ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 551 สร้างความร้าวฉาน(1)
ตอนที่ 551 สร้างความร้าวฉาน(1)
เด็กทั้งสี่คนอยู่ที่เรือนด้านหลัง ฉินมู่หลานจึงเดินตรงไปหา
ชิงชิงกับเฉินเฉินนั่งอยู่ข้างพ่อเฒ่าฉินกับแม่เฒ่าฉิน ส่วนพ่อเฒ่าเหยากับแม่เฒ่าเหยาอุ้มเหล่าซานกับเหล่าซื่อไว้ในอ้อมแขน ผู้อาวุโสสี่คนกับเด็กสี่คนส่งเสียงดังจอแจ
พ่อเฒ่าฉินเป็นคนแรกที่เห็นฉินมู่หลาน รีบยกยิ้มบอก “มู่หลาน กลับมาเร็วจัง”
“ค่ะ ฉันไปตรวจดูว่าพี่สะใภ้กับลูกสาวดีแล้วก็เลยกลับมาค่ะ”
เมื่อได้ยินคำนี้ แม่เฒ่าเหยาก็อดพูดไม่ได้ “มีลูกสาวหลายคนแบบนี้ ย่าของเธอไม่ว่าอะไรเลยเหรอ”
นางอมีหลานชายแล้ว พึงพอใจกับทุกอย่างในตอนนี้ ทว่าก็รู้นิสัยของแม่เฒ่าเซี่ยดีว่าไม่น้อยหน้าไปกว่าตนเอง หลังรู้ว่าเป็นลูกสาว ต้องไม่พอใจมากเป็นแน่
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉินมู่หลานก็เลิกคิ้วแล้วเหลือบมองแม่เฒ่าเหยา รู้ว่าอีกฝ่ายเองก็โปรดปรานลูกหลานผู้ชาย ทว่าเทียบกับแม่เฒ่าเซี่ยแล้ว แม่เฒ่าเหยาดูท่าทางประนีประนอมกว่ามาก อย่างน้อยเจ้าตัวก็ไม่คิดจะให้ผู้หญิงตั้งครรภ์กินยาเพื่อเปลี่ยนเพศลูก
“คุณย่าก็ไม่พอใจจริง ๆ ค่ะ ถึงกับเกิดความคิดแผลง ๆ ด้วย”
“ความคิดแผลง ๆ หรือ”
ฟังข่าวซุบซิบนินทาของผู้อื่นย่อมสนุก แม่เฒ่าเหยารีบถาม แม้แต่แม่เฒ่าฉินยังชะโงกหน้ามอง
ฉินมู่หลานเล่าเรื่องของแม่เฒ่าเซี่ยก่อนบอกตบท้าย “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าท่านไปเอาความคิดแผลง ๆ พวกนี้มาจากไหนค่ะ”
“อะไรกัน… น่ากลัวว่าแม่เฒ่าผู้นี้จะไม่ต้องการเหลนสาวอีกแล้ว ถึงได้ทำตัวสิ้นคิดขนาดนี้ ไม่กลัวว่าหลานสะใภ้จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างตั้งท้องเลยเหรอ” พ่อเฒ่าฉินเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ท้วงขึ้นด้วยความโมโห เขาเป็นหมอประจำโรงเรียนประถม เกลียดยาพื้นบ้านที่ไม่น่าเชื่อถือแบบนี้ที่สุด
วิธีรักษาพื้นบ้านบางอย่างได้ผลจริง ทว่าบางอย่างไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล ยังเป็นอันตรายอีกด้วย
แม้แต่พ่อเฒ่าเหยายังอดพูดไม่ได้ “น่าขัน ไม่มีทางจะกำหนดเพศชายหญิงได้ ถ้าเป็นไปได้ก็คงมีลูกชายกันทุกคนแล้ว ต่อไปจะไม่มีลูกสาวสักคน”
แม่เฒ่าเหยาคาดไว้แล้วว่าแม่เฒ่าเซี่ยต้องไม่พอใจ ทว่านึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำถึงขั้นนี เรื่องนี้…ทำเอาหมดคำจะกล่าว
“ย่าของเธอชักจะฟุ้งซ่านใหญ่แล้ว”
“ใครว่าไม่ล่ะคะ” ฉินมู่หลานยิ้มพลางส่ายหน้า หันมองชิงชิงกับเฉินเฉินแล้วบอก “ชิงชิง เฉินเฉิน มาเล่นกับแม่ไหม”
