ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 577 ส่งสัญญาณ(1)
ตอนที่ 577 ส่งสัญญาณ(1)
หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยแยกย้ายกัน ก็ตรงกลับไปบ้าน แต่สิ่งที่เธอไม่ทันคาดคิดก็คือ จะได้พบกับเซี่ยเจ๋อหลี่ที่เพิ่งกลับมาอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน
“อาหลี่…”
ทันทีที่เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ สายตาของฉินมู่หลานก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้พบกับภรรยาสาวก่อนที่จะเข้าบ้าน เขามองฉินมู่หลานที่กำลังวิ่งเข้ามาหา หางตาและคิ้วยิ้มหยี เขาก็รีบเดินเข้าไปหาฉินมู่หลานเช่นกัน ก่อนจะคว้ากอดคนเอาไว้ในอ้อมแขน “มู่หลาน คุณก็เพิ่งกลับมาเหมือนกันเหรอ”
ฉินมู่หลานโดนกอด เธอจึงอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้วค่ะ เพิ่งกลับมา วันนี้ช่วงบ่ายพานักศึกษาแลกเปลี่ยนพวกนั้นไปเดินเที่ยว”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ดูมีท่าทางสงสัย ฉินมู่หลานจึงเล่าเรื่องการประชุมแลกเปลี่ยนให้ฟัง หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นตลอดครึ่งเดือนนี้ ฉันคงจะยุ่งมาก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเอาเวลาไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ ส่วนเรื่องในบ้านก็ให้คนอื่นจัดการ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้กลับมานานแล้ว จึงไม่ทราบเรื่องที่พวกนายท่านเหยากลับไป ฉินมู่หลานจึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง สุดท้ายจึงกล่าวว่า “ตอนแรกช่วงวันหยุดฉันอยู่บ้าน ยังพอช่วยดูแลเด็ก ๆ ได้ แต่ตอนนี้เปิดเทอมแล้วจึงไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น ฉันก็เลยคิดว่าจะส่งชิงชิงกับเฉินเฉินไปเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล”
ปัจจุบันนี้มีโรงเรียนอนุบาลน้อยมาก แต่ที่ปักกิ่งก็ยังพอมี เธอเคยสอบถามเรื่องนี้มาแล้ว ว่ามีโรงเรียนอนุบาลในเมืองแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างดี สามารถส่งเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปเข้าเรียนที่นั่นได้
ตอนนี้ที่บ้านมีเพียงคุณปู่และคุณย่าฉินเท่านั้นที่ช่วยดูแลเด็ก ๆ ส่วนคนอื่นไม่มีเวลาแล้ว และผู้อาวุโสทั้งสองก็มีอายุไม่น้อย ไม่สามารถดูแลเด็กเยอะขนาดนั้นได้ นอกจากนี้ชิงชิงและเฉินเฉินก็อายุสามขวบแล้ว ถึงเวลาเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินสิ่งนี้ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “เอาสิ บางบ้านที่ดูแลลูกไม่ได้ ก็ส่งเด็กไปที่สถานรับเลี้ยง โรงเรียนอนุบาลก็เหมือนกัน ส่งไปที่นั่นก็ได้”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ฉันก็ตั้งใจว่าจะส่งพวกเขาไป แต่ตอนนั้นคุณตาคุณยายแล้วก็พวกพ่อแม่ไม่อยากให้ชิงชิงและเฉินเฉินเข้าโรงเรียนอนุบาลตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนั้น เรื่องนี้ก็เลยปล่อยผ่านไป แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยกันขณะเดินเข้าไปข้างใน หลังจากเข้าไปในบ้าน ชิงชิงเป้นคนแรกที่เห็นทั้งคู่ สีหน้าของสาวน้อยจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ปะป๊า…หม่าม้า…” ตะโกนด้วยความดีใจแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
เซี่ยเจ๋อหลี่คว้าลูกสาวเอาไว้ จากนั้นก็อุ้มหล่อนขึ้นมาโยนขึ้นสูงเหนือศีรษะ
“ชิงชิง คิดถึงปะป๊าไหม”
ได้ยินเสียงเจื้ออยแจ้วของสาวน้อย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะละลาย อดใจไม่ไหวที่จะลูบหัวของสาวน้อย จากนั้นก็เอ่ยถาม “ทำไมลูกถึงอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?”
