ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 506 ไม่เหมือนกับที่ลือกันเลย
ตอนที่ 506 ไม่เหมือนกับที่ลือกันเลย
ฉินมู่หลานเห็นคังอันเหอก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ก็พี่สะใภ้นี่เอง ในเมื่ออาหลี่มาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันที่เป็นคนในครอบครัวก็ต้องเข้ามาสำรวจเป็นธรรมดา วันนี้กะเข้ามาจัดบ้านให้เรียบร้อย เดี๋ยวต่อไปจะเข้ามาอยู่ค่ะ”
“อะไรนะ…เธอยังต้องเรียนไม่ใช่เหรอ แล้วจะเข้ามาอยู่ได้ยังไง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็หัวเราะแล้วบอกกล่าว “พี่สะใภ้คะ พี่สะใภ้เองก็ทำงานอยู่ใช่ไหม หลังเลิกงานก็มาอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นหลังเลิกเรียนฉันก็มาอยู่ที่นี่ได้เหมือนกันค่ะ”
“เธอ…”
คังอันเหอถึงกับชะงักพูดไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถว่าอะไรได้ เพราะตอนนี้ฉินมู่หลานแสดงท่าทางสุขุมอ่อนโยน พูดเพียงแค่ข้อเท็จจริง จึงไม่อาจเปิดศึกทะเลาะกันได้ หากหล่อนทะเลาะกับอีกฝ่ายต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ คงดูเหมือนตัวเองเป็นคนไร้สติเต็มทน
เมื่อคิดได้แบบนี้ คังอันเหอก็พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง บริเวณนี้ยังอยู่แถวบ้านพักครอบครัว หล่อนไม่อาจทำลายภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์สร้างมาอย่างยากลำบากได้
“นั่นก็จริงอยู่นะ หลังเลิกเรียนก็มาอยู่ที่นี่ได้”
ในตอนนั้นเองก็มีพี่สะใภ้คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างมองฉินมู่หลานด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “เธอคือภรรยาของผู้กองเซี่ยสินะ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อโจวหมิ่น”
“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้ ฉันชื่อฉินมู่หลาน เป็นภรรยของสหายเซี่ยเจ๋อหลี่คะ”
ฉินมู่หลานเห็นว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าตัวเอง จึงเอ่ยเรียกว่าพี่สะใภ้ด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้นก็มีพวกพี่สะใภ้อีกสองสามคนมาทักทายฉินมู่หลานอีก ฉินมู่หลานก็ตอบรับแต่ละคนพร้อมรอยยิ้ม นอกจากนี้ยังกล่าวกับพวกหล่อนด้วยสีหน้าอ่อนโยน “พี่สะใภ้คะ ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ไว้มีโอกาสจะแวะไปเยี่ยมค่ะ”
พูดจบก็ยังแนะนำเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงด้วย “สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทฉันเองค่ะ เห็นว่าฉันท้องโต ก็เลยมาช่วยฉันทำความสะอาดค่ะ”
“โธ่เอ๊ย…มู่หลาน ถ้ารู้แต่แรกว่าเธอจะมา พวกเราคงมาทำความสะอาดให้เธอแล้ว”
ได้ยินคำพูดของโจวหมิ่น ฉินมู่หลานก็รีบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้ ทุกคนใจดีจังเลย”
แต่เธอมีเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงอยู่แล้ว ฉินมู่หลานจึงไม่ปล่อยให้พี่สะใภ้พวกนี้ต้องเข้ามาช่วย
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่พาพวกฉินมู่หลานมา เขาก็รีบไปทำงานต่อ ”มู่หลาน ผมจะรีบไปรีบมา คุณรออยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวนะ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ”
