ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 552 สร้างความร้าวฉาน(2)
ตอนที่ 552 สร้างความร้าวฉาน(2)
ทั้งสามนั่งลง เฉินเหวินเหวินมองหน้าเยว่เจินจูแล้วบอก “เจินจู ผู้จัดการตู้ทำงานดีที่สุดแล้ว เธอต้องโน้มน้ามสหายฉินให้ดี”
เมื่อครู่หล่อนอยากจะพูดแบบนี้ แต่เยว่เจินจูส่ายหน้าห้าม จึงไม่ได้พูดออกไป ถึงตอนนี้หล่อนจึงถามขึ้น “ทำไมเมื่อกี้เธอไม่ให้ฉันพูด”
“มู่หลานทำอะไรมักมีเหตุผล หากคิดว่าเหมาะสมที่สุด หล่อนจะเลือกอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ดังนั้นต่อให้พูดมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”
อันที่จริงเฉินเหวินเหวินต้องการให้เยว่เจินจูช่วยเกลี้ยกล่อม เรื่องจากรู้ว่าหลิวเสวียข่ายสามีของเยว่เจินจูทำงานในกระทรวงพาณิชย์ หากสามีของหล่อนยินดีออกหน้า สถานการณ์ต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
ตู้เยว่เอ๋อร์เอ่ยยิ้มแย้ม “เอาละ ในเมื่อเรามากินข้าวกันที่นี่ ก็อย่าคุยเรื่องงานเลย เรากินกันก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องความร่วมมือ ค่อยเจรจากับสหายฉินคราวหน้า”
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานที่กลับถึงบ้านก็พบว่าเซี่ยอวี๋เซิงอยู่ด้วย เธอจึงถามด้วยความประหลาดใจ “อวี๋เซิง ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ”
ตอนนี้เริ่นม่านนีกำลังอยู่ในช่วงอยู่เดือน เซี่ยอวี๋เซิงควรอยู่ข้างแม่ลูก น่าแปลกที่เขามาหาเธอในเวลานี้
เซี่ยอวี๋เซิงเห็นฉินมู่หลานก็รีบลุกพรวด “มู่หลาน เธอกลับมาแล้ว ไปดูม่านนีกับฉันหน่อยได้ไหม”
ได้ยินแบบนี้ฉินมู่หลานก็นิ่วหน้า สัญชาตญาณรับรู้ได้ถึงว่าเกิดเรื่องกับเริ่นม่านนี “เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไรไป”
“ช่วงนี้ม่านนีไม่เจริญอาหาร ไม่ค่อยกินข้าวเลยด้วยซ้ำ”
เซี่ยอวี๋เซิงอธิบายอาการคร่าว ๆ หลังจากนั้นก็ถามอย่างตื่นตระหนก “มู่หลาน เธอไปตรวจดูตอนนี้เลยได้ไหม”
“ได้สิ ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
ฉินมู่หลานอธิบายสถานการณ์ให้ซูหว่านอวี๋ฟัง ก่อนตามเซี่ยอวี๋เซิงไปบ้านตระกูลเซี่ย
เมื่อแม่เฒ่าเซี่ยเห็นฉินมู่หลานและหลานชายมา นางก็อดถามไม่ได้ “ทำไมมาด้วยกัน หรือว่าจะบังเอิญเจอกันระหว่างทาง”
เซี่ยอวี๋เซิงพยักหน้าตอบ “ครับ คุณย่า มู่หลานตั้งใจจะแวะมาหาม่านนี เราเจอกันระหว่างทางครับ”
แม่เฒ่าเซี่ยได้ยินว่าฉินมู่หลานมาหาหลานสะใภ้ ก็ตีสีหน้าเฉยเมย ทำเพียงเร่งให้รีบไป
