ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 513 อยากรู้(2)
ตอนที่ 513 อยากรู้(2)
“พวกแกสองคนคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ฉันต้องคอยตามเช็ดตามล้างให้ตลอด พวกแกช่วยระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหม ถ้ามีครั้งต่อไปอีกก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูเฉิงเสียงก็รีบบอกกล่าวทันที “อารองครับ ก็ตรวจสอบทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเป็นภรรยาของเหล่าเฉินและเหล่าหวังที่ปล่อยข่าวเป็นคนแรก”
ถูไคหัวจ้องมองหลานชายตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ภรรยาของพวกเขาสองคนเป็นคนพูดถึงฉินมู่หลานเป็นกลุ่มแรก แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แกยังไม่รู้อีกเหรอ เรื่องนี้ถ้าไม่มีคังอันเหอของแกเข้ามาเอี่ยว ข่าวลือจะแพร่ไปในทิศทางแบบนั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูเฉิงเสียงก็พูดไม่ออก
เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าภรรยาตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่คังอันเหอไปทำอะไรมา เขาก็รู้ไม่แน่ชัด
ถูไคหัวเห็นว่าหลายชายเงียบไปแบบนี้ ก็ได้แต่รู้สึกโกรธ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดต่อเหล่าเฉินและเหล่าหวัง พวกเขาสองคนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยกลับต้องมารับผิดแทนหลานสะใภ้ตัวเองที่ไปพูดจาไร้สาระข้างนอก
เมื่อคิดได้แบบนี้ ถูไคหัวก็มองถูเฉิงเสียงด้วยความโกรธก่อนจะพูดขึ้น “เอาล่ะ ครั้งนี้มีหนึ่งภารกิจ เดี๋ยวอีกสักพักแกก็ออกเดินทางได้เลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ถูเฉิงเสียงก็หันมองถูไคหัวด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “อารอง ภารกิจอะไรครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นได้ยินเรื่องภารกิจครั้งล่าสุดเลย”
“เป็นภารกิจที่เพิ่งรับมาก่อนหน้านี้ แกพาคนไปที่ชายแดนเขตตะวันตกซะ”
ถูเฉิงเสียงยังไม่มีปฏิกิริยาในตอนแรก แต่เมื่อทราบว่าเป็นภารกิจอะไร สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“อารอง อาจะให้ผมไปเฝ้าชายแดนเขตตะวันตกเหรอ ก่อนหน้านี้อาปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมอายังจะให้ผมไปอีก”
“ใช่ ทำภารกิจนั้นนั่นแหละ ฉันตอบรับอีกรอบแล้ว แกพาคนไปที่นั่นสักสองสามคน”
“อารอง…”
ยังไม่ทันรอให้ถูเฉิงเสียงพูดจบ ถูไคหัวก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อน “พอแล้ว แกรีบไสหัวออกไปซะ”
เมื่อเห็นท่าทางของอารองดูโกรธเกรี้ยว ถูเฉิงเสียงจึงไม่พูดขัดอะไรอีก แล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หลังจากถูเฉิงเสียงออกไปแล้ว ถูไคหัวก็เรียกเหล่าเฉินและเหล่าหวังมาหาอีกครั้ง
ตอนแรกเหล่าเฉิงและเหล่าหวังมาเพราะคิดว่าเป็นเรื่องภรรยาตัวเอง จึงเตรียมใจที่จะโดนผู้บัญชาการตักเตือน แต่นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการจะไม่พูดอะไรเลย แต่กลับมอบหมายภารกิจให้พวกเขาแทน
“พวกนายสองคนไปทำงานที่นั่น หากทำภารกิจได้ดี กลับมาจะตกรางวัลให้พวกนาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าเฉินและเหล่าหวังก็ดีใจมาก “ขอบคุณครับผบ.”