เหวินเฉียนและชุยเฝสี่ยวผิงต่างยิ้มแล้วโบกมือ หลังจากนั้นก็ให้เซี่ยเจ๋อหลี่รีบไปจัดการธุระ ขณะที่พวกหล่อนก็เริ่มทำงานเช่นกัน
ฉินมู่หลานก็รู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะนั่งตลอดเวลา จึงคอยเดินทำบางอย่างเท่าที่จะทำได้ แต่เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงก็เอ่ยห้าม “มู่หลาน เธอนั่งไปเถอะ ไม่ต้องทำหรอก พวกเราจัดการเอง”
เมื่อเห็นทั้งสองเป็นกังวลมาก ฉินมู่หลานก็ไม่คัดค้าน แล้วนั่งลงทันที
อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกฉินมู่หลานไปแล้ว โจวหมิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองคังอันเหอแล้วพูดขึ้นว่า “อันเหอ ภรรยาของผู้กองเซี่ยไม่ได้เย่อหยิ่งอย่างที่เคยลือเอาไว้เลยนะ ทั้งสุขุมอ่อนโยน ก็ออกจะเป็นคนดีคนหนึ่งเลยไม่ใช่เหรอ ข่าวลือนั่นไม่น่าเชื่อถือเลย”
“ใช่แล้ว และหล่อนก็ยังท้องโตขนาดนั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหล่อนเลย หล่อนกับผู้กองเซี่ยอยู่ด้วยกันนานแล้ว ครั้งนี้จึงมาเตรียมบ้านเพื่อที่จะได้อยู่กับผู้กองเซี่ยสินะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คนอื่นก็ต่างพากันหัวเราะขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับคำพูดของโจวหมิ่น
“ใช่แล้ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าเสี่ยวฉินอ่อนโยนขนาดไหน ดูเหมือนว่าข่าวลือนี้จะเชื่อถือไม่ได้จริง ๆ ด้วย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มปล่อยข่าวกันนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของคังอันเหอก็หม่นหมองลงทันที
ฉินมู่หลานนี่ดีจริง เพิ่งมาถึงก็เสแสร้งทำเป็นอ่อนโยนทันที ก่อนหน้านี้ที่เคยมีเรื่องกับเธอ เห็นได้ชัดว่าหล่อนปากร้าย เป็นคนที่ไม่ยอมคน ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกินนัก
แต่คังอันเหอก็ยังมีข้อสงสัย
ทำไมวันนี้ฉินมู่หลานจึงมา หรือว่าจะทราบเรื่องข่าวลือ?
แต่นั่นไม่มีทางหรอก เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา และพวกครอบครัวอื่นที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้รู้จักฉินมู่หลาน แล้วเธอจะรู้เรื่องข่าวลือนี้ได้อย่างไร หรืออาจจะบังเอิญย้ายเข้ามาพอดีหรือ?
เมื่อคิดได้แบบนี้ คังอันเหอจึงไม่นิ่งนอนอีกต่อไป ก่อนจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มออกมา แล้วหันไปมองโจวหมิ่นและคนอื่น ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “พี่สะใภ้ทั้งหลาย ฉันยังมีอย่างอื่นต้องทำ ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบหล่อนก็รีบเดินออกไป
เมื่อเห็นคังอันเหอไปแล้ว โจวหมิ่นและอีกหลายคนก็วางแผนจะกลับไปเช่นกัน
“เอาล่ะ ๆ พวกเราแยกย้ายแล้วกลับไปทำงานของตัวเองกันเถอะ”
แต่ถึงย่างนั้นพวกพี่สะใภ้หลายคนก็แพร่กระจายข่าวออกไป ทุกบ้านจึงได้ทราบว่าภรรยาของผู้กองเซี่ยมาที่นี่แล้ว
ความอยากรู้อยากเห็นในตัวฉินนู่หลานจึงทวีเพิ่มขึ้น
“นี่…พวกเธอเจอภรรยาของผู้กองเซี่ยหรือยัง หล่อนเป็นอย่างไรบ้าง หยิ่งขนาดที่ว่าจริงเหรอ รู้สึกเหมือนจะนิสัยไม่ค่อยดีนะ?”
