ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 512 อยากรู้(1)
ตอนที่ 512 อยากรู้(1)
ฉินมู่หลานไม่คิดว่าทั้งสองครอบครัวจะดำเนินการเร็วขนาดนี้ เธอมองทั้งสี่คนตรงหน้าที่ทำท่าทางสำนึกผิด ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ก็แก้ไขเรื่องเข้าใจผิดกันแล้ว ทุกคนปล่อยผ่านไปก็พอค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนก็มองดูด้วยความเหลือเชื่อ
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าวันนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อขอโทษ ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร ฉินมู่หลานก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร
เมื่อคิดได้แบบนี้ จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้ก็แอบเหลือบมองฉินมู่หลาน
เมื่อพวกหล่อนสองคนได้ฟังเรื่องของภรรยาผู้กองเซี่ย และมาคุยกับทางครอบครัวทหารฝั่งนี้ ก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ พวกหล่อนไม่รู้ว่าทำไมคำพูดหลังจากนั้นถึงบิดเบือนไปไกลมากโดยที่ก่อนหน้านี้พวกตนไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ในเมื่อพวกหล่อนเป็นสองคนที่กระจายข่าวออกไปในตอนแรก จึงจำเป็นต้องมาขอโทษ
ฉินมู่หลานสังเกตว่าทั้งสองต่างมองหน้ากัน เธอจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ หน่อย ๆ “พี่สะใภ้คะ พวกคุณรีบเข้ามาก่อนเถอะ ยืนคุยหน้าประตูไม่ค่อยดี”
คนโดยรอบเริ่มมองมาทางนี้กันแล้ว จะยืนอยู่หน้าประตูต่อไปคงไม่ดี จึงรีบพาทั้งสี่คนเข้าไปข้างใน
เหล่าหวังและเหล่าเฉินรู้สึกอายมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่าคนในครอบครัวจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ ทั้งสองจึงกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉินมู่หลานก็เอ่ยขัดจังหวะพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้คงเป็นการเข้าใจผิดกัน แต่ฉันขอถามอะไรพี่สะใภ้ทั้งสองคนอย่างหนึ่งได้ไหมคะ?”
จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้รีบพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว “ได้อยู่แล้วค่ะ”
“พี่สะใภ้ทั้งสองคนไปฟังพี่สะใภ้คนไหนในเหอเป่ยมาคะ ตอนที่ฉันอยู่ที่เหอเป่ยก็ไม่ได้เป็นคนหยิ่งผยองอะไรนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้ก็รีบอธิบายทันที “เป็นเพื่อนเก่าเราเองค่ะ ชื่อชุนเหม่ย หล่อนแค่เล่าเรื่องของคุณให้ฟัง บอกว่าพวกคุณรู้จักกัน ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตัวคุณนะคะ ตอนที่พวกเราบอกพี่สะใภ้คนอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลย ไม่คิดว่าหลังจากนั้นมันจะบิดเบือนกลายเป็นแบบนี้”
ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็มองหน้ากัน แววตาเป็นประกาย
แต่เหล่าเฉินและเหล่าหวังต่างคิดว่าภรรยาของพวกเขาเป็นคนไม่ดีที่บอกต่อข่าวอะไรมั่วซั่ว แล้วทีนี้เป็นอย่างไร ข่าวบิดเบือนกลายเป็นอื่นไปแล้ว “ผู้กองเซี่ย เป็นเพราะพวกเราไม่ดีเอง ไม่ควรให้มีการพูดคุยกันปากต่อปากตั้งแต่แรก”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็รีบกล่าว “พี่ชายทั้งสองอย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ จริง ๆ แล้วฉันก็รู้จักชุนเหม่ยที่พี่สะใภ้ทั้งสองพูดถึงเหมือนกัน หล่อนไม่ใช่คนที่ชอบนินทา พี่สะใภ้ทั้งสองจะพูดคุยกับหล่อนก็เป็นเรื่องปกติค่ะ ใครจะไปคิดว่าเรื่องต่อจากนั้นจะกลายเป็นแบบนี้”
ต้องมีคนอื่นในที่แห่งนี้สร้างปัญหาแน่นอน พอมาถึงตอนนี้กลับโยนความผิดให้จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้รับผิดชอบแทน
ในตอนนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เปิดปากพูดเช่นกัน “ใช่ครับ ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างทราบดีว่ามู่หลานไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนรีบกลับไปเถอะครับ”
เหล่าเฉินและเหล่าหวังนึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลานจะเจรจาได้ง่ายขนาดนี้ หลังจากที่เอ่ยขอบคุณแล้วก็พาภรรยากลับไป
แต่ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ต่างไม่พูดอะไร เป็นเพราะจริง ๆ แล้ว พวกเขาทราบว่าเรื่องนี้จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้ไม่ได้เป็นคนทำ จึงไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่แรก
