ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 514 อิจฉาริษยา(1)
ตอนที่ 514 อิจฉาริษยา(1)
พอฉินมู่หลานได้ยินคำพูดเช่นนั้นของชวีเสี่ยวเจวียน เธอจึงทราบว่าอีกฝ่ายมาสร้างปัญหา
หลังได้รู้ว่าเธอเรียนมหาวิทยาลัยไหน หล่อนก็จะเอาเรื่องนี้ไปพูดวิเคราะห์กับทุกคน ถ้ามหาวิทยาลัยที่เธอเรียนเป็นมหาวิทยาลัยธรรมดา ชวีเสี่ยวเจวียนก็อาจจะเอาไปพูดสนุกปากกับพี่สะใภ้คนอื่น ๆ
ก่อนที่ฉินมู่หลานจะเอ่ยตอบ โจวหมิ่นก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นโต้กลับทันที “เสี่ยวเจวียน ทำไมเธอถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้นล่ะ มู่หลานต้องรีบไปเรียนนะ พวกเรามารุมล้อมกันขนาดนี้ จะไม่ทำให้หล่อนเสียเวลาเหรอ ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว”
โจวหมิ่นก็ทราบเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่กลัวว่ามหาวิทยาลัยที่ฉินมู่หลานศึกษาอยู่จะไม่ดีเท่านั้น แต่กลัวว่าจะถูกพวกชวีเสี่ยวเจวียนหัวเราะเยาะเอาด้วย จึงรีบเข้าไปขัดขวางทันที
เป่ยไห่หงคิดแบบเดียวกับโจวหมิ่น เมื่อเห็นโจวหมิ่นกล่าวเช่นนั้น หล่อนก็พยักหน้าเห็นด้วยตามกัน “ใช่แล้ว พวกเราอย่าทำให้มู่หลานเสียเวลาเลย”
ชวีเสี่ยวเจวียนจ้องมองโจวหมิ่นและเป่ยไห่หงพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองคนไม่สงสัยบ้างเหรอ ฉันอยากรู้จริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ตอบแค่ประโยคเดียวเอง ไม่ได้ใช้เวลานานนักหรอก”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันไปมองพี่สะใภ้คนอื่นแล้วกล่าวขึ้น “ใช่ไหมคะ พี่สะใภ้ทั้งหลาย”
หลายคนอยากรู้อยากเห็นมาก ย่อมต้องเห็นด้วยกับคำพูดของชวีเสี่ยวเจวียนอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็พากันพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่แล้ว ตอบแค่ประโยคเดียวเอง ไม่เสียเวลาอะไรหรอก เสี่ยวฉินไม่สะดวกใจที่จะบอกพวกเราเหรอ”
โจวหมิ่นและเป่ยไห่หงเห็นทุกคนทำแบบนี้ ก็คิ้วขมวดขึ้นทันที
ฉินมู่หลานจ้องมองชวีเสี่ยวเจวียนด้วยท่าทางขบขัน พวกหล่อนไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยหรือ ถึงได้มาถามคำถามนี้กับเธอ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบอะไรออกไป เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เข้ามาหา
“มู่หลาน โชคดีจังที่คุณยังไปไม่ไกล ผมฝึกช่วงเช้าเสร็จแล้ว ตอนนี้ว่างพอดี ก็เลยเอาของพิเศษบางอย่างมาให้คุณ”
ขณะพูดเขาก็วิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้า ก่อนจะยื่นกล่องเก็บความร้อนใบหนึ่งให้ฉินมู่หลาน “ข้างในมีอาหารเช้า กำลังร้อน ๆ อยู่ คุณจะได้ไม่ต้องไปกินที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย เอาไปกินที่ห้องเรียนได้เลย”
ฉินมู่หลานรับกล่องเก็บความร้อนแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ค่ะ”
และในตอนนั้นเอง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็สังเกตได้ว่ารอบตัวเขามีคนอยู่มากมาย จึงถามขึ้น “ทำไมพวกพี่สะใภ้ถึงมามุงกันอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
ชวีเสี่ยวเจวียนเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มาแล้วจึงขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่ในเมื่อหล่อนถามไปหมดแล้ว แน่นอนว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องได้รับคำตอบ จึงยกยิ้มแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้ฟัง หลังจากนั้นจึงกล่าวต่อ “พวกเราสงสัยว่าเสี่ยวฉินไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน แต่จนถึงตอนนี้หล่อนก็ยังไม่ตอบเลย หรือว่าอายที่จะบอกพวกเราอย่างนั้นเหรอคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่มองชวีเสี่ยวเจวียน ก่อนจะหันมองคังอันเหอที่อยู่ข้าง ๆ หล่อนอีกครั้ง จึงพอเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้แล้ว เขาพบว่ามันน่าขันนิดหน่อยที่พวกหล่อนมาถามจี้เรื่องมหาวิทยาลัยของมู่หลาน
