ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 637 ที่แท้ก็เป็นเพื่อนสนิท
ตอนที่ 637 ที่แท้ก็เป็นเพื่อนสนิท
…………….
ตอนที่ 637 ที่แท้ก็เป็นเพื่อนสนิท
เช่าเจิ้งเฟิงได้ยินฉินมู่หลานพูดเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้ต้องไม่มีปัญหาเป็นแน่
“หมอฉิน หลังจากนี้ผมจะคอยกระตุ้นให้คุณฟู่หมั่นฟื้นฟูร่างกายเพื่อให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะครับ”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงพูดพลางยิ้มไปด้วยว่า “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนหมอเช่าด้วยนะคะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน”
“หมอฉิน คุณจะไม่ไปเยี่ยมคุณฟู่หน่อยเหรอ”
ฉินมู่หลานส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จ คงยังไม่มีอะไรให้ตรวจหรอกค่ะ ไว้ฉันจะมาใหม่พรุ่งนี้แล้วกัน”
พอเห็นฉินมู่หลานพูดเช่นนั้น เช่าเจิ้งเฟิงจึงไม่พูดอะไรอีก
หลังจากที่ฉินมู่หลานจากไปแล้ว เขาก็ไปที่ห้องของฟู่โฮ่วหลิ่น
“หมอเช่า ผมได้ยินว่าการผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดี ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
ในห้องผู้ป่วย นอกจากฟู่โฮ่วหลิ่นแล้วยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีแววตาเคร่งขรึมอยู่ด้วย เขาคือกัวอี่เชียนสหายร่วมรบของฟู่โฮ่วหลิ่น เขากับฟู่โฮ่วหลิ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ครั้งนี้เขาเป็นคนเสนอให้ส่งตัวฟู่โฮ่วหลิ่นมารักษายังโรงพยาบาลทหารในปักกิ่งเพื่อไม่ให้สหายของตนต้องปลดประจำการไปอย่างน่าเสียดาย และแล้วโชคก็เข้าข้างเมื่อพวกเขาได้พบกับความหวังครั้งใหม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เช่าเจิ้งเฟิงก็รีบโบกมือทันทีพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก การผ่าตัดเป็นฝีมือของหมอฉิน พวกคุณจะขอบคุณก็ควรขอบคุณหล่อนมากกว่า อีกอย่างผมได้บอกให้ไปหาหมอฉินนานแล้ว แต่พวกคุณก็ดันผัดผ่อนไปเรื่อย ถ้ามาตั้งแต่แรกตอนนี้คนไข้คงจะลงจากเตียงได้แล้ว”
หลังจากที่ได้ฟัง กัวอี่เชียนและฟู่โฮ่วหลิ่นต่างก็รู้สึกละอายใจ
ตอนแรกที่ได้ยินว่าฉินมู่หลานเป็นเพียงนักศึกษา ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเช่าเจิ้งเฟิง ต่อมาเมื่อจนปัญญาแล้วจึงได้สืบถามข้อมูล และได้รู้ว่าตนเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถกลับไม่น้อยเลย สุดท้ายจึงได้ขอร้องให้เช่าเจิ้งเฟิงเชิญฉินมู่หลานมา
“ใช่แล้ว พวกเราต้องขอบคุณหมอฉินอย่างดี ไม่ทราบว่าจะขอช่องทางการติดต่อของหล่อนได้หรือไม่”
เช่าเจิ้งเฟิงได้ยินกัวอี่เชียนพูดเช่นนั้น จึงกล่าวขึ้นมาตรงๆ ว่า “พรุ่งนี้หมอฉินจะเข้ามา เดี๋ยวพวกคุณก็ถามเอาเองก็แล้วกัน ส่วนอาการบาดเจ็บของคุณฟู่ก็ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูไปทีละน้อย”
“ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอบคุณหมอเช่าด้วยนะ”
ฟู่โฮ่วหลิ่นที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวขอบคุณเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาได้รับเพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ ดังนั้นสติจึงยังแจ่มใส และหลังจากได้สอบถามเช่าเจิ้งเฟิงเกี่ยวกับข้อควรระวังต่างๆ เขาก็เอนกายพักผ่อนในที่สุด
