ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 547 ซิ่งหลินถัง(1)
ตอนที่ 547 ซิ่งหลินถัง(1)
เห็นหลิวเสวียข่ายพูดแบบนั้น ฉินมู่หลานก็ยิ้มแล้วพยักหน้า เอ่ยว่า “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว พวกเราจะเปิดบริษัทเล็ก ๆ ก่อน หลังจากนั้นค่อยขยับขยาย ก็ขึ้นอยู่กับว่ายาของพวกเราจะขายออกหรือเปล่า”
หลิวเสวียข่ายเชื่อมั่นในตัวฉินมู่หลานอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วครับ ให้ผมพูดก็คงจะเยอะแยะไม่หวาดไม่ไหวเลย พวกคุณเลือกหน่วยงานในเครือที่เกี่ยวข้องได้เลยครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เป็นอย่างที่คุณว่าแล้วกันค่ะ”
หลังจากหลิวเสวียข่ายไปแล้ว ซูหว่านอี๋ก็เข้ามา หล่อนหันมองลูกสาวแล้วอดถามไม่ได้ “มู่หลาน ลูกกับปิงหรุ่ยจะทำธุรกิจของตัวเองกันเหรอ แล้วโรงงานเครื่องสำอางล่ะ?”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็หันไปมอง ก่อนจะกล่าวว่า “แม่คะ เรื่องโรงงานก็ให้แม่กับแม่สามีของหนูบริหารไป พวกแม่จัดการมันได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่ว่า…”
ซูหว่านอี๋รู้สึกว่าลูกสาวไม่จำเป็นต้องทำงานหนักขนาดนี้
ฉินมู่หลานหัวเราะขึ้นมาทันที แววตาทอประกายสดใส “แม่คะ เรื่องเครื่องสำอางไม่ใช่สิ่งที่หนูอยากจะทำไปตลอดหรอกค่ะ เป้าหมายของหนูก็คือการช่วยคนป่วยได้เยอะ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่หนูต้องการค่ะ”
เมื่อเห็นแววตาเปล่งประกายของลูกสาว ซูหว่านอี๋ก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “แม่มองโลกแคบเองแหละ ลูกควรจะไปทำอะไรที่มันเปี่ยมความหมาย”
ฉินมู่หลานได้ทราบข่าวจากหลิวเสวียข่าย หลังจากไปมหาวิทยาลัยแล้ว ก็พูดกับเซี่ยปิงหรุ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่คัดค้านอะไร หันมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้นว่า “มู่หลาน เธอจัดการเรื่องพวกนี้ไป ส่วนฉันจะจัดการเรื่องยาเอง”
“ได้”
หลังจากทั้งสองคุยเรื่องนี้จบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ถามเพิ่มเติม
“มู่หลาน พวกคุณพ่อเธอจะกลับมาหรือยัง?”
ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วพูดว่า “ยังไม่กลับเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
สิ่งที่ฉินมู่หลานไม่ทันได้คาดคิดก็คือ หลังจากเธอเลิกเรียนคาบบ่ายและกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าฉินเจี้ยนเซ่อกลับมาแล้ว สีหน้าของเธอจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พ่อ กลับมากันแล้วเหรอคะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อได้เจอลูกสาวแล้วก็ดีใจมาก เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว วันนี้เพิ่งถึงปักกิ่ง แต่มีแค่พ่อที่กลับมา ส่วนพ่อสามีของลูกกับอาจารย์เหลียงยังอยู่ที่เซินเจิ้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของฉินมู่หลานก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“ทำไมพวกเขาถึงไม่กลับมาเหรอคะ หรือว่าเดี๋ยวพ่อจะกลับไปอีก?”