“เอาเถอะ รีบไปซะ”
หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ถูไคหัวก็อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าหลานชายอย่างถูเฉิงเสียงค่อนข้างใช้ได้ ทั้งทักษะการต่อสู้และความสามารถในการเป็นผู้นำของเขาช่างน่าทึ่งมาก แต่หลังจากได้มาพบเซี่ยเจ๋อหลี่ ข้อบกพร่องก็ค่อย ๆ ปรากฎให้เห็นขึ้นมา
ทั้งมั่นหน้าหยิ่งผยอง อีกทั้งบกพร่องในวิธีการจัดการปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเรื่องครั้งนี้เขาก็ต้องเป็นคอยตามล้างตามเช็ดให้
หากไม่ใช่เพราะเป็นลูกชายของพี่ใหญ่ เขาคงไล่ออกไปนานแล้ว
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ทราบงานที่ถูเฉิงเสียง เหล่าหวังและเหล่าเฉินกำลังจะไปทำ ก็อดขมวดคิ้วได้ ดูเหมือนว่าผู้บังคับบัญชาจะทราบว่าถูเฉิงเสียงและคังอันเหอก่อเรื่อง มิฉะนั้นคงไม่จัดการแบบนี้
เมื่อเฉาเจิ้งหนานทราบข่าว ก็หัวเราะชอบใจอยู่นาน หลังจากนั้นก็อดพูดไม่ได้ “ผู้กองเซี่ยครับ เมื่อกี้คุณเห็นสีหน้าของถูเฉิงเสียงไหม หม่นหมองราวกับก้นหม้อเลย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะเนี่ย ผุ้บัญชาการถึงมอบหมายภารกิจนี้ให้เขา ผมว่าพวกเขาอาหลานคงขัดแย้งกันแน่เลย”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็เหลือบมองเฉาเจิ้งหนานแล้วเอ่ยขึ้น “นายก็รีบไปฝึกซ้อมเถอะ ถึงจะเรื่องขัดแย้งระหว่างอาหลาน แต่ยังไงพวกเขาก็ยังเป็นญาติกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉาเจิ้งหนานก็หยุดพูดทันที
ใช่แล้ว พวกเขาอาหลานเป็นญาติกัน ไม่ว่าจะขัดแย้งกันเพียงใด สุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องคืนดีกัน พวกเขาที่อยู่ตรงนี้มัวแต่นั่งหัวเราะคงไม่ช่วยอะไร เมื่อนึกขึ้นได้แบบนี้ เฉาเจิ้งหนานก็รีบไปฝึกซ้อมอย่างเชื่อฟังทันที
ฉินมู่หลานได้ยินเรื่องนี้หลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย จึงหันมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วพูดขึ้นว่า “อาหลี่ เรื่องนี้คงจบแล้วแหละค่ะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เข้าใจความจริงในเรื่องนี้ดี แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจต่อมู่หลาน
“ใช่ เรื่องนี้หากมองเพียงผิวเผินมันก็จบลงแล้วนั่นแหละ แต่พวกเรายังไปตามขุดคุ้ยจากที่อื่นได้อยู่”
ตอนแรกฉินมู่หลานแอบคิดแบบนี้เช่นกัน เพียงแต่เธออยากจะลงมือด้วยตัวเอง ไม่อยากให้เซี่ยเจ๋อหลี่ต้องเข้ามาข้องเกี่ยว “อาหลี่ ข่าวลือพวกนี้แพร่กระจายไปเพราะคังอันเหอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะลงมือเอง ไม่ต้องถึงมือคุณหรอกค่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างพวกเรา”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย
ฉินมู่หลานจึงพูดต่อ “ถ้าคุณเข้ามาร่วมด้วย เรื่องคงเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นทำตามที่ฉันบอก คุณไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ทำให้ตัวเองโดนรังแกหรอก”
เมื่อเห็นท่าทางของฉินมู่หลานดูมุ่งมั่น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่พูดอะไร
“ก็ได้ คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ แต่ตัวคุณเองต้องระวังตัวให้มากดวย เพราะตอนนี้คุณกำลังท้องอยู่นะ”
“อื้ม ฉันเข้าใจแล้ว”