ฉินมู่หลานกับเซี่ยอวี๋เซิงมาถึงตัวเริ่นม่านนี ฉินมู่หลานเห็นหญิงสาวนอนอิดโรยบนเตียง
เริ่นม่านนีเห็นฉินมู่หลานมาหา ในที่สุดเจ้าตัวก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า
“มู่หลาน มาทำไมเหรอ”
“ลูกพี่ลูกน้องชวนฉันมา”
ได้ยินแบบนี้เธอก็เหลือบมองเซี่ยอวี๋เซิง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ฉินมู่หลานเองก็รับรู้ได้ว่าทั้งคู่คล้ายจะมีเหตุผิดใจกัน ในจังหวะที่จะถามไถ่สถานการณ์ เซี่ยอวี๋เซิงก็เอ่ยขณะออกไปข้างนอก “มู่หลาน เธอลองตรวจม่านนีดูหน่อย ฉันจะรอข้างนอก”
หลังเซี่ยอวี๋เซิงผละออกไป ฉินมู่หลานก็อดถามไม่ได้ “พี่สะใภ้ ทะเลาะกันเหรอคะ”
เริ่นม่านนียิ้มเจื่อนพลางบอก “เปล่าหรอก”
แม้ฉินมู่หลานไม่เชื่อสักนิด แต่ในเมื่อเริ่นม่านนีไม่อยากบอก เธอก็จะไม่ถามเซ้าซี้ “ลูกพี่ลูกน้องบอกว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยเจริญอาหาร ฉันจะจับชีพจรให้นะ”
“อืม”
ระยะนี้เริ่นม่านนีเองก็รู้สึกห่อเหี่ยว จึงยอมให้มู่หลานตรวจร่างกาย
ฉินมู่หลานมุ่นคิ้ว เอ่ยกับเริ่นม่านนี “พี่สะใภ้ พี่กำลังวิตกกังวล ทำให้เกิดอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร่างกาย”
อันที่จริงเริ่นม่านนีกำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หากเป็นอย่างนี้ต่อไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย
“พี่สะใภ้ มีลูกแล้วก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังหดหู่อยู่อย่างนี้”
ภายในห้องมีเพียงพวกเธอ และทารกซึ่งนอนหลับอยู่ ฉินมู่หลานจึงกล้าเอ่ย
ได้ยินคำนี้ เริ่นม่านนีก็อดน้ำตาคลอไม่ได้
“มู่หลาน เธอไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้ฉันมีชีวิตยังไง”
ท่าทางของหล่อนดูเศร้ามาก “การมีลูกมันไม่ง่ายสำหรับฉันเลย แต่คุณย่าก็ยังรังเกียจที่ฉันมีลูกสาว ฉันยังอยู่ในช่วงอยู่เดือน คุณย่าก็ยังย้ำเตือนฉันให้พยายามมีลูกคนที่สอง ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เธอว่าฉันจะไม่โกรธไหวเหรอ แต่พอฉันโกรธ มันก็ทำให้ฉันไม่มีน้ำนมและไม่เจริญอาหาร”
ได้ยินแบบนี้ฉินมู่หลานก็พูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เล่าเรื่องความคิดแผลง ๆ ของแม่เฒ่าเซี่ยให้เริ่นม่านนีรู้ เพียงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวลระหว่างอยู่เดือน กลับกลายเป็นว่าแม่เฒ่าเซี่ยยิ่งเหิมเกริมถึงขั้นมาบอกหลานสะใภ้โต้ง ๆ ว่าต้องการให้มีลูกคนที่สอง เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
