดังนั้นเธอจึงหันมองแล้วพูดบอกกับเยว่เจินจู “เจินจู ลองไปตามผอ.หลิวมาหน่อยได้ไหม พวกเราจะได้นั่งคุยรายละเอียดกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เยว่เจินจูก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้ เดี๋ยวฉันไปตามให้เลย”
หลังจากเยว่เจินจูไปแล้ว ข่งไฉ่อิงก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “น้าไม่ดีเองแหละที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วน”
ก่อนที่จะกลับมาปักกิ่งก็เคยหาข้อมูลฝั่งนี้มาก่อน เพียงแต่ครั้งนี้หล่อนกังวลอยากจะร่วมงานกับฉินมู่หลานมาก จึงไม่ได้คิดให้รอบคอบพอ
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ จริง ๆ พวกเราคุยกันก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หนูอยากให้พวกเราร่วมงานกันได้จริง ๆ ก็เลยต้องให้เจินจูไปตามผอ.หลิวมาค่ะ”
ข่งไฉ่อิงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจราร่วมงานกันในวันนี้จะสำเร็จลุล่วง เมื่อได้ยินฉินมู่หลานพูดแบบนี้ ก็ยิ้มขึ้นมา
หล่อนให้ความสนใจกับเครื่องสำอางของมู่เสวี่ยมาก จึงพูดคุยกับฉินมู่หลานตามตรง
ฉินมู่หลานเป็นคนพัฒนาเครื่องสำอางทั้งหมดนี้ ไม่มีใครทราบดีไปมากกว่าเธอ ดังนั้นเธอจึงอธิบายให้ข่งไฉ่อิงฟังอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “ถ้าหากว่ายังไม่มั่นใจ คุณลองกับตัวเองก่อนได้นะคะ ใช้ไปสักพักก็จะเห็นถึงผลของเครื่องสำอางเราค่ะ”
“น้าเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเธออยู่แล้ว บอกตามตรง จริง ๆ แล้วน้าเคยใช้ผลิตภัณฑ์ของมู่เสวี่มาก่อนแล้วล่ะ” ขณะพูด ข่งไฉ่อิงก็ลูบสัมผัสใบหน้าของตัวเองแล้วเอ่ย “ดูสิ ผิวของน้าค่อนข้างดีเลยใช่ไหมล่ะ เป็นเพราะน้าใช้ผลิตภัณฑ์ของมู่เสวี่ยยังไงล่ะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“จริงเหรอคะ ที่แท้คุณก็ลองใช้แล้วนี่เอง”
ข่งไฉ่อิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แล้วกล่าว “ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นน้าคงไม่รีบร้อนอยากจะร่วมงานกับเธอขนาดนี้หรอก”
เดิมทีหล่อนอยากจะพูดตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก จึงยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมู่เสวี่ยที่เมืองหลวงมากนัก หลังจากกลับไปเมื่อวานก็ลองให้คนไปตรวจสอบ แล้วจึงได้ทราบว่ามู่หลานเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์มู่เสวี่ยจริง เช้าวันนี้จึงมาหา
ฉินมู่หลานรู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าข่งไฉ่อิงลองใช้เครื่องสำอางของมู่เสวี่ยแล้ว ไม่ว่าใครที่เคยใช้ก็ต่างบอกว่าดี ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่มีข้อกังขาในคุณภาพของสินค้า สิ่งต่อไปที่พวกเขาต้องหารือกันก็คือเรื่องราคาและปริมาณการสั่งซื้อ และข้อตกลงการร่วมงานกันอีกบางประการ
ถึงแม้ว่าข่งไฉ่อิงจะลองสืบเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่ทราบเรื่องของฉินมู่หลานมากนัก เห็นว่าใบหน้าคนตรงหน้ายังดูอ่อนเยาว์ จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “มู่หลาน น้าได้ยินมาว่าเธอเป็นคนพัฒนาเครื่องสำอางพวกนั้น ทำไมเธอเก่งจังเลย เธอศึกษาเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ก็ถือว่าได้สัมผัสประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กค่ะ ฉันเรียนวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็ก จึงทราบสูตรความงามเยอะแยะมากมาย หลังจากมาถึงปักกิ่งก็เห็นว่าเครื่องสำอางยังน้อย จึงลองทำออกมานิดหน่อย สุดท้ายทุกคนก็ต่างลงมติว่าดี จึงได้เปิดโรงงานค่ะ”
ข่งไฉ่อิงยังรู้สึกว่าฉินมู่หลานเก่งมาก เพราะเธออายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับมีกิจการแล้ว ดังนั้นระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน หล่อนจึงดูกระตือรือร้นมากอยู่ตลอด “มู่หลาน เรียกฉันว่าน้าข่งก็ได้”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ จึงเริ่มเอ่ยอย่างเป็นกันเอง “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นต่อไปหนูจะเรียกคุณว่าน้าข่งนะคะ”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ปฏิเสธ ข่งไฉ่อิงก็ดีใจมาก แล้วก็นึกถึงลูกชายของตัวเอง
“เฮ้อ…คงจะดีถ้ากวงซินของเราดีได้อย่างเธอบ้าง”
“กวงซินเก่งอยู่แล้วค่ะ คุณน้าข่งไม่ต้องเป็นกังวล”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ติดต่อกับเผยเจิ้งผู่กับเผยกวงซินมากนัก แต่ก็เคยได้ยินพ่อพูดถึงพวกเขาสองพ่อลูกเหมือนกัน ว่าสองพ่อลูกเก่งกันมาก
ข่งไฉ่อิงเห็นท่าทางจริงจังของฉินมู่หลานก็ทราบว่าเธอไม่ได้โกหก จึงรู้สึกดีใจมาก แต่กลับกล่าวเพียงว่า “กวงซินยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน หลิวเสวียข่ายกับเยว่เจินจูก็มากันแล้ว
ระหว่างทางหลิวเสวียข่ายพอได้ยินเรื่องมาจากเยว่เจินจูบ้างแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นข่งไฉ่อิง ก็รีบเดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ ผอ.หลิว”
“สวัสดีครับ คุณข่ง”
เมื่อทุกคนนั่งลงเพื่อหารือกัน หลิวเสวียข่ายก็เอ่ยถามเพิ่ม “ไม่ทราบว่าที่คุณข่งบอกเป็นบริษัทไหนในฮ่องกงเหรอครับ?”
