ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 601 พูดคุยเกี่ยวกับการร่วมงาน
ตอนที่ 601 พูดคุยเกี่ยวกับการร่วมงาน
ฉินมู่หลานได้ฟังคำพูดนี้ ก็หันมองชายวัยกลางคนคนนั้นเพิ่มเติม แล้วกล่าวว่า “ใช่ค่ะ นั่นเป็นเรื่องบังเอิญมากเลย”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานไม่พูดอะไรมาก ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ผมเพิ่งได้ยินว่าพวกคุณกำลังจะไปไห่เฉิงเพื่อไปหาหัวหน้าสำนักงานพาณิชย์ ผมบังเอิญมาจากสำนักงานพาณิชย์พอดีเลย เผื่อว่าคุณกำลังมองหาคนรู้จักอยู่”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่หลี่เสวี่ยเยี่ยนหันไปมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวว่า “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญมากเลย ครั้งนี้พวกเรากังจะไปไห่เฉิง ไปคุยเรื่องร่วมงานกันคนในสำนักงานพาณิชย์”
“พี่สะใภ้…”
ฉินมู่หลานเห็นหลี่เสวี่ยเยี่ยนคุยกับคนแปลกหน้า จึงรีบเตือนหล่อน
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉินมู่หลาน หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มอย่างเขินอายให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “จริงๆ แล้วพวกเราก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะหารือเรื่องที่จะร่วมงานกันได้ไหม แค่จะลองไปที่ไห่เฉิงก่อน”
หลังจากพูดจบ หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนตัวเองจะพูดมากเกินไปอีกแล้ว จึงรีบหุบปากทันที
ฉินมู่หลานเหลือบมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนอย่างช่วยไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พูดไม่ได้ หลี่เสวี่ยเยี่ยนพูดไปแล้วก็ให้พูดไป
ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนด้วยท่าทางขบขันแล้วกล่าวว่า “ที่แท้พวกคุณก็ยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าของสำนักงานพาณิชย์นี่เอง แต่ผมทำงานอยู่ในสำนักงานพาณิชย์จริง ๆ นะครับ ขอถามได้ไหมว่าพวกคุณวางแผนจะร่วมงานแบบไหน บางทีผมอาจจะช่วยได้”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนทราบแล้วว่าเมื่อสักครู่ตัวเองพูดมากเกินไป ตอนนี้จึงไม่สามารถพูดอะไรได้
ขณะที่เธอไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็กลับมากันแล้ว พวกหล่อนเห็นคนอีกสองคนที่เพิ่งขึ้นมาบนรถไฟ ก็ไม่อยากรู้อยากเห็นเท่าใด แต่หันมามองแล้วยิ้มให้ฉินมู่หลานพลางกล่าวว่า “มู่หลาน พวกแม่ไปเดินหาห้องอาหารมาแล้ว เดี๋ยวถึงเวลากินข้าว พวกเราไปกินที่นั่นกันก็ได้”
“ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า
ชายวัยกลางคนเห็นว่ามีคนมาอีกสอง ก็ทราบว่าพวกหล่อนมาด้วยกัน เพียงแต่เมื่อโดนขัดจังหวะแบบนี้ หากเขาพูดเรื่องหัวข้อนี้ต่อ เช่นนั้นมันคงดูน่าสงสัยเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็แค่อยากรู้ ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรขนาดนั้น
ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับรู้สึกไม่พอใจ
“ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ พวกเราก็แค่ถามเรื่องธุรกิจของพวกคุณเอง พวกคุณควรรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ แล้วต่อไปพวกคุณจะต้องเสียใจ”
“เย่าหวู่…”
ชายวัยกลางคนหันไปส่งเสียงเรียก สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวล
เผิงเย่าหวู่เห็นแบบนี้ก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เขาทราบว่าทำเกินไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ดี
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือเพิ่งมา จึงไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงขมวดคิ้วแล้วมองชายสองคนที่อยู่ตรงหน้า แต่หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เป็นคนอธิบายอยู่ข้าง ๆ ให้พวกเธอได้ฟัง ทั้งสองจึงทราบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขณะที่พวกตนไม่อยู่
แต่หลังจากที่พวกหล่อนทราบแล้ว ก็รู้สึกเคืองนิดหน่อย ชายหนุ่มคนนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ ทำเหมือนว่าพวกหล่อนควรจะให้เกียรติพวกเขา มันทำให้รู้สึกน่าอึดอัดมาก