“ข่าวลือนั่นเชื่อไม่ได้เลย เสี่ยวฉินที่ฉันเจอทั้งอ่อนช้อยงดงาม”
“จริงเหรอ อ่อนโยนจริงเหรอ หรือว่าเพราะเพิ่งมาก็เลยทำตัวแบบนั้น”
“เรื่องนี้ไม่รู้หรอก แต่หากแสร้งทำ วันหนึ่งก็คงเผยธาตุแท้เองไม่ใช่เหรอ เวลาผ่านไปย่อมเห็นใจคน ต่อให้พยายามเสแสร้งมากขนาดไหน ก็เสแสร้งได้ไม่นานขนาดนั้นหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนก็ต่างพากันพยักหน้า
“ใช่แล้ว เดี๋ยวอยู่กันไปก็จะรู้เอง แต่ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็ช่างเล่ากันอย่างเป็นตุเป็นตะ ฉันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีเหตุผลเอาเสียเลย หรือว่าภรรยาของผู้กองเซี่ยจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
สำหรับมุมมองทางด้านนี้ หลายคนก็พากันเห็นด้วย
แต่ก็มีบางคนทราบบางเรื่องมาเหมือนกัน
“ได้ยินว่าภรรยาของผู้กองเซี่ยยังเรียนอยู่ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า หล่อนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไหนกันนะ หล่อนแต่งงานมีลูกแล้ว อายุคงไม่น้อยแล้วแน่ ๆ เพราะฉะนั้นคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ตอนนี้การเป็นนักศึกษาถือว่ามีเกียรติมากเลยนะ หล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แสดงว่าต้องเก่งมาก ไม่แปลกใจที่จะวางมาดหยิ่งยโสไปบ้าง”
พี่สะใภ้หลายคนก็กล่าวชมจากประโยคสนทนาข้างต้นเนกัน “ถ้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยจริง ๆ ก็มีแนวโน้มสูงมาก ที่หมู่บ้านของพวกเราไม่มีใครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้ว ที่หมู่บ้านของฉันก็เหมือนกัน ในหมู่บ้านไม่มีใครสอบผ่านเลย ดูเหมือนว่าจะมีแค่วัยรุ่นสองคนที่ได้เรียนหนังสือเท่านั้นจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยเข้ายากมากขนาดไหน”
ฉินมู่หลานไม่ทราบเรื่องการสนทนานี้เลย แต่ถึงทราบก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เธอมาที่นี่เพื่อแก้ไขข่าวลือ
เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงจัดการเร็วมาก หลังจากทำวามสะอาดไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ก็เก็บทุกอย่างในบ้านได้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผู้กองเซี่ยอยู่ไปได้ยังไง ในบ้านไม่มีอะไรเลย โล่งไปหมด เขาคงกลับมาถึงแล้วก็นอนเลย”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว บ้านนี้เหมือนไม่มีคนอยู่เลย”
โชคดีที่ครั้งนี้เธอเตรียมตัวมาดี นำทุกอย่างที่ต้องใช้ติดตัวมาด้วย หลังจากจัดเสร็จเรียบร้อย บ้านก็ดูอบอุ่นน่าอยู่ขึ้นมาทันที “เรียบร้อย ตอนนี้บ้านก็พร้อมอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเยี่ยมเพื่อบ้านกันเถอะ”
พูดจบ ฉินมู่หลานก็นำขนมไข่ที่เตรียมเอาไว้ออกมา
“พี่สะใภ้ ให้พวกเราไปด้วยเถอะ”
“ตกลง”
ฉินมู่หลานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เธอเดินที่บ้านฝั่งตรงข้าม บังเอิญว่าเป็นพี่สะใภ้ที่เพิ่งเจอกันไปก่อนหน้านี้
“ไอ้หยา…เสี่ยวฉิน เธอมาทำอะไรเนี่ย”
ฉินมู่หลานความจำดี จึงจำได้ว่าเป็นพี่สะใภ้ที่เพิ่งพบกันไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แนะนำตัวเองก็ตาม แต่เธอก็ได้ยินคยรอบข้างเรียกหล่อนว่าไห่หง ประมาณนั้น “พี่สะใภ้ไห่หงใช่ไหมคะ พวกเราจัดบ้านกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เลยมาทักทายเพื่อนบ้านค่ะ ต่อไปพออยู่ที่นี่จะได้พูดคุยกัน”
เมื่อได้ยินฉินมู่หลานเอ่ยชื่อตัวเองได้อย่างถูกต้อง สีหน้าของเป่ยไห่หงก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“เสี่ยวฉิน เธอรู้จักชื่อฉันได้ยังไง?”
