ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 716 พยายามโน้มน้าว(1)
ตอนที่ 716 พยายามโน้มน้าว(1)
……….
ตอนที่ 716 พยายามโน้มน้าว(1)
ครั้นได้ยินว่าเซี่ยปิงหรุ่ยเป็นทายาทของตระกูลเซี่ยสายตรง หลินหย่งเฉียงก็ยิ่งมีสีหน้าประหลาดใจ “เสี่ยวเซี่ย คุณควรจะบอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ตระกูลเซี่ยจากซีอานเริ่มเรียนแพทย์กันตั้งแต่เด็ก ทักษะทางการแพทย์ของคุณอาจจะดีกว่าหมอส่วนใหญ่ในแผนกนี้ด้วยซ้ำ แต่พอคุณมาถึงกลับอยู่แต่ในออฟฟิศ เสียดายความสามารถจริง ๆ”
“ไม่หรอกค่ะหัวหน้า ถือว่าช่วงนี้ฉันได้ศึกษาสิ่งต่าง ๆ ของแผนกเราอย่างถี่ถ้วนแล้วก็อ่านเคสต่าง ๆ มากมายด้วยค่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันคิดว่าตัวเองค่อนข้างจะคุ้นเคยกับแผนกของเราพอสมควรแล้ว ถ้าจะให้ดีฉันก็อยากจะออกตรวจเคสทุกวันนะคะ”
หลินหย่งเฉียงได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณก็ตามผมไปตรวจคนไข้แล้วกัน ผมจะเอาตารางออกตรวจคนไข้ของผมให้คุณ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เซี่ยปิงหรุ่ยก็แสดงรอยยิ้มออกมา
“ค่ะ ขอบคุณหัวหน้านะคะ”
แพทย์คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็พากันมองหลินหย่งเฉียงและเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความแปลกใจ
มีบางคนที่ไม่รู้จักตระกูลเซี่ยจากซีอาน จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปถามคนข้าง ๆ ด้วยเสียงเบาว่า “ตระกูลเซี่ยจากซีอานเก่งกาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมหัวหน้าถึงได้มีท่าทางเหมือนกับได้ของดีมาครอบครองอย่างนั้น”
“ใช่แล้ว เก่งจริง ๆ หรือเปล่า หล่อนพูดจริงเหรอว่าเด็กในตระกูลเริ่มท่องยาสมุนไพรตั้งแต่วัยเริ่มพูด”
สีหน้าของเหลียงเจินชิงไม่สู้ดีนัก หล่อนจ้องมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความไม่เชื่อ หมอฝึกหัดตรงหน้าเป็นทายาทตระกูลเซี่ยสายตรงจากซีอานได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร? ตระกูลเซี่ยจากซีอานนี่นะจะมาที่เรียนมหาลัยแพทย์ที่ปักกิ่งอีก? มันไม่ใช่ว่ามาเรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้วเหรอ?
คิดในใจเช่นนี้ เหลียงเจินชิงก็เอ่ยความสงสัยในใจตนเองออกมา
เซี่ยปิงหรุ่ยเพียงแค่ยิ้ม จากนั้นพูดขึ้นว่า “เรียนรู้ที่บ้านมามากแล้ว ฉันก็อยากจะมาดูที่มหาวิทยาลัยบ้างค่ะว่าสอนแพทย์กันอย่างไร”
เหลียงเจินชิงได้ยินดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
ส่วนหลินหย่งเฉียงก็พูดชมขึ้นมาว่า “เสี่ยวเซี่ยมีความคิดที่ดีจริง ๆ เรียนแพทย์ที่บ้านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจจะไปดูงานที่อื่นอีก ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เมื่อเห็นว่าแพทย์บางท่านไม่รู้จักตระกูลเซี่ยจากซีอาน หลินหย่งเฉียงก็ได้แนะนำอย่างละเอียดอีกรอบสุดท้ายก็กล่าวว่า “ตระกูลเซี่ยจากซีอานเป็นตระกูลแพทย์แผนจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ดังนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงฝีมือทางการแพทย์ของเซี่ยปิงหรุ่ยในฐานะทายาทของตระกูลเซี่ยสายตรงจากซีอาน”
ในที่สุดผู้ที่ได้ฟังหลินหย่งเฉียงแนะนำก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยจากซีอานในระดับหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็มองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
หล่อนมีภูมิหลังครอบครัวที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่กลับมาฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้ได้ หล่อนช่างถ่อมตัวจริง ๆ
เหลียงเจินชิงเห็นว่าทุกคนเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเซี่ยปิงหรุ่ย ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ใครจะรู้ว่าหล่อนจะเป็นคนตระกูลเซี่ยจากซีอานจริงหรือเปล่า หล่อนอาจโกหกก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซี่ยปิงหรุ่ยก็เหลือบมองเหลียงเจินชิงแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้คงโกหกไม่ได้ และฉันก็ไม่มีเวลาว่างจะมาหลอกพวกคุณ อีกอย่างฉินมู่หลานก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน หล่อนก็เป็นคนตระกูลเซี่ยเหมือนกัน”
“เป็นไปไม่ได้ เห็น ๆ กันอยู่ว่าฉินมู่หลานมีสกุลฉิน”
เซี่ยปิงหรุ่ยก็คิดว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของฉินมู่หลาน ดังนั้นหล่อนจึงไม่ได้พูดต่อ “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่นะคะ แต่อย่างไรก็ตามเดี๋ยวทุกคนก็คงได้ฝีมือและความสามารถของฉัน”