ฉินเจี้ยนเซ่อพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ ที่พ่อกลับมา ก็เพื่อมาตามลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของลูก เดี๋ยวเราจะไปเซินเจิ้นด้วยกัน”
หลังจากกล่าวจบ แววตาของฉินเจี้ยนเซ่อก็เปล่งประกาย
“มู่หลาน ทางฝั่งเซินเจิ้นนั่นมีโอกาสเยอะมากจริง ๆ ครั้งนี้พวกเราได้ไปเปิดหูเปิดตา และคำแนะนำของลูกก่อนหน้านี้ก็มีประโยชน์มากด้วย มีแบบบ้านทั้งสองหลังนั้น มีหลายคนที่ได้เห็นความสามารถของพวกเราได้อย่างรวดเร็ว ครั้งนี้พวกเราได้รับทำหนึ่งโครงการแล้วล่ะ”
ฉินมู่หลานนึกไม่ถึงว่าพวกเขาไปถึงก็ได้รับงานโครงการทันทีเลย
“พ่อคะ โครงการนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ?”
“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหา อาจารย์เหลียงตรวจดูเรียบร้อยแล้ว และพวกเราก็ลองไปถามเจิ้งผู่แล้วด้วย เขาพอจะมีคนรู้จักอยู่ที่นั่น แล้วก็คอยช่วยพวกเราตรวจสอบดูแล้ว โครงการนี้ไม่มีปัญหาหรอก”
“คุณอาเผยเหรอคะ?”
ฉินเจี้ยนเซ่อพยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่แล้ว ครั้งนี้เจิ้งผู่ก็มีส่วนช่วยพวกเราไม่น้อยเลย”
เรื่องนี้ฉินมู่หลานนึกไม่ถึงเลย “ถ้าอย่างนั้นรออาเผยกลับมาปักกิ่งแล้ว จะเชิญเขามากินข้าวที่บ้านนะคะ”
“ใช่ พ่อก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบ ฉินเจี้ยนเซ่อก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังจะออกไปข้างนอก “มู่หลาน พ่อมัวคุยกับลูกไม่ได้แล้ว พ่อต้องรีบไปหาเคอเหล่ยกับเคอเจี๋ย” พูดจบก็รีบออกไปทันที
ฉินเจี้ยนเซ่อมาถึงบ้านของฉินเจี้ยนหัวแล้ว เมื่อเห็นหลานชายทั้งสองก็อยู่ที่นั่นด้วย จึงรีบบอกพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “ถ้าไปที่เซินเจิ้นต้องหาเงินได้แน่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอจะรับหรือเปล่านะ ถ้าไม่เอาเดี๋ยวอาจะไปตามคนจากหมู่บ้านมา ยังไงอาก็มีแผนจะย้อนกลับไปทางหมู่บ้านของเราอยู่แล้ว ลองดูว่ามีคนในหมู่บ้านอยากทำงานหรือเปล่า”
ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยรู้สึกลังเลนิดหน่อย เพราะเซินเจิ้นอยู่ไกลมากเหลือเกิน
ฉินเจี้ยนหัวจึงเปิดปากถามแทน “เจี้ยนเซ่อ ไปครั้งนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?”