“พี่สะใภ้คะ เมื่อกี้ฉันได้ยินคนอื่นเรียกพี่สะใภ้แบบนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดสินะคะ”
พบกันเพียงครั้งเดียวก็เรียกชื่อตัวเองได้อย่างถูกต้อง จึงเห็นได้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจในรายละเอียดของตัวเองมาก เป่ยไห่หงจึงประทับใจในตัวฉินมู่หลานมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นท้องนูนของฉินมู่หลาน เป่ยไห่หงจึงรีบเชิญคนเข้ามาข้างในอย่างรวดเร็ว
ฉินมู่หลานก็ไม่ปฏิเสธเหมือนกัน ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั้นก็วางขนมไข่ลง แล้วเอ่ย “พี่สะใภ้คะ อันนี้ฉันทำเองที่บ้านก่อนจะมาที่นี่ หวังว่าพี่สะใภ้จะไม่รังเกียจค่ะ”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานนำของติดไม้ติดมือมาวางลงบนโต๊ะ เป่ยไห่หงก็รีบปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก เสี่ยวฉิน เธอเอาคืนไปเถอะ”
ฉินมู่หลานยกยิ้มพลางยัดถุงลงในมือแล้วเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้รับไว้เถอะค่ะ ฉันตั้งใจเตรียมมาให้พวกพี่สะใภ้หมดเลย แต่ฝีมือของฉันอาจจะไม่ค่อยดีนัก พวกพี่สะใภ้อาจจะไม่ชอบมันก็ได้ค่ะ”
เป่ยไห่หงมองดูขนมไข่สีเหลืองที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้น “เสี่ยวฉิน เธอถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าเธอไม่บอก ฉันก็คิดว่าเธอซื้อมานะเนี่ย ฝีมือเธอคงดีมากแน่นอน”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชมนะคะ พี่สะใภ้ใจดีจังเลยค่ะ ก่อนหน้านี้ที่จะมาฉันกังวลใจมากเลย กลัวว่าจะเข้ากับพวกคุณได้ไม่ดี”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เป่ยไห่หงก็รีบโบกมือแล้วกล่าวขึ้นทันที “เสี่ยวฉิน พวกเราทุกคนที่นี่ล้วนเข้ากันได้ดีทั้งนั้น เธอไม่ต้องกังวลเลย”
หล่อนคิดว่าฉินมู่หลานคงทราบเรื่องข่าวลือ จึงกลัวว่าจะเข้ากับพวกเธอไม่ได้
เมื่อคิดได้แบบนี้ เป่ยไห่หงจึงรู้สึกอายนิดหน่อย พวกหล่อนไม่เคยพบฉินมู่หลานมาก่อน แต่กลับนำข่าวลือพวกนั้นมาพูดกันปากต่อปาก ตอนนี้เมื่อได้มาเจอตัวเป็น ๆ จึงได้ทราบว่าภรรยาของผู้กองเซี่ยอ่อนโยนขนาดไหน ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ตามคาด เพราะฉะนั้นครั้งต่อไปอย่าได้พูดอะไรแบบนี้อีก
แต่เมื่อฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ทำท่าทีลังเลที่จะพูดนิดหน่อย สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร
เป่ยไห่หงเห็นฉินมู่หลานมีท่าทางเช่นนั้น จึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “มู่หลาน ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ทราบว่าเธอเป็นคนยังไง จึงได้หลงเชื่อข่าวลือพวกนั้นไปหน่อย ตอนนี้เธอไม่ต้องห่วงนะ”
“เอ๊ะ…ข่าวลืออะไรเหรอคะ?”
สีหน้าของฉินมู่หลานเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นท่าทางของฉินมู่หลาน เป่ยไห่หงก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
“เสี่ยวฉิน เมื่อกี้เธอดูลังเลที่จะพูด หรือว่าเป็นเพราะข่าวลืออย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าข่าวลือเรื่องอะไร”
ฉินมู่หลานส่ายหัวด้วยความแปลกใจ หลังจากนั้นก็กล่าวว่าเหตุใดตนจึงลังเลที่จะพูด “ก่อนหน้านี้ฉันค่อนข้างกลัวว่าจะเข้ากับพวกพี่สะใภ้ได้ยากค่ะ เป็นเพราะฉันเคยเจอหนึ่งในลูกบ้านของพวกพี่สะใภ้ และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ทำให้เราทุกคนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นฉันจึงกังวลใจที่จะมาค่ะ ไม่คิดเลยว่าจะเข้ากับพวกพี่สะใภ้ได้ดีมาก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เป่ยไห่หงก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
“เสี่ยวฉิน ก่อนหน้านี้เธอเคยเจอใครเหรอ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องขึ้นได้ รีบเล่าให้ฉันฟังหน่อยเร็วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดี๋ยวฉันจะลองตรวจสอบดูว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่า”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มู่หลานสยบข่าวลือได้มีประสิทธิภาพมาก ในเมื่อลือว่าเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ก็แสดงตัวให้เห็นไปเลยว่าเป็นคนยังไง
ไหหม่า(海馬)