เมื่อเช่าเจิ้งเฟิงเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็จากไปทันที
กัวอี่เชียนหัวเราะพลางกล่าวคำอำลาเช่าเจิ้งเฟิง จากนั้นก็ปิดประตูและหันไปถามฟู่โฮ่วหลิ่น “โฮ่วหลิ่น นายเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดี แต่ก่อนหน้านี้พวกเราทำตัวแย่มากเลย วันนี้ตอนผ่าตัด หมอเช่าให้หมอฉินเป็นผู้นำ แสดงให้เห็นว่าฝีมือหมอฉินต้องดีกว่าหมอเช่าแน่ ๆ ดีที่หมอฉินไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่ได้มารักษาให้”
กัวอี่เชียนกล่าวด้วยความเสียดาย
“ใครจะคิดว่านักศึกษาที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยจะมีฝีมือแบบนี้ ในปักกิ่งมีแต่คนเก่งซ่อนตัวอยู่จริงๆ ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ฉันคงไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด”
ฟู่โฮ่วหลิ่นก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกล่าวว่า “จริงสิ ก่อนหน้านี้ที่เราไม่เชื่อก็เพราะแบบนี้ไง”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก กัวอี่เชียนก็ปล่อยให้ฟู่โฮ่วหลิ่นพักผ่อนให้เต็มที่ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “นายจะไม่บอกให้ที่บ้านรู้จริงๆ เหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฟู่โฮ่วหลิ่นก็เย็นชาลงทันทีแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ถ้าพวกเขาอยากรู้ข่าวคราวของฉันจริงๆ แค่สืบถามนิดหน่อยก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฉันเป็นคนบอกหรอก”
กัวอี่เชียนก็ถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “อืม…ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องบอกก็ได้”
บรรยากาศเงียบลงชั่วครู่ และก่อนที่กัวอี่เชียนจะพูดอะไรบางอย่างต่อ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาจึงเดินไปเปิดด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมคาดเดาว่าใครมา
เมื่อถูเฉิงเสียงเห็นกัวอี่เชียนมาเปิดประตู จึงกล่าวออกมาว่า “อี่เชียน นายเองเหรอ โฮ่วหลิ่นอยู่ในห้องใช่ไหม?”
พูดจบเขาก็เดินเข้ามาเห็นฟู่โฮ่วหลิ่นนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ก็อดรนทนไม่ได้ที่จะพูดว่า “พวกนายกลับมาแล้วทำไมไม่บอกกันสักคำ แถมยังมาอยู่ในสภาพแบบนี้อีก”
ฟู่โฮ่วหลิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นถูเฉิงเสียงแล้วกล่าวว่า “นายรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่?”
“พวกนายมาที่โรงพยาบาลทหารของพวกเราทั้งที ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง”
ได้ยินเช่นนี้ฟู่โฮ่วหลิ่นก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปใหญ่ “คงไม่ใช่ว่ารู้กันทั่วแล้วนะ”
เมื่อเห็นฟู่โฮ่วหลิ่นเช่นนั้น ถูเฉิงเสียงก็โบกมือพลางกล่าวว่า “วางใจเถอะ ไม่มีใครรู้ ฉันเองก็บังเอิญได้ยินภรรยาฉันเอ่ยถึง ก็เลยรู้ว่าพวกนายอยู่โรงพยาบาลทหาร คนอื่นไม่รู้หรอก ที่บ้านนายก็ไม่รู้”
เขารู้ดีถึงความสัมพันธ์ของฟู่โฮ่วหลิ่นกับทางบ้าน จึงรีบอธิบายเหตุผลเสียยืดยาว
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินเช่นนั้นจึงโล่งใจ
กัวอี่เชียนกลับมองถูเฉิงเสียงอย่างแคลงใจพลางถามว่า “แล้วภรรยานายรู้ได้ยังไง?”
