ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 646 ตกตะลึง(1)
ตอนที่ 646 ตกตะลึง(1)
นอกจากยาบำรุงร่างกายของร้านซิ่งหลินจะขายดีแล้ว ยาแก้พิษก็ขายดีเช่นกัน ประกอบกับเซี่ยเจ๋อหลี่ส่งข่าวมาว่าคนของพวกเขามีคนใช้ยาแก้พิษไปเเล้ว และผลลัพธ์ออกมาดีมาก จึงสั่งซื้อเพิ่มอีกชุด เซี่ยปิงชิงที่รู้ข่าวดังกล่าวก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความมุ่งมั่น “มู่หลาน ฉันจะศึกษาค้นคว้ายาตัวใหม่อย่างจริงจังเลย”
เมื่อได้เห็นเซี่ยปิงชิงมีความกระตือรือร้น ฉินมู่หลานจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดีแล้ว เธอต้องตั้งใจทำให้ดีนะ”
“อื้ม”
เซี่ยปิงชิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความลังเลใจ ก่อนที่จะเอ่ยถามว่า “มู่หลาน เราจะนำยาเชียนจินหวานที่ปิงหรุ่ยใช้ในการฟื้นฟูหลังคลอดออกมาวางขายได้ไหม ฉันว่ามันได้ผลดีมากเลย”
เนื่องจากหล่อนเคยได้ใช้มันด้วยตัวเอง จึงรู้ดีกว่าคนอื่น
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้น ก็อดหัวเราะไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเราจะคิดตรงกันแล้ว ฉันก็วางแผนแบบนี้เหมือนกัน”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเซี่ยปิงชิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เยี่ยมเลย ถ้าปิงหรุ่ยรู้เรื่องนี้หล่อนคงจะดีใจมาก”
เมื่อเซี่ยปิงหรุ่ยได้ทราบข่าวดังกล่าว หล่อนก็ดีใจมากและได้เอ่ยถามฉินมู่หลานด้วยความไม่แน่ใจนัก “มู่หลาน จะออกยาเชียนจินหวานจริงๆ เหรอ แต่ยาตัวนี้มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ อาจจะมีคนซื้อไม่เยอะนะ”
“ตอนนั้นปิงชิงก็กังวลว่าจะไม่มีคนซื้อยาแก้พิษของเธอ แต่ตอนนี้ยอดขายก็ดีไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเธออย่าคิดมากเลย”
เซี่ยปิงหรุ่ยอยากจะพูดว่าสถานการณ์ของพวกเธอไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นว่ามู่หลานได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับถามถึงเรื่องอดีตภรรยาของกู้วั่งหลาน “มู่หลาน เรื่องของผู้หญิงคนนั้นสืบไปถึงไหนแล้ว?”
“อีกสักครู่ฉันจะไปกินข้าวกับหลิวเสวียข่ายและเยว่เจินจู ไว้ฉันจะซักถามหลิวเสวียข่ายให้ละเอียดเลย”
เซี่ยปิงหรุ่ยก็รีบพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ซักถามพวกเขาให้ละเอียดเลยนะ”
หลังจากที่ฉินมู่หลานได้พูดคุยกับเซี่ยปิงหรุ่ยอีกสักพัก หล่อนก็ได้ออกไปที่ร้านอาหารตามนัด
“มู่หลาน ทางนี้”
เยว่เจินจูเหลือบเห็นฉินมู่หลานจึงรีบโบกมือให้พลางกล่าวว่า “มู่หลาน เร็วเข้าเถอะ เสวียข่ายใกล้มาถึงแล้ว พวกเราสั่งอาหารกันก่อนดีกว่า”
“ได้เลย”
ฉินมู่หลานไม่ได้ปฏิเสธ สั่งอาหารจานโปรดหลายอย่างร่วมกับเยว่เจินจู หลังจากสั่งอาหารเสร็จ หลิวเสวียข่ายก็มาถึง
“ขอโทษด้วยนะมู่หลาน พอดีมีเรื่องติดขัดนิดหน่อย”
ฉินมู่หลานจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะหัวหน้าหลิว ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อครู่เอง”
เมื่อทั้งสามคนนั่งลง เยว่เจินจูจึงได้ถามถึงสถานการณ์ที่ไห่เฉิง “มู่หลาน ฉันได้ยินมาจากหัวหน้าซูว่าที่ไห่เฉิงจะเพิ่มเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเข้าไปอีก ดูเหมือนว่าธุรกิจที่นั่นจะดีมากเลยสินะ”
“ใช่ ที่แม่สามีและพี่สะใภ้ยังกลับมาไม่ถึงก็เพราะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนี้แหละ”
ได้ยินดังนั้น เยว่เจินจูก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่ากำลังซื้อในไห่เฉิงจะไม่เลวทีเดียวนะ”
ในตอนท้ายหล่อนได้พูดถึงโฆษณาเครื่องสำอางทางโทรทัศน์ของไห่เฉิงอีกครั้ง “ฉันดูโฆษณาชุดนั้นไปหลายรอบแล้ว ดูทีไรก็รู้สึกว่ามันดีมากเลยล่ะ”
ฉินมู่หลานสังเกตเห็นประกายแวววาวในดวงตาของเยว่เจินจู จึงอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “เจินจู เธอสนใจจะลองมาเป็นครูดูไหม?””
“อะไรนะ…เป็นครูเหรอ?”