“หนู พี่ เล่น เขาหาหนูไม่เจอ”
ชิงชิงหัวเราะคิกคักขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความภูมิใจและไหวพริบ
“เจ้าหนูน้อยคนนี้ ภูมิใจมากเลยนะ”
ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวของเฉินเฉินมาทางนี้ เขาเห็นพ่อกำลังอุ้มน้องสาว ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “ปะป๊า…”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นลูกชายคนโต ก็รีบอุ้มเขาขึ้นมา
“คิกคิก…”
เฉินเฉินหัวเราะอย่างมีความสุข
นอกจากนี้ในบ้านยังมีคุณปู่และคุณย่าฉินและเจ้าสามเจ้าสี่ พวกเขาเห็นฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมา ก็รู้สึกดีใจมาก “อาหลี่ ครั้งนี้เธอได้หยุดพักนานแค่ไหน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณปู่ฉิน เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ได้บอกสาเหตุที่กลับมาบ้านครั้งนี้ขึ้นมา
“วันมะรืนนี้ผมจะต้องไปเรียนที่ศูนย์อบรม ตัวศูนย์อบรมอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเรา เพราะฉะนั้นผมเลยกลับมาได้ทุกวันครับ” หลังจากพูดจบ เขาก็อดหันไปมองหน้าเด็กทั้งสี่คนไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “ต่อไปนี้พ่อจะมาเล่นกับพวกลูกทุกวันได้แล้วนะ”
“ว้าว…ดีจังเลย”
ชิงชิงและเฉินเฉินต่างปรบมือเล็กน้อยด้วยความดีใจ แต่ถวนถวนหยวนหยวนยังพูดไม่ค่อยเก่ง จึงทำเพียงแค่ปรบมือพร้อมพี่ชายพี่สาว
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็อดถามไม่ได้ “คุณอยากจะไปเรียนเหรอ?”
“ใช่แล้ว ประมาณครึ่งเดือน”
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สายตาของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เป็นเพราะได้เลื่อนำแหน่ง ดังนั้นผมก็ต้องตั้งใจเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเองน่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ สายตาของฉินมู่หลานก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อาหลี่ ยินดีด้วยนะคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มตอบรับคำยินดี จากนั้นก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นนมาได้ หยิบสร้อยคอทองคำสองเส้นออกมาจากแขนของเขา แล้วสวมให้ถวนถวนและหยวนหยวน
ฉินมู่หลานเห็นสร้อยคอทองคำ ก็ถามด้วยความประหลาดใจนิดหน่ออย “คคุณไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ผมที่ซื้อหรอก เป็นของขวัญจากถูเฉิงเซียงและคังอันเหอ บอกว่าให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบหนึ่งขวบของหยวนหยวนและถวนถวน แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้กลับบ้าน มันก็เลยอยู่กับผมมาสักระยะแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ สีหน้าของฉินมู่หลานก็แปลกใจ
“คังอันเหอคนนี้ก่อนหน้านี้ก็มาหาฉัน แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย” แต่รับไว้แล้วก็รับไป “เดี๋ยวรอคังอันเหอมีลูก พวกเราก็ค่อยให้กลับ”
เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอ่ย “ใช่ ผมก้คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เหยาจิ้งจือซูหว่านอี๋กลับมาในตอนเย็น เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาแล้วก็รู้สึกดีใจมาก รีบเข้าครัวไปเพื่อเตรียมอาหารทันที
และหลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อก็กลับมา เซี่ยเหวินปิงไม่ได้เจอลูกชายคนเล็กมาสักพักแล้ว เมื่อได้พบเขา ก็เดินไปหาพร้อมตบบ่าแล้วเอ่ยว่า “กลับมาได้แล้วเหรอ เย็นนี้พวกเรามาดื่มกันหน่อยเถอะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว เย็นนี้พวกเรามาสังสรรค์กันเถอะ”
