ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 495 บังเอิญจริง(2)
ตอนที่ 495 บังเอิญจริง(2)
เมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นอันยุติ เซี่ยปิงหรุ่ยจึงบอกให้ชายวัยกลางคนทั้งสองกลับไป
และหันไปมองฉินเคอวั่งก่อนจะเอ่ยถาม “เคอวั่ง นายจะยังเข้าเรียนอยู่ไหม?”
“ผมยังต้องกลับบ้านก่อน ให้พี่แต่งหน้าให้ผมหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าแบกหน้าแบบนี้เข้าไปเรียนคงต้องโดนอาจารย์ถามแน่นอน”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นนายกลับไปก่อนเถอะ ฉันก็จะไปเรียนเหมือนกัน”
“อื้ม วันนี้ขอบคุณพี่ปิงหรุ่ยมากนะครับ”
เซี่ยปิงหรุ่ยโบกมือแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องขอบคุณหรอก นายเป็นน้องชายของมู่หลาน ก็เท่ากับเป็นน้องชายฉันเหมือนกัน”
พูดจบหล่อนก็หันมองเกาซุนชิว “ซุนชิว พวกเราไปกันเถอะ”
เกาซุนชิวก็พยักหน้าอย่างไม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นก็หันมองเกาเชี่ยนเชี่ยนแล้วกล่าว “เธอก็กลับไปเรียนซะ อย่าลืมช่วยเคอวั่งแก้ต่างกับอาจารย์ด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
เกาเชี่ยนเชี่ยนได้ยินแบบนี้ ก็ต้องพยักหน้าตกลงอยู่แล้ว
หลังจากนั้นทุกคนก็พากันแยกย้าย
ฉินมู่หลานเห็นฉินเคอวั่งกลับมาอีกครั้ง จึงอดถามไม่ได้ “ทำไมกลับมาเร็วจัง
วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”
วันนี้เธอขอลาหยุดอยู่บ้านพักผ่อนเป็นเวลาสองวัน ไม่คิดว่าเคอวั่งจะกลับมาบ้านกลางวันแสก ๆ แบบนี้
แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าของฉินเคอวั่งถูกลบไปหมดแล้ว
จึงเอ่ยถาม “ปิงหรุ่ยพานายไปมหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ แล้วเกิดอะไรขึ้น?”
ฉินเคอวั่งรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที หลังจากนั้นก็พูดต่อ
“ผมนึกไม่ถึงเลยว่าสองพี่น้องเกาเชี่ยนเชี่ยนจะเป็นน้องของพี่ซุนชิว ไม่รู้ว่ามันจะไปกระทบกับความสัมพันธ์ของพวกพี่ไหม”
“อะไรนะ…ที่แท้ก็เป็นน้องชายน้องสาวของซุนชิว?”
ฉินมู่หลานก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่เธอก็ไม่อาจยอมปล่อยผ่านแล้วให้น้องชายตัวเองโดนทำร้ายได้
เธอยกยิ้มแล้วส่ายหัว ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วง ซุนชิวไม่ใช่คนแบบนั้น มันไม่กระทบกับอะไรทั้งนั้นแหละ นอกจากนี้เกาอวิ๋นเซียวก็เป็นฝ่ายผิดตั้งแต่แรก แต่พี่ก็สังเกตได้อย่างหนึ่งนะ ว่าปิงหรุ่ยก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน”
ฉินมู่หลานหัวเราะ จากนั้นก็กล่าวต่อ “นายบอกว่าซุนชิวจะเลี้ยงข้าวไม่ใช่เหรอ ถึงเวลาเดี๋ยวพี่จะไปด้วย ในเมื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนี้กันได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปพูดถึงมันเลย”
