ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 647 ตกตะลึง(
ตอนที่ 647 ตกตะลึง(2)
หลิวเสวียข่ายได้ยินดังนั้นก็เล่าเรื่องราวของเล่อฉิงเยี่ยนให้ฟังโดยไม่ปิดบัง “ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเห็นแก่ตัวขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าหล่อนสวยมากแถมยังสง่างามด้วย ต่อให้หล่อนจะหย่ากับวั่งหลานแล้ว ก็ยังมีผู้ชายมาแต่งงานอยู่ดี”
พอพูดถึงเรื่องนี้หลิวเสวียข่ายก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“ตอนแรกเล่อฉยงเยี่ยนแต่งงานกับเจ้าของบริษัทที่ร่ำรวย แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดีนัก แต่งงานอยู่กับสามีคนที่สองได้ไม่กี่ปีก็หย่ากันอีก จากข้อมูลที่ผมได้มา สามีคนปัจจุบันของหล่อนก็ร่ำรวยไม่แพ้กัน แถมยังเป็นเจ้าของโรงงานเหล็กด้วย”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
เย่เจินจูที่นั่งข้างๆ อยู่ก็อ้าปากค้าง เพราะสมัยนี้ไม่น่าจะมีคนหย่าร้างกันมากนัก ยิ่งหย่าแล้วแต่งงานใหม่ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก แถมหย่าแล้วก็แต่งงานใหม่ไปเรื่อยๆ ทำให้หล่อนถึงกับทึ่งในตัวของผู้หญิงคนนี้
“หัวหน้าหลิว คุณช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าสามีคนปัจจุบันของเล่อฉยงเยี่ยนเป็นคนยังไง”
“จริงๆ แล้ว ผมก็รู้ไม่เยอะเท่าไหร่”
หลิวเสวียข่ายไม่พอใจเล่อฉยงเยี่ยนอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินเพื่อนพูดขึ้น เขาก็คงไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ แต่ไหนๆ ฉินมู่หลานอยากรู้ เขาก็เลยต้องช่วยหาคำตอบ “มู่หลาน งั้นผมจะไปสืบมาให้นะ”
“ขอบคุณนะคะหัวหน้าหลิว”
“ไม่เป็นไร”
ในขณะที่ฉินมู่หลาน หลิวเสวียข่ายและภรรยาอย่างเยว่เจินจูกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
เพราะวันนี้เซี่ยปิงชิงมีธุระและไม่ได้เข้ามา คังอันเหอก็ไม่อยู่ เซี่ยปิงหรุ่ยจึงอยู่เฝ้าร้านซิ่งหลินคนเดียว
“สวัสดีค่ะ หมอฉินอยู่ไหมคะ?”
ขณะที่เซี่ยปิงหรุ่ยกำลังก้มหน้าศึกษาตำรายาก็มีคนเข้ามา
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นเป็นชายหนุ่มถือไม้เท้าอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณมาหาคุณหมอฉินมู่หลานเหรอคะ?”
ชายหนุ่มคนนั้นคือฟู่โฮ่วหลิ่น เขาได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ ผมมาหาคุณหมอฉิน”
“ตอนนี้คุณหมอฉินไม่อยู่ คุณสะดวกกลับมาครั้งหน้าไหมคะ?”
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกเสียดาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “วันนี้คุณหมอฉินจะเข้าไหมครับ”
เซี่ยปิงหรุ่ยเองก็ไม่แน่ใจนัก “จริงๆ หมอเพิ่งออกไปเมื่อไม่นานนี้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอจะกลับมาเมื่อไหร่”
ได้ยินดังนั้นฟู่โฮ่วหลิ่นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถาม “รบกวนถามหน่อยครับ แล้วคังอันเหออยู่ไหมครับ?”
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะรู้จักคังอันเหอ “คังอันเหอเหรอคะ หล่อนก็ไม่อยู่เหมือนกัน จะกลับมาอีกทีก็ดึกๆ ค่ะ”
คังอันเหอกลับบ้านไปแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงกลับมาช้าหน่อย
“งั้นผมรอที่นี่ได้ไหมครับ”
ฟู่โฮ่วหลิ่นคิดว่าในเมื่อมาแล้วก็ขอรอสักหน่อย เผื่อไม่ได้เจอฉินมู่หลานก็อาจจะได้เจอคังอันเหอ
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าตอบ “ได้ค่ะ”
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ที่จะถาม “คุณเป็นอะไรกับคังอันเหอเหรอคะ เห็นไม่เคยเจอหน้ากันเลย”
“คังอันเหอเป็นพี่สะใภ้ผมครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น เซี่ยปิงหรุ่ยจึงเดาได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนตรงหน้าคงเป็นทหาร
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ยจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ผมเป็นทหารและเป็นเพื่อนกับถูเฉิงเสียง เพราะฉะนั้นคุณคังอันเหอคือพี่สะใภ้ของผม”
“ได้ งั้นคุณรอสักครู่นะคะ คังอันเหอคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ”
ฟู่โฮ่วหลิ่นหาที่นั่งในมุมเงียบๆ เพื่อรอคังอันเหอกลับมา ชุยจวี๋เห็นเช่นนั้นจึงชงชาให้เขาแก้วหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
เมื่อได้ยินคำนั้น ชุยจวี๋จึงยิ้มและโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ”
เมื่อฟู่โฮ่วหลิ่นนั่งลงแล้ว เซี่ยปิงหรุ่ยก็เริ่มศึกษาตำรับยาอีกครั้ง ผู้อาวุโสลั่วเห็นหล่อนเป็นเช่นนี้จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ปิงหรุ่ย ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามฉันได้นะ”
“ได้ค่ะคุณปู่ลั่ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาใดๆค่ะ”
ผู้อาวุโสลั่วได้ยินดังนั้นจึงรีบกล่าว “มีอะไรหรือ ฉันจะได้ช่วยดู”
เมื่อทั้งสองท่านเดินเข้ามาใกล้เพื่อพูดคุยกัน เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ขณะนั้นเองก็มีคนมาที่ร้าน หล่อนจึงวางตำรับยาลงและยิ้มถามผู้มาใหม่ว่า “รับอะไรดีคะ?”
