ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 57 คุณมู่เซิง
ตอนที่ 57 คุณมู่เซิง
ตอนที่ 57 คุณมู่เซิง
เมื่อเจี่ยงสือเหิงได้ยินฉินมู่หลานเรียกตนว่า ‘พ่อบุญธรรม’ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความดีใจ
“ดีจัง ฉันเองก็มีลูกสาวกับเขาหนึ่งคนแล้ว ต่อไปก็น่าจะมีเพิ่ม”
ฉินมู่หลานเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงตื่นเต้นมาก ในใจจึงพลอยเต้นรัวไปด้วย คนผู้นี้อยากมีทายาทมากจริง ๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้แก่เกินกว่าจะมี “พ่อบุญธรรมคะ จริง ๆ แล้วหากหาภรรยาและมีลูกตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปนะคะ”
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงดีใจมาก ทันใดนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน ทุกคนก็ต่างพากันตกตะลึง หลังจากนั้นสีหน้าเขาก็แปลกไป “มู่หลาน พ่ออายุตั้งปูนนี้แล้วจะหาภรรยาได้ยังไงกัน”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “พ่อบุญธรรมคะ พ่อก็ยังไม่แก่เกินไปนะคะ หนูจะเขียนใบสั่งยาให้ พ่อต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ร่างกายจะได้แข็งแรงดีพร้อมอย่างแน่นอน”
เจี่ยงสือเหิงรู้สึกใจเต้นนิดหน่อย
“คุณหนูน้อยทำให้สุขภาพของนายน้อยแข็งแรงขึ้นได้จริงหรือครับ?”
“แน่นอนค่ะ พวกคุณยังไม่เชื่อในฝีมือการรักษาของหนูอีกหรือคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลุงเจี่ยงก็รีบก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นทันที “เชื่อครับ เชื่อแน่นอน เพียงแต่ถ้าทำให้ร่างกายของนายน้อยแข็งแรงขึ้นได้มันจะดีมากเลยครับ พอถึงตอนนั้นบางทีอาจจะหาคู่ครองที่ดีแล้วแต่งงานได้”
“รับรองว่าได้แน่นอนค่ะ”
แม้เจี่ยงสือเหิงจะอายุเท่านี้แล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาเอาการ หลังจากดูแลตัวเองแล้วจะดูแข็งแรงมากขึ้นและดูอายุน้อยกว่าวัย เช่นนั้นต้องสามารถหาคู่ครองได้อย่างแน่นอน
เจี่ยงสือเหิงเห็นฉินมู่หลานและลุงเจี่ยงพูดอย่างออกรส ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเพราะไม่ได้คิดอยากจะหาคู่ครอง จึงเอ่ยแทรกขัดจังหวะทันที “มู่หลาน พ่อกับแม่ของเธอจะว่างตอนไหน พ่ออยากจะไปเยี่ยมหาพวกเขาก่อนกลับไปปักกิ่ง”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นทันที “พ่อแม่ของหนูอยู่ที่หมู่บ้านทุกวันค่ะ นอกเหนือจากออกไปทำงานก็ไม่มีธุระอย่างอื่นอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรานัดหมายกันเลยเถอะ ถึงตอนนั้นพ่อจะเข้าไปเยี่ยมเยียน”
ฉินมู่หลานคิดอยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “หนูพาพ่อกับแม่มาในเมืองดีกว่าค่ะ จะได้มากินข้าวด้วยกัน”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเอ่ยดังนั้น เจี่ยงสือเหิงจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยตกลง “ได้สิ เอาไว้เราไปกินอาหารในโรงแรมรัฐกันเถอะ”
“ค่ะ”
หลังจากทั้งสองตกลงกันเสร็จสรรพ ฉินมู่หลานก็คิดที่จะกลับไปแล้ว
“พ่อบุญธรรมคะ ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ได้สิ รีบกลับเถอะ”
เจี่ยงสือเหิงโบกมือให้ฉินมู่หลาน หลังจากเธอกลับไปแล้ว ก็หันมองลุงเจี่ยงพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ลุงเจี่ยง ฉันมีลูกสาวกับเขาแล้วล่ะ”
ลุงเจี่ยงส่งเสียงหัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “ใช่ครับ คุณหนูน้อยยังเป็นคนดีมากด้วย”
