ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 507 ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
ตอนที่ 507 ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
เมื่อเห็นใบหน้าของเป่ยไห่หงดูอยากรู้อยากเห็น ฉินมู่หลานจึงเม้มปาก พยายามไม่พูดอะไร
“พี่สะใภ้คะ วันนั้นทุกคนต่างก็มีปัญหาด้วยกัน อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ครั้งต่อไปเดี๋ยวฉันจะลองคุยกับพี่สะใภ้คนนั้นให้เรียบร้อย ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเราคืนดีกันไม่ได้หรอกค่ะ”
ฉินมู่หลานรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสแสร้งนิดหน่อย แต่ใครใช้ให้คังอันเหอหยิ่งผยองไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดที่เกือบเดินชนเธอเข้ากันล่ะ หลังจากนั้นก็ยังเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอให้พวกครอบครัวทหารฟังกันอีก
เธอคิดว่าเป็นคังอันเหอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อได้พบหน้าหล่อนในวันนี้ก็ยิ่งมั่นใจ ดังนั้นเธอจึงไม่คร้านที่จะเปิดเผยความจริง ให้ทุกคนได้เห็นธาตุแท้ของคังอันเหอ
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ยอมพูด เป่ยไห่หงก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ทำไมทำให้คนอื่นอยากรู้อยากเห็นแล้วพูดเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วก็หยุดพูดเพียงเท่านั้นล่ะ
ฉินมู่หลานไม่ได้พูดอะไร แต่เพื่อนสนิทที่อยู่ข้าง ๆ เธอกลับทนไม่ไหวแล้วบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“มู่หลาน วันนั้นเธอไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลยนะ เห็นได้ชัดว่าคังอันเหอเป็นฝ่ายผิด เธอเดินตามทางของเธออยู่ดี ๆ แต่หล่อนกลับวิ่งมาเร็วมากทั้งที่เป็นมุมทางเลี้ยว ถ้าเธอหลบไม่ทัน เธอคงโดนชนเข้าอย่างจังแล้ว ถึงตอนนั้นลูกในท้องของเธอจะทำยังไง”
สีหน้าของเหวินเฉียนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
ชุยเสี่ยวผิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ใช่แล้ว เธอตั้งท้องลูกแฝดอยู่ด้วย หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น คนอื่นต้องเสียใจแน่ แถมหลังจากเกิดเรื่องขึ้นหล่อนก็ยังคิดว่าเธอเป็นฝ่ายผิดอีก เธอเดินมาดี ๆ แล้วจะเป็นคนผิดได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าหล่อนโมโห อยากจะลงไม้ลงมือกับคนท้องอย่างเธอด้วยนะ”
เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงแสดงท่าทางอย่างสุดความสามารถ ตอนแรกที่พวกหล่อนได้ฟังเรื่องนี้ก็รู้สึกโกรธมาก
คังอันเหอเป็นฝ่ายผิดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ยอมรับแล้วยังคิดจะลงไม้ลงมือกับฉินมู่หลานอีก นี่มันทำเกินไปแล้ว
“อะไรนะ…เป็นอันเหอหรอกหรือเนี่ย หล่อนเกือบเดินชนเธอเหรอ”
เมื่อเห็นว่าเป่ยไห่หงดูตะลึง ไม่นานนัก หล่อนก็สังเกตอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“เสี่ยวฉิน ที่แท้เธอก็ตั้งท้องลูกแฝดอยู่นี่เอง ยินดีด้วยนะ”
ฉินมู่หลานฝืนยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
หลังจากนั้นเธอก็หันไปจ้องมองเหวินฉียนและชุยเสี่ยวผิง ก่อนจะเอ่ย “วันนั้นคงเป็นเพราะพี่สะใภ้อันเหอก็รีบไปเข้าห้องน้ำเหมือนกัน จึงวิ่งมาเร็วขนาดนั้น มันไม่ใช่ความผิดของหล่อนหรอก ฉันเองก็กังวลเกินเหตุ แล้วยังพูดจาไม่ดีใส่หล่อนด้วย คงเป็นสาเหตุให้พี่สะใภ้อันเหอโกรธมาก”
“มู่หลาน เธอใจดีเกินไปแล้ว วันนั้นคังอันเหอไม่เพียงแต่ไม่ขอโทษ แล้วยังจะเข้ามาทำร้ายเธออีกนะ หากไม่ใช่เพราะมีพรรคพวกเธออยู่ด้วย เธอคงโดนพวกเขาทำร้ายไปแล้ว”
“อะไรนะ…อันเหอจะทำร้ายเธอเหรอ?”
