ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 579 ไม่อยากเชื่อเลย(1)
ตอนที่ 579 ไม่อยากเชื่อเลย(1)
หลังจากฉินมู่หลานทราบข่าวจากทางฝั่งท่านเหยา ก็ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
หลี่เสวี่ยเยี่ยนยังไม่วางใจพวกเขาเท่าใด จึงหันไปมองเซี่ยเจ๋อเหว่ยแล้วกล่าวว่า “เจ๋อเหว่ย พวกเราอยู่สักสองวันแล้วค่อยกลับดีไหม จะได้คอยปลอบให้พ่อกับแม่ไม่เศร้า”
เพราะฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ยุ่งมาก ดังนั้นการที่พวกเขาสองสามีภรรยามาอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่สามีก็คงดี
เซี่ยเจ๋อเหว่ยไม่คัดค้านอยู่แล้ว พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาสิ เดี๋ยวผมกลับไปบอกคุณตาคุณยายก่อน จากนั้นพวกเราก็อยู่ที่นี่สองวัน”
“ตกลง ส่วนเสี่ยวอวี่ เดี๋ยวฉันไปรับเขาหลังเลิกเรียน แล้วพาเขามาที่นี่เลย”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นให้คุณไปรับเสี่ยวอวี่”
หลังจากหลี่เสวี่ยเยี่ยนพาเสี่ยวอวี่กลับมา เขาก็มาอยู่ที่นี่
เหยาจิ้งจือและเซี่ยเหวินปิงเห็นครอบครัวลูกชายคนโตมาอยู่กันที่นี่ จึงเข้าใจความคิดของพวกเขาได้ทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ชิงชิงเฉินเฉินและถวนถวนหยวนหยวนซึ่งอยู่รอบตัวพวกเขา แล้วก็ทราบด้วยว่าลูกสะใภ้อยากทำให้พวกเขามีความสุข เห็นแบบนี้ ทั้งสองก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ในที่สุดสีหน้าก็ดูดีขึ้น
“เอาล่ะเด็ก ๆ ทุกคนก็รีบไปกินข้าวกันเถอะ ปู่กับย่าก็จะกินด้วยเหมือนกัน พวกเธอก็ด้วยเหมือนกัน”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานและหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็ต่างหันมองกันพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็บอกให้พวกเด็ก ๆ กินอาหารกันให้เรียบร้อย
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เหยาจิ้งจือก็ตื่นแต่เช้าด้วยพลังอันเต็มเปี่ยม เตรียมตัวออกไปข้างนอกกับซูหว่านอี๋
“จิ้งจือ เธอไม่พักต่ออีกสักสองวันเหรอ?”
ซูหว่านอี๋เห็นเหยาจิ้งจือทำแบบนี้ ก็อดถามมากไม่ได้ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะยังเศร้าอยู่
เหยาจิ้งจือได้ยินสิ่งนี้ ก็ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม แล้วเอ่ย “ฉันไม่เป็นไร ถ้าไปทำงานให้ตัวเองยุ่งก็คงดีกว่านะ”
ซูหว่านอี๋ค้นพบว่านี่เป็นเรื่องจริง จึงไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วบอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”
เซี่ยเหวินปิงก็ออกไปข้างนอกพร้อมกับฉินเจี้ยนเซ่อแต่เช้าเหมือนกัน ยังคงยุ่งอยู่กับงานที่ซิงหลินถัง นอกจากนี้ยังมีโรงงานทางชานเมืองตะวันออกอีก พวกเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองเกียจคร้านได้
ฉินมู่หลานเห็นทุกคนออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว เธอและเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกด้วยเหมือนกัน
เซี่ยเจ๋อหลี่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว เป็นแบบนี้พวกเราก็วางใจได้แล้วล่ะ” หลังจากพูดจบ เขาก็หันมองฉินมู่หลานแล้วกล่าวว่า “มู่หลาน คุณรีบจัดการงานเถอะ ถ้าวันนี้ผมมีเวลาว่าง จะเข้าไปถามที่โรงเรียนอนุบาลเรื่องการลงทะเบียนให้ ถ้าทำได้ ก็ส่งชิงชิงกับเฉินเฉินไปกันเลย”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นนายมีเวลาก็ไปถามนะ ลองดูด้วยว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง”
“อื้ม”
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลานเดินไปได้สักพัก ทั้งสองก็แยกทางกัน
ฉินมู่หลานรีบไปมหาวิทยาลัย แต่ทันทีที่เพิ่งมาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยก็ได้พบกับเซี่ยปิงหรุ่ย
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นฉินมู่หลาน ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วกล่าวว่า “ดีจังเลยมู่หลาน มาเจอเธอที่นี่พอดี ตารางงานเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย วันนี้พวกเราจะไปที่โรงพยาบาลปักกิ่งกัน เพราะฉะนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ใบหน้าของฉินมู่หลานก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“ไปตอนนี้เลยเหรอ?”