“ตอนนี้หล่อนทำงานอยู่กับหมอฉิน หมอเช่าก็เลยฝากเรื่องมาทางภรรยาของฉัน ตอนฉันแต่งงานพวกนายไม่ได้มา หล่อนเลยไม่รู้จักพวกนาย ก็เลยไม่ได้บอกให้ฉันรู้ในตอนแรก”
กล่าวจบถูเฉิงเสียงก็ถอนหายใจพลางว่า “พวกนายเก่งจริงๆ จากไปตั้งแต่อายุ 18-19 หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ความรู้สึกที่เราเคยมีต่อกันตั้งแต่เด็กๆ ก็แทบจะเลือนหายไปตามกาลเวลา”
กัวอี่เชียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบปฏิเสธว่า “อย่าพ่วงฉันเข้าไปนะ ถ้าฉันมีวันหยุดฉันก็จะกลับมาเป็นประจำอยู่แล้ว คนที่ไม่เคยกลับมาเลยคือโฮ่วหลิ่นต่างหาก”
ทั้งสามไม่เจอกันมานานปี จึงมีเรื่องเล่ามากมาย
ถูเฉิงเสียงนึกถึงฟู่โฮ่วหลิ่นที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ก็เลยพูดถึงฉินมู่หลาน “เมื่อหมอฉินลงมือเอง โฮ่วหลิ่นก็คงไม่เป็นอะไรหรอก แต่พวกนายมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ทำไมถึงเพิ่งได้ผ่าตัดวันนี้ล่ะ?”
เห็นถูเฉิงเสียงพูดถึงฉินมู่หลานด้วยน้ำเสียงสนิทสนม ทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะถามไถ่
ส่วนถูเฉิงเสียงก็เล่าเรื่องราวของฉินมู่หลานให้ทั้งสองฟัง จากนั้นก็กระซิบว่า “ตามข่าวที่เชื่อถือได้ เซี่ยเจ๋อหลี่เคยได้รับบาดเจ็บที่ขาอย่างรุนแรงจนเกือบจะพิการ แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอะไรเลย เพราะภรรยาของเขานั่นแหละ หมอฉินมู่หลานเป็นคนรักษา ดังนั้นโฮ่วหลิ่นไม่ต้องกังวลอะไรเลย”
ฟู่โฮ่วหลิ่นกับกัวอี่เชียนไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้ หากพวกเขารู้จักถูเฉิงเสียงเร็วกว่านี้ ก็คงไม่ต้องเสียเวลามาตั้งหลายวันแล้ว
และเมื่อถูเฉิงเสียงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่ทั้งสองคนพลางกล่าวว่า “ต่อให้พวกนายจะไม่ได้อยู่ปักกิ่งมาหลายปีแล้ว ถึงยังไงก็เป็นคนปักกิ่ง ไม่คิดจะหาข่าวคราวให้ดีๆ ก่อนเหรอ?”