“เสร็จโครงการนี้ก็กลับมาได้เลย อย่างน้อยก็ใช้เวลาสักสองสามเดือน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินเจี้ยนหัวก็เปิดปากถาม “จริง ๆ แล้วฉันเองก็อยากทำงานบ้างเหมือนกัน นายว่าฉันทำได้ไหม”
ฉินเจี้ยนเซ่อเหลือบมองพี่ชายด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ พี่อยากไปทำงานกับผมจริงเหรอ? งานมันหนักมากเลยนะ”
“นายยังทำได้ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ฉันก็อายุไม่ได้เยอะไปกว่านายกับเหวินปิงหรอกนะ”
เมื่อเห็นพี่ชายคนโตของตัวเองกล่าวแบบนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว “ได้ ถ้าอย่างนั้นถึงเวลาพี่ไปกับผม”
เห็นว่าพ่อของตัวเองจะไปทำงานที่เซินเจิ้น ฉินเคอเหล่ยและฉินเคอเจี๋ยจะยังมีอะไรให้ต้องลังเลอีก จึงพากันพยักหน้าแล้วตอบตกลงกันหมด “อารอง พวกผมก็จะไปด้วยครับ”
ซุนฮุ่ยหงเห็นว่าสามีและลูกชายจะไปเซินเจิ้น ก็รีบกล่าวทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปด้วย”
แต่ถึงอย่างนั้นฉินเจี้ยนหัวก็คัดค้านขึ้นทันที “คุณไม่ต้องไปหรอก ลูกสะใภ้สองคนกับหลาน ๆ ก็อยู่ที่เมืองหลวง ถ้าคุณไปด้วยกัน แล้วใครจะช่วยดูแลหลาน ๆ ล่ะ”
“ฉัน…”
ซุนฮุ่ยหงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะไม่คนคอยช่วยดูแลเด็ก ๆ จริงนั่นแหละ
เมื่อหวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งกลับมา ก็ทราบว่าสามีและพ่อสามีจะไปเซินเจิ้น เพียงแต่หลังจากทราบว่าเป็นเพราะอารองมาชวน ทั้งสองจึงไม่ว่าอะไร ทำเพียงแค่บอกว่าให้สามีเตรียมตัวให้เรียบร้อย และเดินทางอย่างปลอดภัย
และเมื่อคุณปู่ฉินทราบว่าลูกชายคนโตจะไป ก็อดหันมองลูกชายคนเล็กแล้วกล่าวเสียไม่ได้ “เจี้ยนเซ่อเอ๊ย พี่ชายแกอายุเยอะแล้ว ฝากแกช่วยดูแลเขาด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลพี่ใหญ่เป็นอย่างดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กกล่าวแบบนั้น คุณปู่ฉินก็วางใจ
และซูหว่านอี๋เห็นว่าสามีเพิ่งกลับมา วันรุ่งขึ้นก็จะกลับไปแล้ว จึงอดกล่าวไม่ได้ “เพิ่งกลับมาวันนี้เอง พรุ่งนี้ก้จะไปอีกแล้ว ทำไมถึงรีบร้อนจัง”
“ไม่หรอก เหวินปิงกับอาจารย์เหลียงยังรออยู่ที่นั่นนะ ผมต้องรีบหาคนไปช่วยที่เซินเจิ้น”
ซูหว่านอี๋เห็นท่าทางกระตือรือร้นของสามี จึงทราบว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ช่วยจัดกระเป๋าไป “ฉันได้ยินว่าอากาศที่เซินเจิ้นร้อนกว่าที่นี่มาก เพราะฉะนั้นฉันก็เลยเตรียมชุดบาง ๆ ให้แล้ว”
“ใช่ ๆ ก่อนหน้านี้ผมก็ว่าจะบอกอยู่ แต่ลืมไปหมดเลย คุณก็ยังใส่ใจรายละเอียดเหมือนเดิมนะ”
ทางด้านเหยาจิ้งจือก็กำลังเก็บของเหมือนกัน หลังจากเก็บแล้วก็มอบมันให้ฉินเจี้ยนเซ่อ “เจี้ยนเซ่อ รบกวนคุณเอาไปให้เหวินปิงด้วยนะ”
“ญาติลูกเขย พูดอย่างนั้นได้ยังไงกัน นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว”
และฉินเคอวั่งก็เข้าไปที่บ้านตระกูลเหลียงเช่นกัน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกระเป๋าที่เตรียมไปให้เหลียงถง
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินเจี้ยนหัว ฉินเคอเหล่ยและฉินเคอวั่งสามพ่อลูกก็มารวมตัวกันที่นี่เพื่อพบกับฉินเจี้ยนเซ่อ หลังจากนั้นก็ออกเดินทางด้วยกัน
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ให้พวกผู้ชายบ้านนี้ไปแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ล่ะค่ะ น่าจะได้เปิดหูเปิดตากว้างไกลขึ้น
ไหหม่า(海馬)