ฉินมู่หลานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของภรรยาตัวน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัว ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสุขที่มู่หลานมาอยู่ด้วยทุกวัน แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน จึงรู้สึกกังวลใจนิดหน่อย
“มู่หลาน พรุ่งนี้คุณไม่ต้องมาหรอก กลับไปนอนที่บ้านเถอะ จะได้หลับให้เต็มอิ่มหน่อย”
หลายวันมานี้ฉินมู่หลานตื่นเช้ามาก จึงพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันกลับบ้าน อยู่บ้านสักสองวันเดี๋ยวฉันกลับมาใหม่”
“คุณไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวผมว่างแล้วจะไปหาที่บ้าน”
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ตอบตกลงในทันที “ถึงตอนนั้นค่อยดูอีกทีแล้วกันค่ะ”
เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉินมู่หลานตื่น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ออกไปก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากเธอจัดของเสร็จแล้วก็วางแผนจะไปมหาวิทยาลัย แต่พอเพิ่งก้าวออกจากบ้าน ก็เจอหน้าคังอันเหอเข้าอย่างจัง และยังมีผู้หญิงอีกคนที่เธอไม่รู้จัก
คังอันเหอก็เห็นฉินมู่หลานอยู่แล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองโดนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทางด้านฉินมู่หลานกลับถูกพูดถึงในทางที่ดีขึ้น บอกว่าทั้งสวยทั้งอ่อนเยาว์ บ้างก็ว่าทั้งมุ่งมั่นทั้งฉลาดหลักแหลม หล่อนก็รู้สึกโกรธมากทุกครั้งที่ได้ยินแบบนี้
“อันเหอ มีอะไรเหรอ”
ชวีเสวี่ยเจวียนเห็นว่าคังอันเหอไม่ยอมเดินไป จึงอดถามไม่ได้ ก่อนจะหันมองตามคังอันเหอไป เมื่อเห็นฉินมู่หลาน ก็อดขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามเสียไม่ได้ “อันเหอ นี่คือสหายฉินอย่างนั้นเหรอ เพิ่งเจอกันครั้งแรกต้องทำความรู้จักเพิ่มเติมหน่อยแล้ว”
หลังจากได้ยินแบบนี้ หล่อนก็ยิ้มแล้วเดินตรงมาหาเพื่อจับมือทักทายฉินมู่หลาน ก่อนจะเอ่ย “ฉันชื่อชวีเสี่ยวเจวียนค่ะ พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน เมื่อไม่นานมานี้ฉันกลับไปเที่ยวบ้านเกิดมา ไม่ได้กลับมาช่วงหนึ่ง พวกเราก็เลยไม่เคยเจอกันค่ะ”
“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้เสี่ยวเจวียน”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยกยิ้มแล้วกล่าวสวัสดี
แต่แล้วชวีเสี่ยวเจวียนก็ตอบกลับด้วยท่าทางสุขุม ก่อนจะเอ่ยถาม “กำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ กำลังจะไปเรียนเหรอคะ?”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ค่ะ กำลังจะไปมหาวิทยาลัย”
ชวีเสี่ยวเจวียนได้ยินแบบนี้ ก็บอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น่าอิจฉาคุณจังเลยเสี่ยวฉิน คุณไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ด้วย หนุ่มสาวนี่ชีวิตดีจริงๆ แต่ว่า…ฉันได้ยินว่ามหาวิทยาลัยมีหลายคณะ ไม่ทราบว่าเสี่ยวฉินกำลังเรียนคณะอะไรอยู่เหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็ต่างพากันหยุดชะงักแล้วให้ความสนใจ เงี่ยหูอยากจะฟังคำตอบของฉินมู่หลาน จริง ๆ แล้วก่อหน้านี้พวกเขาอยากรู้ตั้งนานแล้วว่าฉินมู่หลานไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน เพียงแต่ไม่เคยมีใครถามถึงมาก่อน กลายเป็นว่าชวีเสี่ยวเจวียนคือผู้กล้าที่ถามออกมา
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ย้ายหลานไปทางตะวันตกแล้วจะหมดเรื่องหมดราวไหมนะ
ไหหม่า(海馬)