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินมู่หลานกลับมาถึงบ้าน เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปดูแลลูกๆ เมื่อเห็นเด็กๆกำลังเล่นกับน้องชายอย่างสนุกสนาน เธอก็เลยปล่อยไปสักพักจนกระทั่งซูหว่านอี๋กลับบ้านมา ครอบครัวจึงนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้า
พอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ไปโรงพยาบาลทหารแต่เช้า เปลี่ยนเป็นชุดกาวน์แล้วก็ไปห้องพักของฟู่โฮ่วหลิ่นพร้อมกับเช่าเจิ้งเฟิง
ฟู่โฮ่วหลิ่นตื่นมาได้สักพักแล้ว ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวในห้อง พอเห็นฉินมู่หลานและเช่าเจิ้งเฟิงเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทักทาย “หมอฉิน หมอเช่า สวัสดีครับ”
พอเห็นฟู่โฮ่วหลิ่นทำท่าจะลุกขึ้น ฉินมู่หลานก็รีบบอกว่า “อย่าเพิ่งขยับค่ะ นอนเฉยๆเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟู่โฮ่วหลิ่นก็รีบนอนลงอย่างว่าง่าย
ส่วนฉินมู่หลานก็เข้ามาสอบถามอาการหลายอย่าง พอฟู่โฮ่วหลิ่นตอบเสร็จเธอก็เข้าไปจับชีพจรให้เขา
หลังจากฉินมู่หลานจับชีพจรให้ตัวเอง ฟู่โฮ่วหลิ่นก็อดแปลกใจไม่ได้ หมอฉินคนนี้ผ่าตัดได้เก่งขนาดนั้นน่าจะจบหมอแผนปัจจุบันมา แต่ตอนนี้กลับมาจับชีพจรให้เขาแบบนี้ แสดงว่าใช้วิธีการแพทย์แผนจีน แต่คราวนี้เขาไม่ได้ถามอะไรเลย ได้แต่ให้ความร่วมมือเงียบๆ เพื่อไม่รบกวนฉินมู่หลาน
เมื่อฉินมู่หลานปล่อยมือออก เธอก็สั่งยาให้ฟู่โฮ่วหลิ่นพร้อมกับบอกว่า “ให้เพื่อนของคุณไปรับยา แล้วให้กินทุกๆ วันก่อนนอน พอครบเจ็ดวันแล้วฉันจะมาดูอาการให้อีกที”
พอได้ยินแบบนั้น ฟู่โฮ่วหลิ่นก็รีบรับใบสั่งยามาแล้วพูดว่า “ได้ครับ ขอบคุณหมอฉินนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ”
พอฉินมู่หลานตรวจอาการของฟู่โฮ่วหลิ่นเสร็จก็เตรียมตัวจะไป
เช่าเจิ้งเฟิงเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ค่อยจะมาที่นี่สักเท่าใด ก็เลยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หมอฉินครับ ผมจะไปตรวจคนไข้ต่อ หมอจะไปด้วยกันไหมครับ ช่วยกันดูอาการของคนไข้หน่อย”
แต่ฉินมู่หลานกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกค่ะหมอเช่า หากไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ฉันคงต้องขอตัว”
แต่เช่าเจิ้งเฟิงกลับเกรงใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “จริงๆ แล้ว…ก็คือว่ามีคนไข้คนหนึ่งที่อาการยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยอยากให้หมอมาดูให้หน่อยน่ะครับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฉินมู่หลานก็เลยไม่ปฏิเสธ
“ได้ค่ะ ฉันจะไปดูให้ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานตอบตกลง เช่าเจิ้งเฟิงก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม “ได้ งั้นเราไปดูคนไข้ด้วยกันเลยนะครับ”
หลังจากที่ฉินมู่หลานตรวจเสร็จ ก็ได้จ่ายยาให้คนไข้และแนะนำให้ดูแลตัวเองดีๆ “ไม่เป็นอะไรมากค่ะ แค่พักผ่อนไม่เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่ก็หาย”
คนไข้เป็นผู้สูงอายุเพิ่งเข้ามารับการผ่าตัดจากอาการบาดเจ็บเดิม แต่หลังผ่าตัดการฟื้นฟูไม่ค่อยดี
“คุณหมอ หลังจากนี้พวกเราหยุดกินยาแผนปัจจุบัน แล้วกินแต่ยาจีนเลยได้ไหม?”