เยว่เจินจูได้ยินแล้วหันไปมองฉินมู่หลานด้วยความสงสัย
แม้แต่หลิวเสวียข่ายก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินมู่หลานแล้วถามว่า “มู่หลาน เจินจู ไม่เคยเป็นครูมาก่อนเลยนะ จะให้หล่อนไปเป็นครูในโรงเรียนมันไม่น่าจะไปได้ดีหรอก”
ทว่าฉินมู่หลานกลับตอบพร้อมรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้หมายถึงให้ไปเป็นครูสอนหนังสือให้กับนักเรียนที่โรงเรียน แต่ฉันหมายถึงให้เจินจูเป็นครูสอนแต่งหน้า”
“สอนแต่งหน้าเหรอ?”
เยว่เจินจูเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย “เหมือนกับการสอนพนักงานขายให้แต่งหน้าอย่างนั้นเหรอ?”
ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว ต่อไปนี้เคาน์เตอร์เครื่องสำอางของมู่เสวี่ยจะต้องมีเยอะขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพนักงานขายก็จะต้องเยอะตามไปด้วย ฉันเลยกะว่าจะให้พนักงานขายที่จะเข้ามาทำงานใหม่ทุกคนได้เข้าอบรมการสอนแต่งหน้าของเธอ แล้วพวกหล่อนจะได้แนะนำเครื่องสำอางและแต่งหน้าให้ลูกค้าได้ดีขึ้น”
เยว่เจินจูไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน พอได้ยินฉินมู่หลานพูดแบบนี้ ดวงตาของหล่อนก็เป็นประกาย
“มู่หลาน ฉันว่ามันดีมากเลยนะ พอถึงตอนนั้นก็สอนให้พวกหล่อนรู้เรื่องเหล่านี้ แล้วพวกหล่อนก็จะแต่งหน้าให้ลูกค้าได้ดีขึ้น เครื่องสำอางก็น่าจะขายได้เยอะขึ้นด้วย”
ฉินมู่หลานเห็นว่าเยว่เจินจูไม่ได้คัดค้าน ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อเธอไม่ขัดข้อง งั้นเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันละเอียดๆ อีกทีนะ แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องสอนพิเศษน่ะ ยังไงก็ไม่เอาเปรียบเธอหรอก”
เรื่องนี้เยว่เจินจูเชื่อใจอยู่แล้ว ถ้าไม่มีฉินมู่หลานคอยช่วยเหลือ หล่อนก็คงยังเป็นแค่ช่างแต่งหน้าให้เจ้าสาวอยู่ ไม่ได้มาทำงานในห้างแบบนี้ และก็คงไม่ได้มีโอกาสได้รู้จักหลิวเสวียข่าย
พอคิดถึงตรงนี้ เยว่เจินจูก็อดหัวเราะไม่ได้และหันไปมองหลิวเสวียข่ายแล้วพูดว่า “วันนี้มู่หลานตั้งใจมาหาคุณเลยล่ะค่ะ ถ้ามู่หลานมีเรื่องอะไรให้ช่วย คุณห้ามปฏิเสธเลยนะ”
หลิวเสวียข่ายได้ยินก็หัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นเรื่องที่ผมพอจะช่วยได้ ผมจะช่วยเต็มที่แน่นอน”
ฉินมู่หลานได้ยินหลิวเสวียข่ายพูดแบบนี้ ก็บอกไปตามตรง
“หัวหน้าหลิว คุณรู้จักอดีตภรรยาผู้จัดการกู้มากแค่ไหนคะ”
“เอ่อ…”
หลิวเสวียข่ายไม่คิดว่าฉินมู่หลานจะถามเรื่องนี้ “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาล่ะ”
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้ปิดบัง และเล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้ฟังทั้งหมด “เพื่อนร่วมชั้นฉันหน้าบวมเลยค่ะ วันนั้นเลยไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนด้วย”
ไม่รอให้หลิวเสวียข่ายได้พูดอะไร เยว่เจินจูก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไป ยังไม่ทันจะรู้เรื่องอะไรก็ทำร้ายคนอื่นซะแล้ว หล่อนทำแบบนี้ได้ยังไง”
แต่หลิวเสวียข่ายกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เขาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วตอบว่า “เล่อฉยงเยี่ยนเป็นผู้หญิงแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนั้นหล่อนทิ้งวั่งหลานไป แล้วก็ทำแท้งลูกของเขา ทำให้วั่งหลานคิดถึงลูกที่ไม่ได้เกิดมาคนนั้นจนถึงทุกวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นเห็นแก่ตัว เลือดเย็นจริงๆ”
ถึงจะรู้เรื่องเล่อฉยงเยี่ยนมานานแล้ว แต่หลิวเสวียข่ายก็ยังโกรธอยู่ดี
“ต่อให้วั่งหลานมีคนใหม่แล้วมันทำไม เล่อฉิงเยี่ยนก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าอะไร ผู้หญิงอย่างหล่อนมีหน้าไปยุ่งเรื่องของวั่งหลานได้ยังไง”
พูดไปก็ยิ่งโมโห หลิวเสวียข่ายเลยเผลอดื่มชาไปหลายอึก
เย่เจินจูเห็นเขาเป็นเช่นนั้นเลยรีบห้าม “เอาล่ะ เอาล่ะ คุณจะโมโหไปทำไมเล่า ผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรให้พวกคุณต้องไปให้ค่าอะไรเลยสักนิด”
ฉินมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วย “จริงอย่างที่คุณว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรอะไรทั้งนั้น ฉันถามถึงหล่อนเมื่อวันก่อนก็แค่อยากจะรู้ว่าหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง อยากให้หล่อนมาขอโทษเพื่อนฉันด้วยตัวเอง”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เสวียข่ายรู้เรื่องอะไรบ้างเล่ามาให้หมดเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)