“ถ้าพวกพี่สะใภ้อยากจะรู้กันนัก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมบอกให้ครับ มู่หลานกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เพิ่งกลับมาเปิดสอบก็สอบติดเลยครับ”
“ไม่มีทาง…”
ทันทีที่เซี่ยเจ๋อหลี่พูดออกมา ชวีเสี่ยวเจวียนก็อุทานโดยไม่รู้ตัว ด้วยไม่เชื่อว่าฉินมู่หลานเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่ง
แม้แต่คังอันเหอก็มองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อลองคิดใคร่ครวญแล้วก็รู้ว่าเรื่องนี้อาจเป็นความจริง เรื่องแบบนี้แค่ลองสืบดูก็ทราบได้ เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่มีทางมาพูดโกหกต่อหน้าคนมากมายแน่นอน เพราะฉะนั้น…
ฉินมู่หลานต้องเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉินมู่หลานอยู่ที่ชนบทมาตลอดไม่ใช่เหรอ และหลังจากบรรลุนิติภาวะก็แต่งงานมีลูกแล้ว คนแบบนี้ทำไมถึงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้?
ตอนแรกชวีเสี่ยวเจวียนไม่เชื่อ แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ จึงทราบได้ว่าต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกยอมรับไม่ได้นิดหน่อย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉินมู่หลานที่น่ารำคาญคนนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้อย่างไร
ส่วนพี่สะใภ้คนอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่ทราบว่าในปักกิ่งมีมหาวิทยาลัยอะไรบ้าง แต่ก็รู้จักมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นับเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ มีชื่อพอ ๆ กับมหาวิทยาลัยชิงหัวเลย
“ใช่แล้ว นี่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งเลยไม่ใช่เหรอ เสี่ยวฉินสอบเข้าไปได้ ถ้าอย่างนั้นคะแนนของหล่อนคงดีมากแน่นอน”
บทสนทนาดังขึ้นเซ็งแซ่ ทุกคนต่างมองฉินมู่หลานด้วยสายตาชื่นชม
แม้แต่โจวหมิ่นและเป่ยไห่หงก็มองฉินมู่หลานด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนหน้านี้พวกหล่อนเพิ่งกังวลว่ามหาวิทยาลัยที่ฉินมู่หลานเรียนอยู่อาจไม่ค่อยดีนัก จึงกลัวว่าจะถูกชวีเสี่ยวเจวียนและคังอันเหอหัวเราะเยาะ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในบรรดาสมาชิกครอบครัวทหารอย่างพวกหล่อน นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมากหลังทราบว่ามีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งรวมอยู่ด้วย
“เสี่ยวฉิน เธอเก่งเกินไปแล้วนะ”
เป่ยไห่หงก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้วเสี่ยวฉิน พวกเราดูไม่ออกเลย เธอแต่งงานมีลูกแล้ว ภาระออกจะเยอะขนาดนี้ แต่ยังสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ สุดยอดมากจริง ๆ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็รีบบอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สะใภ้ทุกคนมากนะคะ เป็นเพราะฉันโชคดีด้วยค่ะ แต่วันนี้สายแล้ว ฉันต้องขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็กล่าวตาม “ใช่ครับ ถ้ามู่หลานยังไม่ไปคงจะสายแน่ ถ้าพวกพี่สะใภ้อยากจะรู้เรื่องชีวิตมหาวิทยาลัยของมู่หลาน ก็เอาไว้คุยกับมู่หลานทีหลังนะครับ ตอนนี้หล่อนกำลังรีบ อยู่คุยกับพวกพี่สะใภ้ไม่ได้แล้ว”
“ใช่ๆๆ มู่หลานต้องรีบไปเข้าเรียน ถ้ายังไม่ออกเดินทาง เดี๋ยวจะสายเอานะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่บอกกล่าวกับพี่สะใภ้ทุกคนพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ไปส่งฉินมู่หลานตรงหน้าประตูฐานทัพ
หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ไปแล้ว หลายคนก็รวมตัวกันคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เสี่ยวฉินคนนี้เงียบมาก ไม่คิดเลยว่าจะเก่งกาจขนาดนี้ เป็นถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ ถ้าฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ล่ะก็ วัน ๆ คงเอาแต่ป่าวประกาศ ให้คนอื่นอิจฉาเล่นแน่นอน”