“ใช่แล้วล่ะ มู่หลานเป็นคนดีมาก ฉันเองก็อยากจะแข็งแกร่งมากขึ้น จะได้ปกป้องมู่หลานไม่ให้โดนรังแก” หลังจากเอ่ยจบ แววตาของเจี่ยงสือเหิงก็ฉายแววเฉียบคม เมื่อก่อนเขาเคยรู้สึกท้อแท้ใจที่โดนหลายชายวางแผนกำจัดครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำได้เพียงรู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างทุกข์ยาก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เขามีฉินมู่หลานเป็นลูกสาวแล้ว เขาจึงจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ ต้องคิดถึงเธอด้วย
ลุงเจี่ยงเห็นเจี่ยงสือเหิงเป็นเช่นนั้น สายตาจึงเต็มไปด้วยความสุขใจ
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานเพิ่งกลับไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก็ได้พบกับบุรุษไปรษณีย์ที่กำลังคร่อมกายอยู่บนรถจักรยาน
บุรุษไปรษณีย์คนนั้นรู้จักฉินมู่หลานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงหยุดรถจักรยานลงทันทีเมื่อเห็นหน้าเธอ “ฉินมู่หลาน มีจดหมายรับโอนค่าธรรมเนียมของคุณ ต้องการให้คุณเซ็นครับ”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ค่ะ ขอบคุณสหายมากเลย ฉันจะเซ็นให้ตอนนี้เลยค่ะ”
เมื่อฉินมู่หลานเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว บุรุษไปรษณีย์ก็รีบไปส่งจดหมายที่อื่นต่อ แต่ฉินมู่หลานค้นพบว่าคราวนี้ซองจดหมายไม่ได้มีเพียงสลิปการโอนเงินจำนวนสิบห้าหยวนเท่านั้น แต่ยังมีคะแนนอีกมากมายระบุมาด้วย ดูเหมือนว่าสำนักหนังสือพิมพ์จะพอใจกับบทความของเธอเป็นอย่างมาก นั่นคงเป็นเหตุผลที่ได้รับคะแนนเสียงมากมายเช่นนี้สินะ
ในตอนนี้ที่สำนักหนังสือพิมพ์ในนครหลวง
ผู้อำนวยการหวงก้มมองต้นฉบับในมือของตนอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “คุณมู่เซิงเขียนได้ดีมากเลย สไตล์การเขียนมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน น่าจะเป็นชายชราที่เชี่ยวชาญบทกวีและวรรณกรรมนะเนี่ย”
ที่นั่งตรงข้ามคือเสี่ยวเหอผู้ช่วยของผู้อำนวยการหวง เขาได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะกล่าวเสริม “ใช่ครับ คุณมู่เซิงเขียนได้ดีมาก แต่พวกเรากลับจ่ายค่าธรรมเนียมได้ไม่ค่อยเยอะ ทำได้เพียงแค่มอบตั๋วชดเชยให้เพิ่ม”
“ใช่แล้วล่ะ เราให้ราคาสูงมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นายลองเขียนถามคุณมู่เซิงดูว่าครั้งหน้าเขาต้องการสิ่งตอบแทนอะไรเพิ่มไหม หากเป็นไปได้ เราก็จะหาให้อย่างถึงที่สุด”
“ครับ”
ฉินมู่หลานยังไม่ทราบว่านามปากกาของตนที่ชื่อว่า ‘มู่เซิง’ ทำให้คนเข้าใจว่าเธอเป็นชายชราที่อายุอานามมากแล้ว ขณะที่เซ็นเอกสาร ชาวบ้านหลายคนก็อยู่ล้อมรอบ ครั้นพวกเขาเห็นว่าฉินมู่หลานได้รับค่าลิขสิทธิ์อีกครั้งแล้ว แววตาจึงเต็มไปด้วยความอิจฉา พลางเอ่ยถามข่าวดี “มู่หลาน ครั้งนี้ได้ค่าลิขสิทธิ์เท่าไหร่หรือ ไม่คิดเลยว่าเธอจะหารายได้จากทางนี้จริง ถ้าเขียนอยู่ที่บ้านทุกวันคงรวยแย่เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็เอ่ยตอบทั้งรอยยิ้ม “คุณป้าคะ ทุกคนไม่ว่าใครก็สามารถเขียนได้ค่ะ ถ้ารู้หนังสือและสามารถเขียนได้ ก็เขียนบทความส่งลงหนังสือพิมพ์ได้ค่ะ”
“เธอ…”
หากสมาชิกในครอบครัวของหล่อนสามารถสร้างรายได้ด้วยการเขียนต้นฉบับ หล่อนจะมัวมาอิจฉาอยู่แบบนี้น่ะหรือ
ฉินมู่หลานไม่สนใจคนอื่น ๆ ก่อนจะมุ่งตรงกลับบ้านเอาของไปเก็บ
เมื่อเหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานกลับมา ก็อดที่จะถามไม่ได้ “มู่หลาน เธอกินข้าวกลางวันมาหรือยัง อยากให้ฉันทำบะหมี่ให้สักถ้วยไหม?” ตอนนี้เลยเวลาอาหารไปแล้ว หล่อนจึงไม่รู้ว่าลูกสะใภ้ได้กินข้าวมาจากในเมืองหรือยัง