หลังจากทั้งสองได้คุยกับเซี่ยเจ๋อหลี่แล้ว ก็หันไปมองแล้วพูดกับฉินมู่หลานอีกครั้ง “มู่หลาน พวกเราจะรีบตกแต่งซินหลิงถังให้เสร็จเร็วที่สุดเลย ส่วนพื้นที่ตรงเขตชานเมืองด้านตะวันออก น่าจะต้องรออีกสักพัก ตอนนี้พวกเราไปดูมากันแล้ว พื้นที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะฉะนั้นคงใช้เวลานานอีกมากเลย”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ ค่อย ๆ ทำไปก้ได้ค่ะ พวกหนูไม่รีบ”
“ถึงจะไม่รีบก็เถอะ แต่ยังไงพวกเราก็จะรีบตกแต่งให้เสร็จเร็วที่สุด”
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่นานก็ทำอาหารเสร็จจนเต็มตะใหญ่ เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ฉินเคอวั่งก็เพิ่งกลับมา
ซูหว่านอี๋เห็นลูกชายกลับมาเย็นขนาดนี้ จึงอดถามไม่ได้ “เคอวั่ง ทำไมวันนี้เลิกเย็นจัง”
“ผมไปที่บ้านอาจารย์มาครับ ก็เลยกลับมาเย็น”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ซูหว่านอี๋จึงไม่ถามมากอีก แต่รีบบอกให้ลูกชายนั่งลงแทน “เร็วเข้า นอกจากลูกแล้ว วันนี้พี่เขยของลูกก็กลับมาแล้วเหมือนกัน เย็นนี้ครอบครัววเราจะได้สังสรรค์กัน”
“พี่เขยก็กลับมาแล้วเหรอ นั่นดีมากเลยครับ”
ฉินเคอวั่งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องรับประทานอาหารทันที
ขณะกินอาหาร ฉินมู่หลานก็พูดเรื่องที่ชิงชิงและเฉินเฉินกำลังจะไปเข้าโรงเรียนขึ้นมา
เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็เอ่ยด้วยความลังเลนิดหน่อย “ไม่เร็วไปเหรอ ชิงชิงกับเฉินเฉินยังเด็กมาก พวกเขาไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว จะไปเรียนรู้อะไรได้กัน”
ซูหว่านอี๋ก็คิดเหมือนกัน
“ใช่แล้วมู่หลาน นี่มันเร็วเกินไป ถ้าลูกกังวลว่าจะไม่มีใครช่วยดูแล พวกเราหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ที่บ้านก็ได้”
เหยาจิ้งจือก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว หรือถ้าไม่ได้เดี๋ยวฉันไปคุยกับพวกคุณตาคุณยาย ให้พวกท่านมาตอนกลางวัน ถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะมีคนช่วยดูแลพวกเด็ก ๆ”
ฉินมู่หลานส่ายหัวพลางบอกกล่าว “แม่คะ เด็กเล็กไม่ได้ไปโรงเรียนอนุบาลเพื่อเรียนหาความรู้หรอกค่ะ แต่ไปเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ เผื่อว่าพวกเขาขึ้นชั้นประถมแล้วจะปรับตัวไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมจะปรับตัวไม่ได้ล่ะ ถึงเวลาก็แค่ส่งไปเรียนก็พอแล้ว”
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือต่างไม่ค่อยพอใจ เมื่อถึงวัยที่ควรไปโรงเรียนก็ไปโรงเรียนได้เลย จะปรับตัวไม่ได้ตรงไหนกัน
แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับพูดขึ้น “แม่ครับ ตอนนี้มู่หลานตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ฟังหล่อนเถอะ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ชิงชิงและเฉินเฉินไปโรงเรียนอนุบาลก็ไม่ได้เสียหายตรงไหน”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่กล่าวแบบนั้น ทั้งสองก็ไม่พูดอะไรอีก แต่เมื่อนึกถึงว่าเด็กทั้งสองต้องไปโรงเรียนทุกวัน อยู่ ๆ พวกหล่อนก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย คิดแล้วในใจก็ว่างเปล่าขึ้นมา
ฉินเคอวั่งเห็นทั้งสองเป็นแบบนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ “แม่ครับ น้าเหยา จริง ๆ แล้วการไปโรงเรียนอนุบาลทุกวันเป็นเรื่องดีนะครับ ทุกคนไม่ต้องกังวล ชิงชิงกับเฉินเฉินจะต้องไม่เป็นไรแน่นอนครับ”
ในที่สุดก็ตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อย ฉินมู่หลานวางแผนว่าพรุ่งนี้จะลองหาเวลาไปสอบถาม ว่าตอนนี้ยังสามารถลงทะเบียนเรียนได้หรือเปล่า
เห็นมู่หลานกล่าวแบบนั้น ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือจึงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบนั้นแล้วกัน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ให้น้องๆ ไปเข้าสังคมก่อนก็ไม่เป็นไรนะคะ จะได้มีเพื่อนเยอะๆ
ไหหม่า(海馬)