“ถูกแล้ว”
หลินหย่งเฉียงพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะสั่งเซี่ยปิงหรุ่ยว่าอย่าลืมไปออกตรวจคนไข้กับเขาในวันพรุ่งนี้
“ค่ะหัวหน้า ฉันไม่ลืมแน่นอนค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินหย่งเฉียงก็พยักหน้าก่อนจะจากไป
ถึงแม้ว่าหลินหย่งเฉียงจะจากไปแล้ว แต่สีหน้าของเหลียงเจินชิงก็ยังไม่ดีขึ้น หล่อนจ้องมองเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจากไปอย่างโมโห
เผยเฟิ่งซู่หมอคนอื่นๆ ที่กำลังซุบซิบสลับกับเซี่ยปิงหรุ่ย ก่อนจะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เซี่ยปิงหรุ่ย เธอเริ่มเรียนการแพทย์ตั้งแต่เด็กจริง ๆ เหรอ แปลว่าเธอเรียนวิชาแพทย์มา 20 กว่าปีแล้วน่ะสิ”
เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เพราะอย่างนั้นฉันก็ถือว่าเป็นหมอที่ค่อนข้างอาวุโสแล้ว”
เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยพูดเช่นนั้น เผยเฟิ่งซูและหมอคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยความอิจฉา พวกเขายังไม่สามารถรักษาคนไข้เองได้ เพราะรู้ถึงฝีมือการแพทย์ของตนเองว่าคงยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ แต่เซี่ยปิงหรุ่ยนั้นแตกต่างออกไป หล่อนเรียนรู้การแพทย์มานานหลายปี คงจะมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม ไม่แปลกใจเลยว่าหล่อนมองออกได้ในทันทีว่าหมอเหลียงวินิจฉัยโรคคนไข้ผิด
เซี่ยปิงหรุ่ยยิ้มและพูดคุยกับเผยเฟิ่งซูสองสามประโยค จากนั้นรีบไปหาฉินมู่หลาน
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยมาถึงก็เลยเอ่ยทักว่า “วันนี้มาเร็วจัง ฉันนึกว่าเธอจะไปรอที่ห้องทำงานจนกว่าฉันจะเลิกงานซะอีก”
“ฉันเห็นว่าใกล้เวลาแล้วก็เลยมาก่อน”
เซี่ยปิงหรุ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “แล้วก็มีเรื่องอยากพูดด้วย เลยมาเร็วหน่อย”
ระหว่างพูด หล่อนก็เล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมด
“เธอยังไม่ได้เห็นสีหน้าของหมอเหลียงสินะ หน้างี้ซีดเลย แต่หล่อนก็วินิจฉัยผิดเอง ฉันเลยได้โอกาสพูดถึงความผิดพลาดของหล่อน ในอนาคตก็คงไม่มากวนฉันอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเซี่ยปิงหรุ่ยพูด ฉินมู่หลานก็แสดงความยินดีพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะที่พรุ่งนี้เธอจะได้ออกตรวจกับหัวหน้าแผนกหลิน หัวหน้าแผนกหลินเห็นความสามารถของเธอแล้ว อาจจะให้เธอออกตรวจคนเดียวเลยก็ได้”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่ต้องการทำงานในออฟฟิศแล้ว หล่อนอยากจะออกตรวจช่วยวินิจัยคนไข้มากกว่า
ทั้งคู่ยังไม่ทันได้คุยกันต่อ เสียงออดเลิกงานก็ดังขึ้น ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยจึงไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารด้วยกัน
หลังจากนั่งรับประทานอาหารแล้ว เซี่ยปิงหรุ่ยก็ถามฉินมู่หลานถึงความยุ่งวุ่นวายในช่วงสองวันนี้
“ก็ดีนะ คนไข้เริ่มเยอะขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว แต่ก็เป็นคนไข้เก่า ๆ ที่เคยมา”
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินดังนั้นก็ถามถึงหยางอี๋อีกครั้ง “คนไข้ที่เธอผ่าตัดไปน่ะ จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่?”
“อีกหลายวันเลย การผ่าตัดของหล่อนสำเร็จ แค่พักฟื้นสักพักก็พอ”
ทั้งคู่กินข้าวพลางคุยกันไปพลาง พอกินเสร็จก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องทำงาน
ช่วงบ่าย ฉินมู่หลานหาโอกาสไปเยี่ยมหยางอี๋ก่อนจะพูดคุยสอบถามอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็ไปที่แผนกผู้ป่วยนอก และเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เธอกับเซี่ยปิงหรุ่ยก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
และในวันรุ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ฉินมู่หลานเท่านั้นที่อยู่แผนกผู้ป่วยนอก เพราะเซี่ยปิงหรุ่ยก็มาที่นี่เช่นกัน แต่อยู่ที่แผนกแพทย์แผนจีนกับหลินหย่งเฉียง
หลินหย่งเฉียงหันไปทางเซี่ยปิงหรุ่ยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “เสี่ยวเซี่ย อยู่เฉย ๆ ก่อน เมื่อไหร่คนไข้เข้ามา ก็ให้คุณตรวจชีพจร หากจัดการได้ก็จัดการไป หากจัดการไม่ได้ ผมจะเป็นคนดูเอง”
“ค่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยรีบพยักหน้าตอบรับ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่างน้องก็หลุดพ้นงานน่าเบื่อสักทีปิงหรุ่ยเอ๊ย ได้ทำงานตรงจริตสักที
ไหหม่า(海馬)