“ม่านนี อย่าไปฟังคำพวกนั้นเลย เธอจะทำอะไรก็ทำตามใจเถอะ”
เริ่นม่านนีถอนหายใจก่อนเอ่ย “ฉันรู้ว่ามันควรเป็นอย่างนั้น แต่มันก็ยังกระทบกับอารมณ์ของฉันอยู่ดี”
“ฉันบังเอิญติดยามาด้วย เหมาะให้คุณแม่ลูกอ่อนกิน เอาไว้กินหลังจากนี้นะ”
ยานี้เซี่ยปิงหรุ่ยเป็นคนคิดค้น โดยให้เซี่ยปิงชิงลองกินมาก่อนแล้ว
ฉินมู่หลานอธิบายวิธีกินให้เริ่นม่านนี
อีกฝ่ายยิ้มบอก “มู่หลาน ฉันเชื่อในตัวเธอจริง ๆ ฉันยอมกินยาโดยไม่ถามสักคำอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้มีผลต่ออาหารการกินหรืออะไรเลย”
เริ่นม่านนีย่อมรู้ว่าฉินมู่หลานจะไม่ทำร้ายตนเอง จึงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือความรู้สึกของเริ่นม่านนี ดังนั้นฉินมู่หลานจึงอยู่พูดคุยกับด้วยทั้งบ่าย ซึ่งไม่ได้เป็นบทสนทนาธรรมดา แต่เป็นการค่อย ๆ ให้เริ่นม่านนีระบายอารมณ์ออกมา
เริ่นม่านนีไม่รู้จักการพูดคุยบำบัด แต่รู้สึกได้ชัดเจนว่าอารมณ์ดีขึ้นมาก
“มู่หลาน ขอบคุณที่อยู่คุยเล่นกันฉันเสียนานเลย”
เห็นพี่สะใภ้ยิ้มได้อีกครั้ง ฉินมู่หลานก็เอ่ยอย่างโล่งใจ “เราไม่ได้เจอกันนานหลายวัน พวกันก็ต้องมีเรื่องให้พูดคุยกันมากเป็นธรรมดา”
“ใช่ วันนี้ฉันคุยสนุกมาก”
หลังเสวนากันมานาน เริ่นม่านนีถึงกับเริ่มง่วงงุน
ฉินมู่หลานเห็นท่าทีแบบนี้แล้วก็ยิ้มบอก “ม่านนี พี่นอนพักผ่อนเถอะ”
“อื้ม”
เริ่นม่านนีผล็อยหลับไปโดยเร็ว ฉินมู่หลานยังไม่ทันออกจากห้อง หล่อนก็ตกอยู่ในห้วงนิทราแล้ว ฉินมู่หลานเห็นแล้วยกยิ้มและเดินออกไป แปลกใจที่เห็นเซี่ยอวี๋เซิงยังอยู่หน้าประตู
“คงไม่ได้รออยู่ข้างนอกตลอดเวลาใช่ไหม”
เขาพยักหน้าตอบ “ใช่”
ได้ยินแล้วเธอก็เหล่มองและเอ่ย “ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างม่านนีกับพี่จะดีมาก ทำไมถึงยังให้คุณย่าไปพูดเหลวไหลต่อหน้าหล่อนอีก”
เขาสลดลงไปมาก
“ฉันยังต้องไปทำงาน ไม่มีทางอยู่เฝ้าได้ตลอดเวลา คุณย่าถึงได้หาโอกาสมาจนได้”
ฉินมู่หลานรู้ความจริงข้อนี้จึงโพล่งบอก “งั้นฉันจะไปคุยกับคุณย่าเอง”
ไม่รู้ว่าฉินมู่หลานไปคุยกับแม่เฒ่าเซี่ยอย่างไร ทว่าหลังจากนั้นแม่เฒ่าเซี่ยก็ไม่พูดเรื่องไม่เข้าหูต่อหน้าเริ่นม่านนีอีก ทำให้อาการของหล่อนดีขึ้นถนัดตา
เมื่อทารกอายุครบเดือน ตระกูลเซี่ยก็จัดงานเลี้ยงขึ้น
ในที่สุดเซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อก็กลับมาเสียที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีมากค่ะมู่หลาน ฟาดนางแก่หัวโบราณดื้อรั้นนี่หนักๆ เลย มีหลานสาวแล้วมันยังไงหา มีแล้วโลกถึงกาลแตกสลายเลยงี้?
ไหหม่า(海馬)