“เซิ่งซื่อกรุ๊ปค่ะ”
เมื่อข่งไฉ่อิงพูดถึงบริษัทของตัวเอง แววตาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“อะไรนะ…”
หลิวเสวียข่ายได้ยินว่าเซิ่งซื่อกรุ๊ป แววตาจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คุณ…คุณมาจากเซิงซื่อกรุ๊ป แต่ผมเคยได้ยินว่าประธานของเซิงซื่อกรุ๊ปแซ่เผยนี่ครับ”
ข่งไฉ่อิงได้ยินแบบนี้ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ประธานของเซิงซื่อกรุ๊ปคือเผยเจิ้งผู่สามีของฉันเองค่ะ ฉันดูแลแค่ธุรกิจบางส่วนเท่านั้น วันนี้มาคุยกับพวกคุณเรื่องธุรกิจเครื่องสำอาง ฉันรับผิดชอบด้านนี้อยู่ ก็เลยเข้ามาคุยกับพวกคุณเอง”
ฉินมู่หลานเห็นท่าทางแปลกใจขอองหลิวเสวียข่ายแบบนี้ จึงทราบได้ทันทีว่าเซิงซื่อกรุ๊ปนี้ต้องมีอิทธิพลในฮ่องกงมาก เพียงแต่เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรในฮ่องกงมากนัก จึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
และหลังจากหลิวเสวียข่ายได้ยินว่าเป็นเซิงซื่อกรุ๊ป ก็มั่นใจกับการร่วมงานในครั้งนี้มากยิ่งขึ้น
ข่งไฉ่อิงอยากจะบรรลุข้อตกลงการร่วมงานในครั้งนี้เหลือเกิน จึงเจรจาต่อรองกัน และเขียนสัญญาทันที
ข่งไฉ่อิงมองดูสัญญาการร่วมงานในมือ พลางหันมองฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้มแล้วบอกกล่าว “มู่หลาน ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะ”
ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วยื่นมือออกไปก่อนจะพูดขึ้นว่า “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันค่ะ”
หลังจากข่งไฉ่อิงกลับไป หลิวเสวียข่ายก็อดหันมาพูดด้วยความตื่นเต้นเสียไม่ได้ “มู่หลาน เธอนี่เก่งจังเลย ใช้เวลาแค่แปบเดียว ก็ตกลงร่วมงานกับเซิงซื่อกรุ๊ปได้แล้ว”
“เซิงซื่อกรุ๊ปนี่มีอิทธิพลมากไหมคะ?”
หลิวเสวียข่ายเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ทราบ จึงมองเธอด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็อธิบาย “เซิงซื่อกรุ๊ปทรงอิทธิพลมาก ก่อตั้งบริษัทในเมืองฮ่งกงมากว่าสามสิบปีแล้ว หลังจากนั้นก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เจอประธานที่เมืองหลวง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกัน
หากเป็นจริงอย่างที่หลิวเสวียข่ายบอก ถ้าเซิงซื่อกรุ๊ปกำลังไปได้ดี แล้วทำไมครอบครัวของเผยเจิ้งผู่จึงย้ายมาที่เมืองหลวง หรือบริษัทในฮ่องกงถูกส่งต่อให้ผู้บริหารคนอื่นหรือเปล่า เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็บอกว่าบ้านข้าง ๆ ที่ย้ายมาคือตระกูลเผย
“อะไรนะ…บ้านของเผยเจิ้งผู่อยู่ติดกับบ้านคุณเหรอ หรือว่าพวกเขาวางแผนจะมาใช้ชีวิตที่เมืองหลวง?”
ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วกล่าว “เรื่องนี้ไม่รู้เหมือนกัน”
หลิวเสวียข่ายได้ยินแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย “เดี๋ยวผมจะลองไปสืบหน่อย”
หลังจากพูดจบ เขาก็เริ่มกังวลขึ้นมานิดหน่อย
“หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเซิงซื่อกรุ๊ป ตระกูลเผยจึงย้ายมาที่เมืองหลวง ถ้าอย่างนั้นแล้วสัญญาที่พวกเราเพิ่งลงนามไปล่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาล่ะสิ ได้เจอครอบครัวประธานบริษัทใหญ่ของฮ่องกงแล้วหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)