เฉินเฉินพยักหน้าเริงร่าขณะตอบ “ครับ”
ชิงชิงกลับส่ายหน้าบอก “หนูอยากเล่นกับคุณทวด คุณทวดสอนหนูร้องเพลงสมุนไพร”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินมู่หลานก็มองลูกสาวอย่างประหลาดใจ
พ่อเฒ่าฉินกลับหัวเราะร่าแล้วเอ่ย “ชิงชิงเป็นเด็กหัวดีที่สนใจเรื่องพวกนี้ จำทุกอย่างที่ฉันสอนได้ แต่ว่าเฉินเฉินไม่ชอบฟังเลย”
ตอนนี้เองที่เฉินเฉินวิ่งมาอยู่ข้างฉินมู่หลานแล้ว เขย่ามือแม่ตนเองพลางเอ่ย “แม่ครับ ไปเล่นกัน”
เห็นเจ้าตัวน้อยกระตือรือร้นจะออกไป ฉินมู่หลานก็อดกล่าวกลั้วขำไม่ได้ “ได้ งั้นแม่จะเล่นด้วยพักหนึ่งแล้วกัน”
“ตกลงครับ~”
เฉินเฉินได้แต่มีความสุข เมื่อครู่เขาแทบผล็อยหลับระหว่างฟังเพลงสมุนไพร
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทั้งครอบครัวก็นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างครื้นเครง แม้ฉินเจี้ยนเซ่อกับเซี่ยเหวินปิงจะไม่อยู่ ครอบครัวของเซี่ยเจ๋อเหว่ยก็ย้ายเข้ามา ทำให้บรรยากาศในบ้านยังมีชีวิตชีวา
ช่วงนี้หลี่เสวี่ยเยี่ยนจดจ่อกับหน้าที่การงาน กินข้าวไปได้สองคำก็อดมองฉินมู่หลานและเอ่ยขึ้นไม่ได้ “มู่หลาน เราไม่ต้องร่วมมือกับข่งไฉ่อิงที่ฮ่องกงแล้ว เราต้องหาคนอื่นหรือเปล่า” ถึงอย่างไรก็มีลูกค้าหลายคนในฮ่องกง ถ้าเสียหุ้นส่วนไป มู่เสวี่ยจะขาดทุนมหาศาล
“ไม่ต้องห่วงค่ะ มีหลายคนในฮ่องกงอยากร่วมมือกับเรา บางคนเริ่มติดต่อฉันมาแล้ว หลังสอบถามทุกอย่างแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สายค่ะ” พวกเขายังรู้จักเยว่เจินจูในฮ่องกงผ่านเฉินเหวินเหวิน อีกฝ่ายคอยส่งข่าวคราวมาให้
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินคำมู่หลานก็วางใจลงได้
เหยาจิ้งจือเห็นลูกสะใภ้ใหญ่ตั้งใจทำงาน ลูกคนรองยังไม่คืบหน้าไปไหน หล่อนก็ตั้งท่าจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าก็ไม่ได้พูดเพราะตอนนี้หล่อนมักอยู่ประจำโรงงานเป็นหลัก ไม่ได้มีตำแหน่งจะออกความเห็นเรื่องพวกนี้
ฉินมู่หลานเพิ่งกล่าวถึงความร่วมมือในฮ่องกงไประหว่างมื้อเย็นเมื่อวาน วันต่อมาเยว่เจินจูกลับมาหาเจ้าตัวพร้อมเฉินเหวินเหวินและหญิงวัยกลางคนที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง
“มู่หลาน คนนี้คือผู้จัดการตู้จากฮ่องกง หล่อนสนใจในเครื่องสำอางแบรนด์มู่เสวี่ยของเรามาก เลยอยากจะมาคุยกับเธอน่ะ” เยว่เจินจูแนะนำพลางส่งยิ้ม จากนั้นก็แนะนำฉินมู่หลานให้ตู้เยว่เอ๋อร์รู้จัก “เธอคือสหายฉินมู่หลาน เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์มู่เสวี่ยค่ะ”
“สวัสดีค่ะ สหายฉิน”