“ถูเฉิงเสียงกับคังอันเหอยังคงลอยนวลต่อไปได้จริงๆ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็มีสีหน้าสงสัยก่อนจะหันมองฉินมู่หลาน แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายนี้ จึงอดยิ้มไม่ได้ “ที่คุณพูดมาก็จริงอยู่”
ฉินมู่หลานยกยิ้ม แล้วเอ่ย “พวกเขาจงใจหลบเลี่ยงความผิด ฉันว่าคังอันเหอต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน แต่ตอนนี้ฉันยังหาหลักฐานไม่ได้ น่ารำคาญจริงค่ะ”
อันที่จริงเธอมีข้อสงสัยบางอย่าง ว่าผู้บังคับบัญชาถูออกโรงปกป้องพวกเขาหรือเปล่า เพียงแต่หากพูดกล่าวหาออกมาแบบนี้คงไม่ดีแน่
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ภรรยาของเหล่าเฉินและเหล่าหวังทั้งสองไม่ได้เกี่ยวข้อง
“คุณวางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะให้คนไปหาหลักฐานต่อ”
เพียงแต่เซี่ยเจ๋อหลี่ยังไม่ทันได้ลงมือ ทางกองทัพก็ได้ส่งกาน้ำชาหนึ่งกามาให้ฉินมู่หลานเป็นการแสดงมิตรไมตรีแล้ว ฉินมู่หลานมองดูกาน้ำชานี้ก็อดจะหัวเราะไม่ได้ หากไม่ทราบว่าทุกคนค่อนข้างเป็นมิตร เธอเกือบจะสงสัยแล้วว่านี่เป็นการเสียดสีกัน
นอกจากนี้ตรงข้างนอก ยังมีประกาศลงบนกระดานข่าวบริเวณบ้านพักครอบครัวด้วย
เนื้อหาทั่วไปคือการให้ทุกคนหยุดพูดจานินทาชาวบ้าน ห้ามเผยแพร่ข่าวลืออันเป็นเท็จ และให้ทุกคนสามัคคีกันเอาไว้ รักใคร่กลมเกลียวประหนึ่งญาติมิตร ขณะเดียวกันก็อธิบายเรื่องของฉินมู่หลานอย่างชัดเจน ลบมลทินให้เธอ
หลังจากเห็นแบบนี้ ฉินมู่หลานก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ประกาศฉบับนี้เป็นทางการมาก แต่มีชื่อของเธอปรากฎอยู่บนประกาศฉบับนั้นด้วย ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพียงแค่ประกาศเตือนใบหนึ่งเสียอีก
โจวหมิ่นและเป่ยไห่หงอยู่ข้างหลังฉินมู่หลานเห็นประกาศนี้พร้อมกัน จากนั้นจึงหันไปมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้จบแล้วสินะ ต่อไปก็จะไม่มีใครเข้าใจเธอผิดแล้ว”
แต่หลังจากพูดจบ พวกหล่อนต่างก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่จางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้ไปขอโทษ จึงอยากจะคว้าฉินมู่หลานมาถาม
ฉินมู่หลานไม่ได้พูดอะไรมาก บอกเพียงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่สะใภ้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเธอตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอผ่านไปเรื่อย ๆ เรื่องกลับบิดเบือน
เมื่อได้ยินแบบนี้ โจวหมิ่นและเป่ยไห่หงก็หันมองหน้ากัน
ก่อนหน้านี้พวกหล่อนสงสัยคังอันเหอ แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นจางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้แทน จึงคิดว่าตัวเองเดาผิดมาโดยตลอด ไม่คิดว่าสองคนนั้นจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ข่าวลือกลับบิดเบือนไป เพราะฉะนั้นพวกหล่อนจึงอดคิดมากขึ้นไม่ได้
หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็พูดกับทั้งสองต่ออีกไม่กี่คำ พลางยกยิ้ม แล้วบอกกล่าว “พี่สะใภ้ทั้งสอง ฉันยังมีธุระต้องไปจัดการ ว่าจะออกไปข้างนอกแล้วค่ะ”
“ได้ เธอรีบไปจัดการเถอะ”
หลังจากฉินมู่หลานไปแล้ว เป่ยไห่หงก็คุยกับโจวหมินขณะเดินไปพลาง ๆ
“เธอว่า…การสอบสวนครั้งนี้ผิดพลาดหรือเปล่า ถึงจางย่าจวี๋และอู่โหย่วตี้จะเป็นพวกแรกที่ปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับมู่หลาน แต่หลังจากนั้นอาจจะมีคนอื่นปล่อยอีกก็ได้ ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ โจวหมิ่นก็เหลือบมองเป่ยไห่หงแล้วบอกกล่าว “พอเถอะ เรื่องนี้จบแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปพูดถึงมันอีกเลย”
เป่ยไห่หงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็โดนโจวหมิ่นปรามไว้ก่อน
“เธอดูประกาศตรงนั้นสิ บอกว่าให้สามัคคีกันเอาไว้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นยังไงก็ปล่อยมันไปเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เป่ยไห่หงก็ไม่พูดอะไร
อีกด้านหนึ่ง ถูไคหัวกำลังก่นด่าถูเฉิงเสียงด้วยความโกรธ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เพราะมู่หลานรู้อยู่แต่แรกว่าเป็นแพะแล้วไง เลยไม่จำเป็นต้องรับคำขอโทษอะไร
ไหหม่า(海馬)