ใบหน้าของเป่ยไห่หงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยความลังเล “นี่…เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่า”
ชุยเสี่ยวผิงจ้องมองเป่ยไห่หง ก่อนจะบอกกล่าว “พี่สะใภ้คะ จะเข้าใจผิดกันได้ยังไง วันนั้นมู่หลานไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนที่โรงแรมปักกิ่ง คังอันเหอก็ไปกินข้าวที่นั่นด้วยเหมือนกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงแรมปักกิ่ง ตอนนั้นคนเห็นเหตุการณ์เยอะมาก พี่สะใภ้ลองไปหาคำตอบที่โรงแรมปักกิ่งดูก็ได้ค่ะ พวกเราไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาพูดโกหกหรอก”
เมื่อเห็นคำยืนกรานของชุยเสี่ยวผิง เป่ยไห่หงก็เชื่อแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแบบนี้หากตรงไปสอบถามยังสถานที่นั้นโดยตรงก็จะทราบได้ทันที พวกฉินมู่หลานจึงไม่จำเป็นจะต้องโกหกเรื่องที่สืบหาความจริงได้อยู่แล้ว
เมื่อคิดได้แบบนี้ คิ้วของเป่ยไห่หงก็ขมวดย่นขึ้นทันที
“ไม่คิดเลยว่าอันเหอจะเป็นคนแบบนี้ หล่อนทำตัวค่อนข้างสุภาพตลอด”
หลังจากพูดจบ เป่ยไห่หงก็เปิดปากเอ่ยเกลี้ยกล่อม “เสี่ยวฉิน เธอเพิ่งบอกว่าอยากจะคืนดีด้วย เรื่องนี้พวกเราต้องหาโอกาสไปคุยกับอันเหอให้เรียบร้อย ทุกคนปล่อยวางอดีต แล้วปล่อยมันไปซะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
พวกเธอต่างอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่เป่ยไห่หงยังมีความคิดแบบนี้อีก ยังต้องการเกลี้ยกล่อมให้เธอคืนดีกับอีกฝ่าย
แต่เธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว
ฉินมู่หลานยังคงรักษาท่าทางเดิมเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ ฉันก็หวังว่าแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงยังจำสิ่งที่พวกหล่อนเพิ่งแสดงออกมาได้ สีหน้าจึงดูไม่พอใจฉายชัด แต่เมื่อหันมองเป่ยไห่หงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เป่ยไห่หงเห็นฉินมู่หลานดูอ่อนโยนมากขนาดนี้ จึงทราบว่าข่าวลือเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง และในขณะเดียวกันก็คาดเดาเรื่องบางอย่างในใจได้แล้ว เพราะคังอันเหอเป็นคนเดียวที่เคยมีเรื่องกับฉินมู่หลาน คนอื่นไม่มีใครรู้จักฉินมู่หลานเลยด้วยซ้ำ แล้วจะปล่อยข่าวลือได้อย่างไร
เพียงแต่เมื่อเห็นเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงดูโกรธขนาดนั้น สุดท้ายหล่อนจึงอธิบายเพิ่ม
“พวกเธอรู้ไหมว่า ผบ.ที่นี่แซ่อะไร เขามีแซ่ถู และสามีของอันเหอก็ใช้แซ่ถูเหมือนกัน ทั้งสองเป็นอาหลานกัน”
ฉินมู่หลานแสดงท่าทางแปลกใจขึ้นมา “ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงก็เอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่แปลกเลยที่คังอันเหอจะหยิ่งยโสวางมาดขนาดนั้น ที่แท้ก็…” หลังจากพูดจบ พวกหล่อนก็ไม่ได้พูดต่อ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจความหมายที่จะสื่อ
และเป่ยไห่หงก็แนะนำขึ้นทันที “เรื่องนี้อย่าพูดเชียวนะ”
ฉินมู่หลานรีบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกเราไม่พูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ”
หลังจากนั้นพวกเธอก็นั่งกันต่ออีกสักพัก แล้วไปเยี่ยมบ้านคนอื่นต่อ เพียงแต่เมื่อไปบ้านอื่น ฉินมู่หลานก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เพียงแค่มอบขนมไข่ให้ หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ
หลังจากทั้งสามกลับมานั่งที่บ้าน เหวินเฉียนก็เอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ “พี่สะใภ้คะ แบบนี้จะดีเหรอ พวกเราบอกเรื่องนี้แค่กับบ้านเป่ยไห่หงเท่านั้น และหล่อนก็ไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าอย่างนั้นคนอื่นจะทราบเรื่องนี้กันเหรอ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็แสยะยิ้ม แล้วกล่าวขึ้น “พูดครั้งเดียวก็พอแล้ว หากพูดมากไปมันจะดูตั้งใจทำเกิน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าครั้งแรกไม่ได้ผล ครั้งต่อไปก็ยังมี ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนั้น เหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงก็ไม่พูดอะไรอีก
และแล้วความกังวลของเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงนั้นก็เปล่าประโยชน์ เพราะหลังจากที่เป่ยไห่หงทราบเรื่องระหว่างฉินมู่หลานและคังอันเหอแล้ว ก็รีบไปบอกเพื่อนสนิทอย่างโจวหมิ่นทันที
โจวหมิ่นดูแปลกใจมากเมื่อได้ยินแบบนี้
“อะไรนะ…มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ นี่…ทำไมอันเหอเป็นคนแบบนี้นะ” ขณะเดียวกันหล่อนก็ให้ความสนใจที่มู่หลานท้องลูกแฝด “ไม่แปลกใจที่มู่หลานจะโกรธมาก ถ้าหากฝาแฝดเป็นอะไรไปล่ะ ก็ต้องยืนหยัดสู้คนสิ”
“ใครว่าใช่ล่ะ แต่ก็ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าคังอันเหอจะเป็นคนแบบนี้ ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยจริง ๆ”
โจวหมิ่นได้ยินแบบนี้ก็หันไปมองเป่ยไห่หงอย่างลึกลับแล้วเอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็น แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะมองผิดก็เลยไม่กล้าพูด ตอนนี้พอพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ฉันเห็นก็คงไม่ผิดแล้วล่ะว่าอันเหอผลักคน”
“ผลักคนอะไรกัน เธอรีบเล่าให้ฉันฟังหน่อย”
เป่ยไห่หงรู้สึกว่าวันนี้ค่อนข้างน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ได้ฟังความลับเยอะมาก
ปรากฎว่าตอนโจวหมิ่นออกไปเดินซื้อของ ได้เห็นคังอันเหอผลักคนจากที่ไกล แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หล่อนจึงมองได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก ทำให้คิดว่าตัวเองอาจมองผิดไป เมื่อนึกเรื่องในตอนนี้ จึงตระหนักได้ว่าตัวเองเห็นไม่ผิด
“ดูเหมือนว่า นิสัยของอันเหอที่เห็นทุกวันนี้จะเป็นแค่การแสดงนะ สวรรค์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรระวังหล่อนไว้บ้างแล้ว”
โจวหมิ่นรีบคว้าเป่ยไห่หงเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดขึ้น “ใครใช้ให้อาของเขามีอำนาจกันล่ะ เพราะฉะนั้นเธอห้ามเอาเรื่องที่เราคุยกันไปบอกใครนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันพูดแค่กับเธอนี่แหละ กับคนอื่นไม่พูดด้วยหรอก แต่ว่าภรรยาของผู้กองเซี่ยนี่สุขุมอ่อนโยนจังเลยนะ หลังจากหล่อนย้ายมาอยู่ที่นี่จะโดนแกล้งหรือเปล่า”
ตอนนี้โจวหมิ่นก็เริ่มเป็นกังวลเช่นกัน
“นั่นน่ะสิ ดูจากนิสัยของเสี่ยวฉินแล้ว เป็นคนที่จิตใจดีอ่อนโยน ตอนนี้ยังท้องลูกแฝดอีก ถ้ามีอะไรไปกระทบเข้าจะทำอย่างไร”
เป่ยไห่หงกล่าวแล้วพยักหน้า “ใช่แล้ว ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
สุดท้ายโจวหมิ่นก็ทนไม่ไหว แล้วกล่าวขึ้น “ไม่ได้การ เรื่องนี้ต้องบอกให้คุณป้ารู้ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับคุณป้าสักหน่อย ให้หล่อนช่วยดูแลเสี่ยวฉินมากขึ้น เสี่ยวฉินจะได้ไม่ถูกรังแก”