“ค่ะ พวกเรากำลังจะไปที่ไห่เฉิงกันจริง ๆ จะไปคุยเรื่องธุรกิจกับหัวหน้าสำนักงานพาณิชย์ แต่พวกเราจะเจรจาได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ เราก็แค่อยากลองไปดูก่อน”
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือต่างมีความคิดเช่นเดียวกัน
ตอนแรกพวกหล่อนคิดว่าหลังจากไปถึงไห่เฉิงแล้ว จะลองหาคนมาร่วมธุรกิจด้วย แต่หากคนพวกนั้นมีนิสัยเหมือนเผิงเย่าหวู่ที่อยู่ตรงหน้านี้ พวกหล่อนก็คิดว่าคงไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ไม่ต้องร่วมงานกับทางไห่เฉิงก็ได้ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็แค่ไปที่เซินเจิ้นกับกว่างโจว ถึงแม้จะอยู่ไกลออกไปหน่อย แต่ก็ลองดูได้หมด
ตอนแรกเผิงเย่าหวู่รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับสำนักงานพาณิชย์เลย เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นไปอีก เพียงแต่เขาทราบว่าหัวหน้าโกรธแล้ว เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกน้องผมเอง ผมชื่อถานอี้ เป็นแค่หัวหน้าตำแหน่งเล็กๆ ของสำนักงานพาณิชย์ ตอนแรกผมแค่อยากจะทราบว่าพวกคุณต้องการร่วมงานธุรกิจประเภทไหน เพราะผมมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการร่วมงานทางธุรกิจทั้งหมด นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการวางท่าโอ้อวด”
“หัวหน้า…”
เผิงเย่าหวู่เห็นว่าหัวหน้ากำลังขอโทษ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ต่อไปเขาจะต้องระวังคำพูดของตัวเองมากขึ้น
แต่ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือได้ฟังคำพูดนี้ ก็มองถานอี้ด้วยความประหลาดใจ “คุณรับผิดชอบเรื่องเจรจาธุรกิจของสำนักงานพาณิชย์จริงเหรอคะ?”
“ใช่ครับ ผมเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด”
ถานอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงกล่าวขอโทษในพฤติกรรมของพวกเขา อยากจะพูดดี ๆ กับพวกหล่อน
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า ทั้งสองจึงหันไปมองฉินมู่หลานโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นแบบนี้ ถานอี้จึงได้เข้าใจ ที่แท้ผู้นำของคนกลุ่มนี้ก็คือสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าพวกเขานี่เอง ดังนั้นเขาจึงหันมองไปเหมือนกัน
ฉินมู่หลานไม่ได้ลังเลนาน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยตามตรง
หลังจากที่ถานอี้ได้ยินว่าพวกเธอต้องการนำเครื่องสำอางที่ผลิตจากโรงงานของพวกเขาไปวางขายในห้างสรรพสินค้าของไห่เฉิง รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงนิดหน่อย ห้างสรรพสินค้าในไห่เฉิงก็มีเครื่องสำอางวางขายเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ต่างประเทศรายใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะยอมรับเอาไว้ แต่เครื่องสำอางของพวกเขาเองคงเทียบกับของคนอื่นเขาไม่ได้
หลายคนสังเกตเห็นสีหน้าของถานอี้ได้ เหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋จึงเล่าเกี่ยวกับเครื่องสำอางและการร่วมงานทางธุรกิจอื่น ๆ ให้ฟัง สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงกล่าวสรุปว่า “ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทั้งจากชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
“อะไรนะ…จริงเหรอครับ?”
ถานอี้ไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องสำอางมากนัก ไม่ได้ให้ความสนใจขนาดนั้น เขาจึงไม่ทราบว่ามีเครื่องสำอางในประเทศที่สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้
“แน่นอนว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ คุณจะทราบเองเมื่อลองตรวจสอบ พวกเราไม่เอาเรื่องนี้ไปหลอกคนอื่นหรอกค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของถานอี้ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เรื่องนั้นเยี่ยมมากเลยครับ พวกคุณเก่งเกินไปแล้ว” พูดจบก็คิดอยากจะสรุปเรื่องการร่วมธุรกิจในครั้งนี้
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จึงหันไปมองฉินมู่หลานอีกครั้ง
ฉินมู่หลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ รอจนกว่าพวกเราจะไปถึงไห่เฉิงกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลูกน้องเกือบทำเสียงานเสียการแล้วไงล่ะ
ไหหม่า(海馬)