ตู้เยว่เอ๋อร์ก้าวขึ้นมาจับมือมือกับฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อเห็นแบบนี้ฉินมู่หลานย่อมยิ้มเอ่ย “สวัสดีค่ะ คุณตู้”
ตู้เยว่เอ๋อร์มองคนตรงหน้าแล้วประทับใจในความอ่อนเยาว์ แต่เธอคงไม่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป เพราะข่งไฉ่อิงที่พยายามหลอกลวงได้ถูกขับไล่ไปแล้ว
“สหายฉิน บริษัทของเราต้องการร่วมมือกับคุณอย่างจริงใจ แนวทางการร่วมมือกันก็เรียบง่ายมาก แค่ได้สินค้าจากคุณ เราจะไม่แทรกแซงอะไรค่ะ”
มู่เสวี่ยได้รับการวางรากฐานในฮ่องกงแล้ว เพียงอาศัยจุดแข็งก่อนหน้านี้ของข่งไฉ่อิง พวกเธอก็สามารถประสบความสำเร็จได้ โอกาสดีแบบนี้ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรจับจ้องอยู่
เมื่อได้ฟังคำของตู้เยว่เอ๋อร์ ฉินมู่หลานก็ยิ้มบอก “ฉันเชื่อในความจริงใจของผู้จัดการตู้ค่ะ แต่เราจะร่วมมือกันได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับว่าเหมาะสมไหม”
ตู้เยว่เอ๋อร์ยิ้มพลางพยักหน้าและเอ่ย “อยู่แล้วค่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็บอกเล่าสถานการณ์กันและกัน
ฉินมู่หลานสนใจในเยว่หรงกรุ๊ปที่ตู้เยว่เอ๋อร์ทำงานให้
เยว่หรงกรุ๊ปเป็นบริษัทใหญ่ทัดเทียมกันเซิงสือกรุ๊ปในฮ่องกง ทว่าเธอไม่ได้ด่วนตัดสินใจ แต่กลับยิ้มบอก “ผู้จัดการตู้คะ ฉันยังต้องขอเวลากลับไปพิจารณาดู หวังว่าเราจะได้พบกับคราวหน้านะคะ”
เฉินเหวินเหวินเห็นว่าเรื่องนี้ยังตกลงกันไม่สิ้นสุด ก็อ้าปากอยากจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นเยว่เจินจูส่ายหน้าให้ จึงไม่ได้พูดออกไป
อย่างไรก็ตาม ตู้เยว่เอ๋อร์เห็นฉินมู่หลานยังไม่ตอบรับในทันทีก็อดบอกไม่ได้ “สหายฉิน เยว่หรงกรุ๊ปของเรามีศักยภาพกว่าบริษัทอื่นที่ต้องการร่วมมือกับคุณ หวังว่าคุณจะพิจารณาข้อเสนอของเราอย่างรอบคอบนะคะ”
“แน่นอนค่ะ เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว”
เห็นอีกฝ่ายพูดแบบนี้ ตู้เยว่เอ๋อร์ก็กล่าว “ได้ค่ะ ฉันจะรอฟังข่าวดีนะคะ” ก่อนเอ่ยตบท้าย “วันนี้คุยสนุกมาก ไว้นัดกินข้าวกันหลังจากนี้ดีไหมคะ”
ฉินมู่หลานบอกปัดทันควัน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ผู้จัดการตู้ เดี๋ยวฉันต้องกลับบ้านแล้ว”
“ตกลงค่ะ ไว้พบกันคราวหน้านะคะ”
หลังฉินมู่หลานกลับไป ตู้เยว่เอ๋อร์มองเยว่เจินจูแล้วเอ่ยชวน “สหายเยว่ ไปกินข้าวกันค่ะ”
เยว่เจินจูไม่ปฏิเสธ เดินทางมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารในปักกิ่ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ได้ผู้จัดการตู้มาแทนข่งไฉ่อิงนี่จะถือว่าดีหรือไม่ดีนะ? ไม่ใช่ว่าหนีเสือปะจระเข้ล่ะ
ไหหม่า(海馬)