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นฉันเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้นะจะป่าวประกาศให้คนรู้เลย แต่เสี่ยวฉินไม่พูดอะไรสักอย่าง หล่อนทนเก็บเอาไว้ได้ยังไงกัน”
โจวหมิ่นได้ยินแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วหันมองทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเธอเหมือนกับเสี่ยวฉินหรือไงล่ะ หล่อนเป็นคนสงวนท่าที ไม่ได้อยากป่าวประกาศให้คนอื่นทราบเรื่องของตัวเองทุกอย่าง”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็อดหันไปมองชวีเสี่ยวเจวียนอย่างเสียไม่ได้ พลางพูดขึ้น “แต่ก็ต้องขอบคุณเสี่ยวเจวียนแหละนะ หากไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราคงไม่ได้รู้ว่าเสี่ยวฉินกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คนอื่นพากันหันไปมองชวีเสี่ยวเจวียน
ชวีเสี่ยวเจวียนหน้าขึ้นสีแดงด้วยความโกรธ
หล่อนไม่คิดว่าวันนี้จะสะดุดเท้าตัวเองล้ม สิ่งที่หล่อนคิดวันนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ฉินมู่หลานอับอายเท่านั้น แต่ยังทำให้ตัวเองหน้าแตกด้วย กระนั้นหล่อนก็ยังไม่ปักใจเชื่อสักเท่าใด ฉินมู่หลานเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่เติบโตมาในชนบท จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้อย่างไร
แต่ชวีเสี่ยวเจวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็โดนคังอันเหอก็ดึงไปเสียก่อน
“อันเหอ เธอจะดึงฉันทำไม”
คังอันเหอได้ยินแบบนี้ ก็หันมองชวีเสี่ยวเจวียนครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกกล่าว “เสี่ยวเจวียน พูดอะไรไปก็ไม่ดีขึ้นหรอก”
“อันเหอ ฉันรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อเลยนะ”
คังอันเหอส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “มีอะไรที่ไม่น่าเชื่ออีก เรื่องแบบนี้เซี่ยเจ๋อหลี่จะโกหกไปทำไม เพราะฉะนั้นฉินมู่หลานเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งแน่นอน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ชวีเสี่ยวเจวียนจึงช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างขื่นขม “หล่อนอาจจะโชคดี”
คังอันเหอไม่คล้อยตามคำพูดนี้ มหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่ได้ใช้เพียงแค่โชคเท่านั้นถึงจะเข้าได้ ทำได้แต่เปลี่ยนเรื่องไปพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“พอแล้วเสี่ยวเจวียน พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ พวกเรามาคุยเรื่องที่มีความสุขกันดีกว่า”
ชวีเสี่ยวเจวียนได้ยินแบบนี้ จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย พลางรีบเอ่ยถาม “เรื่องมีความสุขอะไร?”
“ฉันจะย้ายมาประจำการที่โรงพยาบาลทหารแล้ว อีกไม่กี่วันจะมีคำสั่งโอนย้าย”
ชวีเสี่ยวเจวียนได้ยินแบบนี้ ก็รีบกล่าวแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว “จริงเหรออันเหอ พวกเราอยู่โรงพยาบาลที่ห่างไกลมาก เธอได้ย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลทหารแบบนี้ก็จะได้เดินทางไปทำงานได้ใกล้ขึ้นแล้วน่ะสิ” หลังจากพูดจบ สีหน้าของหล่อนก็เต็มไปด้วยความอิจฉา “ฉันเองก็อยากย้ายมาเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า”
คังอันเหอและชวีเสี่ยวเจวียนทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก
คังอันเหอเป็นหมอ ส่วนชวีเสี่ยวเจวียนเป็นพยาบาล ตอนนี้คังอันเหอย้ายมาที่โรงพยาบาลทหารแล้ว ชวีเสี่ยวเจวียนก็ต้องย้ายมาเหมือนกัน
คังอันเหอได้ยินแบบนี้ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เดี๋ยวพอฉันย้ายมาที่โรงพยาบาลทหาร ฉันก็จะลองดูนะว่าพอจะหาโอกาสย้ายเธอมาด้วยได้ไหม”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นไงล่ะดีกรีเด็กเป่ยต้า ยังจะกล้านินทาอะไรมู่หลานอีกไหม
ไหหม่า(海馬)