เซี่ยปิงหรุ่ยส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “พวกเราต้องไปที่พักก่อน หลังจากเจอนักศึกษาแลกเปลี่ยนพวกนั้นแล้ว ค่อยไปโรงพยาบาลปักกิ่งด้วยกัน อาจารย์หลัวและอาจารย์หลินน่าจะอยู่ที่นั่นแล้ว ตอนแรกฉันว่าจะไปหาเธอที่ห้อง ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอเธอตรงนี้พอดี ช่วยแก้ปัญหาได้ดีมาก ไปกันเร็ว”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ตามไปที่พักด้วยกัน
แต่เซี่ยปิงหรุ่ยรู้สึกสงสัยกับการลาของฉินมู่หลานเมื่อวานนี้ จึงเอ่ยถามเพิ่มเติม
ฉินมู่หลานก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เล่าเรื่องให้ฟังอย่างกระชับได้ใจความ
เซี่ยปิงหรุ่ยนึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้มู่หลานขอลา และไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเซี่ยเจ๋อหลี่มีน้องสาว แต่เรื่องจบลงแล้ว ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องลาจริง เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นลูกสาวของพ่อแม่สามีเธอ”
ทั้งสองพูดคุยกันขณะเดิน ไม่นานก็มาถึงที่พักใกล้มหาวิทยาลัย
หลัวซงผิงและหลินไคจงเห้นพวกเธอสองคนมากันแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวทักทาย “นักศึกษาฉิน นักศึกษาเซี่ย มากันแล้วเหรอ”
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นอาจารย์ทั้งสองนั่งอยู่ตรงล็อบบี้ ไม่เห็นคนอื่น จึงอดถามไม่ได้ “แล้วอาจารย์กับนักศึกษาคนอื่นล่ะคะ?”
“พวกเขายังกินข้าวเช้าอยู่เลย พวกเรารอก่อน”
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้ก็พากันนั่งลง แต่พวกเธอนั่งเบาะยังไม่ทันร้อน นักศึกษาแลกเปลี่ยนและอาจารย์ตัวแทนมหาวิทยาลัยพวกนั้นก็ออกมากันแล้ว
เยวี่ยจงจีและหลี่หมิงฮุ่ยเห็นฉินมู่หลานมาวันนี้ ก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “นักศึกษาฉิน เธอมาแล้วเหรอ เมื่อวานไม่เห็นเธอเลย คิดว่าหลังจากนี้เธอจะไม่มาแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อธิบาย “เมื่อวานมีธุระที่บ้าน ก็เลยลาหยุด”
ชิโยโกะและเอลล่าไม่เข้าใจภาษาจีน แต่อาจารย์ที่นำทีมแต่ละคนต่างเข้าใจ ทั้งสองจึงทราบเรื่องที่ฉินมู่หลานเพิ่งกล่าว เอลล่าจึงทนไม่ไหว แล้วพูดขึ้นมา “ใครจะไปรู้ว่ามีธุระที่บ้านเธอจริงหรือเปล่า ถ้าเธอไม่อยากมา ก็ให้นักศึกษาคนอื่นมาแทนก็ได้นะ”
ชิโยโกะก็เอ่ยตาม “ใช่แล้ว ถ้าคิดอยากจะลาก็ลา แบบนั้นมันไม่สะเพร่าเกินไปหน่อยเหรอ พวกเรามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกเธอ แต่พวกเธอมีกันแค่นี้ แล้วพวกเราจะทำยังไง”
ถึงแม้ว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะไม่รู้ว่าชิโยโกะพูดอะไร แต่หล่อนเข้าใจสิ่งที่เอลล่าพูด จึงพอเดาได้ว่าชิโยโกะน่าจะพูดประมาณเดียวกัน
หล่อนจึงทนไม่ไหว แล้วกล่าวขึ้นทันที “เมื่อวานนี้พวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรนะ จะกระทบกับการแลกเปลี่ยนได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นฉันก็อยู่กับพวกเธอไม่ใช่เหรอ ก็บอกแล้วว่ามู่หลานลาไปเพราะมีธุระ พวกเธอไม่คิดจะถาม แล้วยังจะบอกว่าหล่อนตั้งใจทำแบบนี้อีก นี่มันไม่เกินไปเหรอ”
เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยดูไม่พอใจสุดขีด ฉินมู่หลานก็ยิ้มขึ้นแทน แล้วกล่าว “ปิงหรุ่ย ไม่ต้องไปอะไรกับพวกหล่อนมากหรอก”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ได้ใส่ใจ เซี่ยปิงหรุ่ยจึงไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป
“ก็จริง ฉันจะไปสนใจพวกหล่อนเพื่ออะไร”
ถึงแม้ว่าอาจารย์ผู้นำทีมจะยังไม่ได้แปล แต่เอลล่าและโยชิโกะก็เห็นสีหน้าของพวกเขาได้ ทราบว่าพวกเธอคงไม่ได้พูดสิ่งที่ดีแน่นอน ขณะที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เยวี่ยจงจีก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แล้วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยบสบอารมณ์นัก “พวกเธอสองคนจะจบได้หรือยัง ถ้าไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ก็ออกไปได้เลย”
“นาย…”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเยวี่ยจงจี พวกหล่อนจึงไม่พูดอะไรมากนัก พวกหล่อนลองตรวจสอบฐานะของนักศึกษาแต่ละคนดูแล้ว ทำให้ทราบว่าเยวี่ยจงจีที่อยู่ตรงหน้ามาจากตระกูลเยว่ที่ฮ่องกง ไม่ใช่คนที่พวกหล่อนจะสามารถทำให้ขุ่นเคืองใจได้
เมื่อเห็นทั้งสองหยุดพูดไร้สาระ เยวี่ยจงจีก็หันไปมองฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “นักศึกษาฉิน ได้ยินว่าพวกเรากำลังจะไปโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่อรับชมการผ่าตัด พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยดีไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็หันไปมองหลัวซงผิงและหลินไคจง เพราะเมื่อวานเธอลาไปหนึ่งวัน จึงไม่ทราบเลยว่าวันนี้จะต้องทำอะไร
หลินไคจงยิ้มแล้วกล่าว “ใช่ พวกเราออกเดินทางกันเลยเถอะ”
พูดจบ เขาและหลัวซงผิงก็เดินนำทางไปข้างหน้า และข้างนอกก็มีรถจอดรออยู่แล้ว หลังจากทุกคนขึ้นรถโดยสาร ก็มุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาลปักกิ่งทันที
เอลล่าและชิโยโกะทั้งสองทนไม่ไหวจึงนั่งอยู่แถวหลังสุด ทั้งสองจ้องมองแผ่นหลังของฉินมู่หลาน ก่อนจะกระซิบกระซาบกันอย่างต่อเนื่อง
“ฉินมู่หลานนี่ ทำไมถึงน่ารำคาญขนาดนี้นะ”
“จริง และเยวี่ยจงจีจากฮ่องกงก็ยังเข้าข้างหล่อนอีก”
ในที่สุดทั้งสองก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน รู้สึกว่าฉินมู่หลานมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น จึงเป็นเหตุผลให้นักศึกษาชายทุกคนชอบหล่อน “เหอะ…คิดว่าหน้าตาดีแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ดูซิว่าหล่อนจะหยิ่งได้นานขนาดไหน”
ฉินมู่หลานไม่มีเวลาใส่ใจสองคนนี้ เธอหันมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วถามเรื่องแผนการในวันนี้
“วันนี้ไม่มีอะไร ก็แค่ไปโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่อรับชมการผ่าตัด หลังจากนั้นทุกคนก็จะนั่งถกประเด็นกัน ส่วนตอนบ่ายก็จะพาพวกเขาไปที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ให้พวกเขาได้รู้จักศาสตร์แพทย์แผนจีนองเรา”
ฉินมู่หลานตั้งใจฟัง และจดจำรายการพวกนี้เอาไว้เรียบร้อย
หลังจากทั้งคณะมาถึงโรงพยาบาลปักกิ่งแล้ว หลัวซงผิงก็พาอาจารย์และนักศึกษาทุกคนไปเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าปลอดเชื้อ จากนั้นก็เตรียมเข้าไปรับชมการผ่าตัด
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าห้องผ่าตัดหมายเลขหนึ่ง หลี่ปิ่งฉวนก็รีบวิ่งเข้ามา เขาเห็นว่าฉินมู่หลานอยู่ที่นั่น สีหน้าที่ตึงเครียดจึงผ่อนหลายลงในที่สุด จากนั้นก็รีบกล่าว “หมอฉินครับ ช่วยผ่าตัดได้ไหมครับ อาการของผู้ป่วยค่อนข้างฉุกเฉินมาก”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาให้ได้แสดงฝีมือเลยแฮะ
ไหหม่า(海馬)