คนที่คอยดูแลเป็นคู่ชีวิตของคนไข้ ซึ่งไม่ค่อยไว้ใจฉินมู่หลาน
ก่อนที่ฉินมู่หลานจะพูดอะไร เช่าเจิ้งเฟิงก็พูดขึ้นว่า “คุณหมอฉินคือแพทย์ที่โรงพยาบาลของเราเชิญมาเป็นพิเศษ ฝีมือทางการแพทย์ดีกว่าผมเยอะ ถ้าหล่อนพูดอย่างนั้นก็ทำตามที่หล่อนว่าดีกว่าครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งคนไข้และคู่ชีวิตก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“จริงเหรอ คุณหมอฉินอายุยังน้อยแบบนี้ แต่ทำไมฝีมือทางการแพทย์ถึงได้ดีขนาดนี้”
เช่าเจิ้งเฟิงพยักหน้ารัวๆ พร้อมกล่าวว่า “แน่นอนอยู่แล้ว โรงพยาบาลของเราและโรงพยาบาลปักกิ่งต่างก็แย่งตัวคุณหมอฉินกันอยู่ แต่หล่อนดันอยากจะทุ่มเทเวลาค้นคว้าหาตัวยาที่มีประโยชน์ต่อชาติและประชาชน จึงไม่มีเวลาเข้ามาที่นี่ วันนี้พวกคุณได้พบหล่อนถือว่าโชคดีมากๆ ต้องเชื่อฟังหล่อนนะครับ”
ทั้งสองคนไม่รู้จักฉินมู่หลาน แต่กลับรู้จักเช่าเจิ้งเฟิง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงฟังคำพูดเหล่านี้เอาไว้
หลังจากตรวจคนไข้คนนี้ ฉินมู่หลานก็กลับก่อน เมื่อเธอไปถึงบ้านก็พบว่าเหมาชุนเถาและเสี่ยวจี๋เสียงอยู่ที่นั่นแล้ว
“มู่หลาน กลับมาแล้วเหรอ”
เหมาชุนเถาเห็นฉินมู่หลาน ก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
เมื่อฉินมู่หลานเห็นเหมาชุนเถา เธอก็ดีใจ “ชุนเถา วันนี้ว่างเหรอ?”
“ฉันมาเชิญพวกเธอไปงานขึ้นบ้านใหม่ของพวกเราน่ะ”
เมื่อได้ยินดังนี้ ฉินมู่หลานก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “พวกเธอย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่แล้วเหรอ?”
“ใช่ ฉันกับเสี่ยวจี๋เสียงก็ไม่ได้มีของเยอะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการขนย้ายเลยค่อนข้างเร็ว พอคิดได้ว่าย้ายบ้านใหม่แล้ว ก็เลยมาเชิญพวกเธอไปขึ้นบ้านใหม่”
เมื่อฉินมู่หลานได้ยินดังนี้ ก็พยักหน้ารับคำเชิญเป็นธรรมดา “ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปแน่นอน”
เหมาชุนเถาเห็นฉินมู่หลานรับปาก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันเชิญปิงหรุ่ย เซี่ยวอวิ๋นและซุนชิวไปด้วย ส่วนทางผู้จัดการกู้ฉันไม่รู้ว่าจะต้องไปบอกเขาหรือเปล่า เพราะว่าคนที่ไปพรุ่งนี้ก็เป็นพวกเราที่เป็นผู้หญิงกันหมด กลัวว่าเขาจะอึดอัด”
ฉินมู่หลานนึกถึงเซี่ยเจ๋อหลี่ที่จะกลับมาในวันนี้ จึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “หรือไม่ฉันจะพาอาหลี่ไปด้วย จะได้ไปเป็นเพื่อนผู้จัดการกู้”
เมื่อได้ยินดังนี้ เหมาชุนเถาก็เต็มไปด้วยความดีใจ “ได้เหรอ งั้นเดี๋ยวฉันจะไปเชิญผู้จัดการกู้ก่อนนะ เพราะที่ฉันได้บ้านที่เหมาะเจาะขนาดนี้ ก็ต้องขอบคุณเขาจริงๆ”
“ได้”
เหมาชุนเถายังต้องไปเชิญกู้วั่งหลานต่อ เธอจึงได้พูดคุยกันกับฉินมู่หลานเพียงไม่กี่ประโยคก็จากไป
พอตอนเย็น เซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาที่บ้าน ฉินมู่หลานจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราพาลูกๆ ไปด้วยกันเลยดีกว่า ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ลูกๆ ก็สนิทกับเสี่ยวจี๋เสียงขึ้นมาก ตอนผมเข้าบ้านเมื่อกี้พวกเขายังพูดถึงเสี่ยวจี๋เสียงอยู่เลย”
“อื้ม งั้นเราไปกันทั้งครอบครัวเลย”
ฉินมู่หลานพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
หลังจากที่พูดคุยเรื่องนี้เสร็จ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ถามถึงเรื่องของฟู่โฮ่วหลิ่นขึ้นมาว่า “มู่หลาน วันนี้คุณไปผ่าตัดให้ฟู่โฮ่วหลิ่นเหรอ?”