ป้าที่หล่อนกล่าวถึงคือภรรยาของผู้บังคับบัญชา ซึ่งคอยดูแลพวกหล่อนเป็นอย่างดี
ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่าเรื่องภายนอกเป็นแบบนี้ ตอนนี้เมื่อเธอเห็นว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็หันไปมองเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงก่อนจะกล่าว “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเขียนข้อความบอกอาหลี่เอาไว้”
เพียงแต่ฉินมู่หลานยังเขียนไม่ทันเสร็จ เซี่ยเจ๋อหลี่ก้กลับมาแล้ว เมื่อเห็นว่าในบ้านถูกจัดเป็นระเบียบน่าอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงแล้วพูดขึ้น “ลำบากพวกเธอแล้ว”
“ไม่ลำบากหรอกค่ะ”
ทั้งสองรีบโบกมือ
และฉินมู่หลานก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เซี่ยเจ๋อหลี่ฟัง หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะมาใหม่”
“ได้ ตอนพวกคุณกลับก็ระวังตัวด้วยนะ”
ถึงแม้ว่าภายในบ้านจะตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่หากมู่หลานจะอยู่ คงต้องซื้อของบางอย่างเข้ามาเพิ่ม คืนนี้จึงยังไม่สามารถนอนค้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นเหวินเฉียนและชุยเสี่ยวผิงก็อยู่ด้วย
เมื่อฉินมู่หลานและอีกหลายคนเดินออกไปข้างนอก โจวหมิ่นก็เพิ่งกลับมาถึงบ้านพอดี พอเห็นว่าพวกเธอกำลังจะไป จึงรีบเอ่ยถาม “มู่หลาน จะกลับเหรอ?”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหย้าแล้วบอกกล่าวทั้งรอยยิ้ม “ใช่ค่ะพี่สะใภ้ วันนี้แค่จัดบ้านนิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาของมาเพิ่ม แล้วฉันก็ยังมีลูก ๆ อีกสองคนอยู่ที่บ้านด้วย หลังจากจัดการทุกอย่างที่นี่เสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันจะพาพวกเขามาอยู่ด้วยค่ะ”
“อะไรนะ…ที่บ้านเธอยังมีลูกอีกสองคนเหรอ?”
โจวหมิ่นทราบแล้วว่าฉินมู่หลานกำลังตั้งครรภ์ท้องแฝด แต่ไม่ทราบว่าเธอเคยมีลูกแฝดมาก่อนแล้ว
ฉินมู่หลานอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ ที่บ้านยังมีลูกอีกสองคน ท้องแรกฉันได้ลูกแฝดมังกรหงส์ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ โจวหมิ่นก็รู้สึกอิจฉาเหลือเกิน
“เสี่ยวฉิน เธอเก่งจังเลย”
“พี่สะใภ้คะ เป็นเพราะครอบครัวฉันมีกรรมพันธุ์ฝาแฝดค่ะ จึงท้องลูกแฝดได้ง่ายกว่าปกติ”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เธอก็ยังเก่งมากนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ หลังจากนั้นก็บอกลาโจวหมิ่น
เฝ้ามองฉินมู่หลานเดินจากไป โจวหมิ่นก็ได้แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนสุขุมมาก ตัวเองจะไปหาคุณป้านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เสี่ยวฉินอ่อนโยนขนาดนี้ ต้องโดนกลั่นแกล้งง่ายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สิ่งที่โจวหมิ่นไม่ทันคาดคิดก็คือ ทุกคนต่างรู้เรื่องขัดแย้งระหว่างฉินมู่หลานและคังอันเหอหมดแล้ว
กว่าคังอันเหอทราบเรื่องนี้ก็สายเกินไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย ทั้งหมดเป็นความผิดของนังสุนัขฉินมู่หลานนั่น”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในเมื่อเป็นดอกบัวขาวมา ก็ทำตัวเป็นดอกบัวขาวเล่นงานกลับ สมน้ำสมเนื้อกันดีจริง
ไหหม่า(海馬)