เมื่อเห็นพี่สาวพูดแบบนั้น ฉินเคอวั่งก็วางใจ “พี่ ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยกลบรอยบนหน้าให้ผมหน่อย ผมยังต้องกลับไปเรียน โชคดีที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้เห็นสภาพหัวหมูไหว้เจ้าของผมแน่”
“ได้ เดี๋ยวพี่ช่วยกลบให้นายเอง”
จนกระทั่งถึงช่วงสุดสัปดาห์ เกาซุนชิวก็เลี้ยงอาหารจริง ๆ นอกจากนี้ยังมาเชิญฉินมู่หลานโดยเฉพาะด้วย
“ซุนชิว ฉันไปกินข้าวด้วยอยู่แล้ว แต่ถึงยังไงเคอวั่งของเราก็มีส่วนผิด เขาพูดตรงเกินไป ทำให้เชี่ยนเชี่ยนต้องเสียใจ”
เกาซุนชิวส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้เคอวั่งไม่ได้ผิดเลย ทั้งหมดเป็นเพราะเกาอวิ๋นเซียว”
หลังจากทั้งสองคุยกันต่ออีกสักพัก เกาซุนชิวก็กลับไป แต่ยังไม่ได้ตรงกลับบ้าน และไปที่บ้านของอารองแทน
“พี่ ทำไมพี่ถึงมาที่นี่”
เกาเชี่ยนเชี่ยนเห็นว่าเย็นขนาดนี้แล้วเกาซุนชิวยังมาหา จึงอดถามไม่ได้
“พี่มาเชิญมู่หลานกับเคอวั่งสองพี่น้อง นอกจากนี้ก็มีปิงหรุ่ย พรุ่งนี้พวกเราจะไปกินข้าวกัน ถึงตอนนั้นก็เรียกพี่ชายเธอมาด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เกาเชี่ยนเชี่ยนก็อดพูดไม่ได้ “พี่คะ เราต้องไปเหรอ
หนูรู้สึกว่าไม่ได้จำเป็นเลย”
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเกาซุนชิว หล่อนก็เอ่ยเสียงเบาลงเรื่อย ๆ “ก็ได้ ๆ ถึงเวลาพวกเราจะไปค่ะ”
เมื่อเห็นเกาเชี่ยนเชี่ยนตอบตกลงแล้ว เกาซุนชิวก็ไม่พูดอะไรอีก
แต่พูดถึงเรื่องหาแฟนขึ้นแทน
“เชี่ยนเชี่ยน เธอควรจะรู้เอาไว้ ด้วยภูมิหลังครอบครัวของเรา เราหาคู่ครองที่ดีได้อยู่แล้ว ยังไงทางครอบครัวก็จัดหาแฟนให้อยู่แล้ว ทำไมเธอจะต้องพยายามดิ้นรนหาแฟนด้วยตัวเองล่ะ”
“หนู…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเกาเชี่ยนเชี่ยนก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
“หนูเห็นว่าเคอวั่งหล่อดี และเขาก็เรียนเก่งมาก หนูก็เลยค่อย ๆ ชอบเขา
ใครจะไปรู้ว่าเขาจะปฏิเสธหนู”
เกาเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกว่าฉินเคอวั่งตาไม่ถึง ตัวเองออกจะดีขนาดนี้ แต่เขากลับปฏิเสธ “หนูรู้มาว่าฉินเคอวั่งเป็นแค่คนบ้านนอกที่ย้ายมาเมืองหลวง หนูคิดว่าเขาไม่มีอะไรดีเลย แต่เขากลับมาปฏิเสธหนูซะได้”
เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงดูไม่มั่นใจแบบนี้ เกาซุนชิวก็อดพูดไม่ได้ “เธอรู้จักครอบครัวของฉินเคอวั่งแล้วเหรอ ถึงได้บอกว่าเขาเป็นคนบ้านนอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเกาเชี่ยนเชี่ยนก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ครอบครัวของเขาย้ายมาจากที่อื่น แต่ฐานะครอบครัวไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรอกนะ” หลังจากพูดจบ เกาซุนชิวก็เล่าเรื่องครอบครัวของฉินมู่หลาน จากนั้นก็เอ่ยต่อ
“เป็นเพราะฉินมู่หลานพี่สาวของฉินเคอวั่ง จึงทำให้ตระกูลฉินในตอนนี้ไม่ใช่ครอบครัวเล็ก ๆ ที่ย้ายมาอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป”
เกาเชี่ยนเชี่ยนไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้