เมื่อฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น เธอจึงหันไปมองเซี่ยเจ๋อหลี่อย่างประหลาดใจแล้วถามว่า “คุณรู้จักฟู่โฮ่วหลิ่นด้วยเหรอ?”
“ก็รู้จักอยู่ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในซีหนาน พวกเราได้ยินชื่อเขากันมาบ้าง ถ้าเขาต้องปลดประจำการเพราะอาการบาดเจ็บที่เท้าก็คงน่าเสียดาย แต่ถ้าคุณลงมือเองยังไงเขาก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่รู้จักฟู่โฮ่วหลิ่น ก็รู้ว่าเขาคงเป็นคนเก่งจริงๆ “ไม่ต้องห่วง การผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดี ขอแค่หลังจากนี้เขาพักฟื้นให้ดี รับรองว่าไม่มีปัญหา”
“มู่หลานของผมเก่งจริงๆ”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็พาเด็กๆ ไปที่สวนหลังบ้าน
พอถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่กินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมตัวออกเดินทาง เพราะเหมาชุนเถาต้องจัดเตรียมอาหารในวันนี้ คงจะยุ่งจนทำคนเดียวไม่ไหวแน่
แต่ทว่าพอฉินมู่หลานมาถึง เธอก็พบว่ากู้วั่งหลานมาถึงก่อนแล้ว เขานั่งเล่นกับเสี่ยวจี๋เสียง ส่วนเหมาชุนเถาก็วุ่นทำอาหารอยู่ในห้องครัว
ฉินมู่หลานมองภาพที่อบอุ่นใจตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะมองกู้วั่งหลานเป็นพิเศษ
ในขณะที่กู้วั่งหลานเองมองเห็นพวกเขาแล้วก็โบกมือทักทายพร้อมรอยยิ้ม “มู่หลาน พวกคุณมาแล้วเหรอ” พูดจบก็ทักทายเซี่ยเจ๋อหลี่อีกครั้ง
“สวัสดีครับ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ตอบทักทายพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
เมื่อชิงชิงและเฉินเฉินเห็นเสี่ยวจี๋เสียง พวกเขาก็ตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “พี่จี๋เสียง…”
เสี่ยวจี๋เสียงเห็นเด็กน้อยพวกนี้ก็ดีใจ จากนั้นเด็กๆก็เล่นด้วยกันอย่างถูกคอ
กู้วั่งหลานมองภาพเด็กๆ ร่าเริงเฮฮา เขาก็อดที่จะมีความสุขตามไม่ได้
ฉินมู่หลานกำลังจะพูดคุยเรื่องร้านซิ่งหลินกับกู้วั่งหลาน ในจังหวะนั้นเซี่ยปิงหรุ่ย เฉินเซี่ยวอวิ๋นและเกาซุนชิวก็มาถึง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โฮ่วหลินมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลฟู่หรือเปล่าหนอ ดูเหมือนทุกตระกูลทหารจะเชื่อมโยงกันเลย
ไหหม่า(海馬)