ฉินมู่หลานยังไม่รู้สึกหิวเท่าใด จึงส่ายศีรษะปฏิเสธแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ ฉันไม่หิว”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเอ่ยดังนั้น เหยาจิ้งจือจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความเช่นกัน
หลังจากฉินมู่หลานวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปบ้านตระกูลฉินอีกครั้ง
เมื่อซูหว่านอี๋เห็นลูกสาวกลับมา รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า “มู่หลาน ลูกมาแล้วเหรอ รีบเข้ามานั่งก่อนสิ เดี๋ยวแม่เอาน้ำผสมน้ำตาลให้ดื่ม”
“ไม่ต้องค่ะแม่ หนูแค่แวะมาจะคุยกับพวกแม่เท่านั้น หนูตอบตกลงพ่อบุญธรรมไปแล้วว่าอยากให้ครอบครัวของเราเข้าเมืองไปกินข้าวด้วยกันค่ะ”
ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าตอบตกลง “ได้สิ”
ในครั้งก่อนหล่อนเองก็มองข้ามอะไรไปมากจนไม่ได้ถามเกี่ยวกับเจียงสือเหิงมากมายนัก จึงมีคำถามมากมายที่อยากเอ่ยถามกับลูกสาว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายมีพื้นเพมาจากเมืองหลวงและโดนส่งตัวมาที่นี่ สีหน้าของซูหว่านอี๋จึงซีดลง
“มู่หลาน ทำไมครั้งก่อนลูกไม่เห็นบอกเรื่องนี้เลย ลูก…ลูกทราบเรื่องของพ่อบุญธรรมไหม จะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า”
ฉินมู่หลานรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม “แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ พ่อบุญธรรมกับลุงเจี่ยงจะได้กลับปักกิ่งกันในเร็ววันนี้ ไม่มีผลกระทบอะไรหรอกค่ะ พวกเขาไม่เคยทำอะไรผิด ที่ต้องมาติดอยู่ตรงนี้เพราะโดนใครบางคนหลอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหว่านอี๋จึงโล่งใจ
และฉินมู่หลานก็ได้มอบคูปองอุตสาหกรรมและคูปองอาหารให้กับซูหว่านอี๋อีกหลายใบ ของพวกนี้สำนักพิมพ์เป็นผู้ส่งมา “แม่คะ เอาคูปองพวกนี้ไปใช้สักหน่อยเถอะค่ะ”
เป็นเรื่องยากที่คนในหมู่บ้านจะได้รับบัตรกำนัลอุตสาหกรรม และในส่วนของคูปองอาหาร ถึงแม้ว่าคนในหมู่บ้านไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารก็ตาม แต่หากอยากไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐหรือซื้อของ เช่นนั้นก็ต้องมีคูปองอาหารติดตัวไปด้วย
ซูหว่านอี๋รีบปฏิเสธที่จะรับทันที “มู่หลาน อันนี้อาหลี่ให้ลูกเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ลูกควรจะเก็บเอาไว้ใช้ ไม่ต้องเอามาให้พวกเราหรอก”
“แม่คะ อันนี้สำนักพิมพ์ส่งมาให้ ครั้งนี้ไม่ได้ให้แค่ค่าลิขสิทธิ์เท่านั้น แต่ยังส่งคูปองมาให้อีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นแม่รับไว้เถอะค่ะ”
ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอเนี่ย มู่หลาน ลูกสุดยอดมากเลย”
ตอนนี้ลูกสาวของตนเริ่มเก่งกาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซูหว่านอี๋จึงเพียงแต่รู้สึกมีความสุขมาก และยอมเก็บคูปองพวกนั้นไป
เมื่อฉินมู่หลานไปฝังเข็มให้กับเจี่ยงสือเหิงอีกครั้ง เธอก็พาคนในครอบครัวไปด้วย เพื่อให้ทั้งสองบ้านได้พบปะกัน สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ต่างเป็นญาติกันแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อะไรทำให้คิดว่าคุณมู่เซิงต้องดูแก่ขนาดนั้นหว่า
ครอบครัวได้เจอหน้ากันแล้ว ต่อไปไม่ลำบากแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)