“ยาบำรุงร่างกาย”
เมื่อผู้มาใหม่พูดจบ ก็เห็นฟู่โฮ่วหลิ่นที่นั่งอยู่ตรงมุมและตกใจจนพูดไม่ออกว่า “โฮ่วหลิ่น ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ กลับมาอยู่ที่นี่แล้วเหรอ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่โฮ่วหลิ่นจึงหันไปมองเมื่อเห็นผู้มาใหม่ และคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
ผู้มาใหม่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นทังเยว่ซินแม่เลี้ยงของเขา
ทังเยว่ซินเดินเข้าไปหาฟู่โฮ่วหลิ่นแล้วก็เห็นว่าขาของเขามีผ้าพันแผลอยู่ จึงถามด้วยความเป็นห่วง “โฮ่วหลิ่น ขาของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บมาเหรอ บาดเจ็บหนักไหม?”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
ฟู่โฮ่วหลิ่นเห็นท่าทางแม่เลี้ยงก็ยิ่งชักสีหน้าบึ้งตึง
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองไปทางพวกเขา ใบหน้าอันงดงามแสดงสีหน้าอยากรู้อยากเห็นที่ปกติจะหาได้ยาก หล่อนสังเกตสองคนนี้แล้วก็คิดว่าต้องรู้จักกันแน่ๆ แต่คงไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทังเยว่ซินได้ยินคำพูดของฟู่โฮ่วหลิ่น สีหน้าก็แสดงอาการเจ็บปวดออกมา
“โฮ่วหลิ่น ฉันรู้ว่าเธอเข้าใจฉันผิด แต่ว่า…มันก็ตั้งหลายปีผ่านมาแล้ว ทำไมเธอยังไม่ยอมให้อภัยฉันล่ะ” พูดจบ ดวงตาของหล่อนก็แดงก่ำ
“ทังเยว่ซิน ผมเห็นคุณแล้วสะอิดสะเอียน”
เซี่ยปิงหรุ่ยมองทั้งสองคนแล้วก็อดคาดเดาไม่ได้ พวกเขาต้องเป็นคู่รักกันมาก่อนแน่นอน จากนั้นก็ทะเลาะกัน แต่พอดูๆ ไปก็รู้สึกไม่เหมือน เพราะฝ่ายหญิงอายุห่างจากฝ่ายชายมาก หรือว่า…จะเป็นความรักต่างวัย?
ขณะที่เซี่ยปิงหรุ่ยกำลังคิดฟุ้งซ่าน ทังเยว่ซินก็พูดด้วยความเจ็บปวด “โฮ่วหลิ่น พูดอย่างนี้กับฉันได้ยังไง ฉันเป็นแม่เธอนะ”
หา?…
เดิมทีเซี่ยปิงหรุ่ยก็แค่สงสัย แต่ตอนนี้กลายเป็นสนใจมากกว่า เพราะถึงทังเยว่ซินจะดูแก่กว่าฟู่โฮ่วหลิ่น แต่ก็คงเป็นแม่ของเขาไม่ได้ น่าจะเป็นแม่เลี้ยงมากกว่า ดูจากสีหน้าทั้งสองคนแล้ว ระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงต้องมีเรื่องราวอะไรกันแน่ๆ
ฟู่โฮ่วหลิ่นได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบอย่างเย็นชา “เงียบไปซะ คุณไม่ใช่แม่ผม แม่ของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุแปดขวบแล้ว”
“โฮ่วหลิ่น เธอ…เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่โฮ่วหลิ่นก็หัวเราะออกมา “เมื่อก่อน…คุณกล้าพูดถึงเมื่อก่อนด้วยเหรอ เมื่อก่อนคุณเป็นคู่หมั้นของพี่ชายผม แต่พอพี่ชายผมตาย คุณกลับกลายมาเป็นภรรยาของพ่อผมเนี่ยนะ?”
“นี่เธอ…”
ทังเยว่ซินไม่คิดเลยว่าฟู่โฮ่วหลิ่นจะพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องอับอายในครอบครัว จริงๆ แล้วหล่อนจำได้ว่าฟู่โฮ่วหลิ่นไม่ได้เป็นแบบนี้ พอหายหน้าไปไม่กี่ปี ฟู่โฮ่วหลิ่นกลับยิ่งจัดการยากกว่าเดิม เขาไม่กลับมายังจะดีกว่า
เมื่อฟู่โฮ่วหลิ่นเป็นแบบนี้ หล่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทังเยว่ซินฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “โฮ่วหลิ่น ฉันเห็นว่าเธอได้รับบาดเจ็บ ให้ฉันพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูสักหน่อยดีกว่า ที่นี่เป็นเพียงร้านขายยา รักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้ไม่ได้หรอก”
เดิมทีเซี่ยปิงหรุ่ยตั้งใจจะดูเฉยๆ ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อได้ยินทังเยว่ซินพูดเช่นนี้ หล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“ขอโทษนะคะ ร้านของเราก็มีการรักษาอาการบาดเจ็บทั่วไป อาการบาดเจ็บที่ขาเช่นนี้ ร้านของรักษาได้ค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คู่หมั้นลูกคนโตกลายเป็นเมียพ่องี้เหรอ ก็ไม่แปลกใจที่ทำไมลูกคนเล็กถึงเกลียด
ไหหม่า(海馬)