“โห…พี่สาวของฉินเคอวั่งสุดยอดมากเลยนะ” แต่ความสนใจของเธอตอนนี้กลับไปอยู่ที่อื่น “พี่ พี่บอกว่าพี่สาวของฉินเคอวั่งเป็นคนก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางมู่เสวี่ยเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะไม่เคยบอก แต่หล่อนก็ได้รู้เข้าโดยบังเอิญ จึงชื่นชมเพื่อนร่วมห้องคนนี้มาก ไม่ใช่แค่เรื่องยาเท่านั้น แต่ยังผลิตเครื่องสำอาง มีความรอบรู้หลายด้านจริง ๆ
“พี่ พี่สาวของฉินเคอวั่งเก่งขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดเลย หนูเห็นเขาแต่งตัวก็แสนธรรมดา ตอนแรกเลยคิดว่าฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก”
เกาซุนชิวอดหันมองเกาเชี่ยนเชี่ยนเสียไม่ได้ แล้วเอ่ย “หรือจะให้ฉินเคอวั่งใส่สีเขียวสีแดงทุกวันล่ะ ทำไมเธอถึงเป็นคนที่มองอะไรเพียงผิวเผินแบบนี้นะ”
พูดเรื่องนี้จบแล้ว เกาซุนชิวก็เตรียมตัวกลับ “เอาล่ะ ถึงเวลาอย่าลืมไปที่โรงแรมปักกิ่งนะ”
หลังจากเกาเชี่ยนเชี่ยนทราบว่าสถานที่คือโรงแรมปักกิ่ง ก็อดหันมองเกาซุนชิวอีกครั้งเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “พี่ ถึงตอนนั้นให้หนูกับพี่ชายจ่ายเองเถอะ จะปล่อยให้พี่จ่ายได้ยังไงกัน”
เกาซุนชิวก็ไม่ปฏิเสธ จึงพยักหน้าแล้วกล่าวตามตรง “ได้ ถึงตอนนั้นพวกเธอก็จ่ายแล้วกัน เธออย่าลืมบอกอวิ๋นเซียวล่ะ”
จนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย ฉินมู่หลานก็พาเซี่ยปิงหรุ่ยและฉินเคอวั่งไปที่โรงแรมปักกิ่ง
เกาซุนชิว เกาเชี่ยนเชี่ยนและเกาอวิ๋นเซียวสามคนพี่น้องก็มาถึงกันแล้ว
“มู่หลาน เธอมาแล้วเหรอ”
เกาซุนชิวเห็นฉินมู่หลานก็เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่เกาเชี่ยนเชี่ยนและเกาอวิ๋นเซียวได้เจอฉินมู่หลาน ทั้งสองต่างทราบกิตติศักดิ์ของฉินมู่หลานแล้ว จึงรีบกล่าวทักทายเช่นกัน จากนั้นก็หันไปทักทายเซี่ยปิงหรุ่ย
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองเกาอวิ๋นเซียว เมื่อเห็นว่าแผลบนใบหน้าของเขาค่อนข้างเด่นชัด ก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “บางครั้งนายก็ควรเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองบ้างนะ อย่าไปมีเรื่องกับคนอื่นง่าย ๆ”
“เธอ…”
เกาอวิ๋นเซียวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเซี่ยปิงหรุ่ย ได้แต่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าค่อนข้างสวย แต่น่าเสียดายที่โหดร้ายเหลือเกิน
เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นฝ่ายลงมือโดยไม่ได้บอกกล่าว ซึ่งไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย
แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นความผิดเขาฝ่ายเดียวไปได้
เกาซุนชิวจ้องมองเกาอวิ๋นเซียวเขม็ง จากนั้นก็เชิญทุกคนไปที่ห้องรับประทานอาหารส่วนตัว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความคิดตื้นเขินแบบนี้ไม่ให้ผ่านค่ะเชี่ยนเชี่ยน เธอตัดใจจากเคอวั่งเถอะ
ไหหม่า(海馬)