ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 738 สำเร็จลุล่วง(1)
ตอนที่ 738 สำเร็จลุล่วง(1)
ผู้อำนวยการถังนำฉินมู่หลานหลี่ปิ่งฉวนและคณะไปที่โรงอาหาร
ซึ่งทางโรงอาหารก็เตรียมอาหารจานพิเศษไว้ล่วงหน้าแล้ว
“คุณหมอฉิน คุณหมอหลี่ คุณหมอหลิว คุณหมอเหลยและคุณหมอจ้าว พวกคุณคงหิวแล้ว กินเยอะ ๆ นะครับ” ผู้อำนวยการถังเอ่ยอย่างกระตือรือร้นและรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้พาพวกเขามากินข้าวตั้งแต่แรก
ฉินมู่หลานและหลี่ปิ่งฉวนก็ไม่เกรงใจลงมือกินทันที หลิวซิ่นก็เช่นกัน กินข้าวคำโตและดื่มซุปคำโต
ผู้อำนวยการถังเห็นว่าทุกคนกินอย่างมีความสุขก็หัวเราะตาม
คณะแพทย์คนอื่น ๆ ในโรงพยาบาลที่มาถึงโรงอาหารต่างพบว่าผู้อำนวยการกำลังกินข้าวอยู่กับคุณหมอที่มาจากปักกิ่ง มีทั้งคนที่มาทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและมีที่ทำหน้าเฉย ๆ
ฉินมู่หลานเห็นคนเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรก็พยักหน้าตอบ ส่วนคนที่ทำหน้าเฉย ๆ พวกเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉินมู่หลานอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผู้อำนวยการถัง ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมถึงติดต่อฉันไป ปักกิ่งกับกวางตุ้งอยู่ห่างไกลกันมาก คุณไม่น่าจะรู้จักฉัน”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ผู้อำนวยการถังจึงได้เล่าถึงเหตุผลให้ฟัง
“จริง ๆ แล้ว…ผมได้ยินเรื่องของคุณมาจากอาหญิงของผม หล่อนบอกว่าฝีมือทางการแพทย์ของคุณดีมาก ๆ ผมก็เลยสนใจในตัวคุณ เมื่อได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผมก็ได้รู้เกี่ยวกับการผ่าตัดต่าง ๆ ที่คุณทำ ผมจึงได้รู้ว่าอาของผมไม่ได้โกหก มีหมอที่อายุน้อยแต่ฝีมือทางการแพทย์กลับเก่งขนาดนี้ ประจวบกับที่โรงพยาบาลของเรามีคนไข้ที่มีอาการคล้าย ๆ กัน ผมจึงรีบติดต่อโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่อขอให้คุณมาช่วยผ่าตัดเคสนี้และเพื่อให้แพทย์ในโรงพยาบาลของเราได้สังเกตการณ์ด้วย”
“อาหญิงเหรอคะ?”
ผู้อำนวยการถังพูดพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว คุณยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอาของผมเอาไว้ หล่อนชื่อถังเยว่เซียน ไม่ทราบว่าคุณหมอฉินยังจำได้ไหม”
ฉินมู่หลานเพิ่งรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเพราะคุณยายถัง ผู้อำนวยการถังถึงได้รู้จักเธอและได้ตามเธอมาทำการผ่าตัด
“อย่างนี้นี่เอง ฉันยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าโรงพยาบาลจากกวางตุ้งจะรู้จักฉันได้ยังไง”
หลี่ปิ่งฉวนที่เพิ่งได้รับทราบเหตุผลก็แอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นเพราะคำแนะนำของคนรู้จัก เขาถึงได้รู้จักหมอฉิน และคิดว่าหมอที่โรงพยาบาลอื่น ๆ ก็คงจะรู้จักหมอฉินเหมือนกัน ดูท่าคงต้องพยายามกันต่อไปเพื่อให้ผู้คนได้รู้จักหมอฉินกันมากขึ้น
ทุกคนคุยกันไปพลาง เดินไปพลาง ในไม่ช้าก็มาถึงบริเวณห้องผู้ป่วย
เมื่อฉินมู่หลานและคณะเดินมาถึงห้องผู้ป่วย ผู้อำนวยการถังก็รีบแนะนำฉินมู่หลานให้กับคนไข้และญาติคนไข้ในทันที
คนไข้มีชื่อว่าเหยียนอีผิง อายุ 36 ปี เป็นชายหนุ่มผอมบาง วันนี้เหวยซิ่วลี่ภรรยาของเขาเป็นคนเฝ้าไข้ เมื่อผู้ป่วยและญาติรู้ว่าแพทย์หญิงอายุยังน้อยที่อยู่ด้านหน้าสุดคือแพทย์ที่ผู้อำนวยการถังพาเชิญมา พวกเขาก็ขมวดคิ้ว
เหยียนอีผิงรู้ถึงอาการของตัวเองดี ไม่ว่าหมอคนไหนจะผ่าตัด เขาก็ไม่สามารถที่จะรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครที่จะมาผ่าตัดก็คงจะเหมือน ๆ กัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเหยียนอีผิงจึงดูเหม่อลอย
แต่เหวยซิ่วลี่กลับเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบายใจว่า “ผู้อำนวยการถังคะ หมอฉินท่านนี้เป็นหมอที่เชิญมาจากโรงพยาบาลปักกิ่งจริง ๆ เหรอคะ หล่อนดู…เด็กจังเลยค่ะ”
ผู้อำนวยการถังได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเหวยซิ่วลี่ด้วยความไม่พอใจ
พวกเขาได้ใช้ความยากลำบากอย่างที่สุดในการเชิญคนมาจากโรงพยาบาลปักกิ่ง แต่ญาติคนไข้กลับยังไม่เชื่อ คิดว่าหมอฉินตามตัวได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเชียวเหรอ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะไปเชิญมา พวกเขาก็ได้สืบหาข้อมูลมาแล้ว และมั่นใจว่าหมอฉินมีฝีมือทางการแพทย์ พวกเขาถึงได้ไปเชิญตัวมา ดังนั้นคำพูดของเหวยซิ่วลี่จึงไม่ใช่แค่การสงสัยหมอฉินเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นการสงสัยพวกเขาด้วย
ฉินมู่หลานกลับไม่รู้สึกอะไรมากมายนัก เพราะด้วยอายุของเธอ เธอจึงถูกคนอื่นสงสัยอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นสำหรับความสงสัยของเหวยซิ่วลี่ เธอเพียงแค่ยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “ฉันดูเด็กก็จริง แต่ฝีมือทางการแพทย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ได้โกรธ เหวยซิ่วลี่ก็โล่งใจ
เมื่อกี้หลังจากพูดจบ หล่อนก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เพราะหากว่าหมอฉินคนนี้เก่งจริง คำพูดของหล่อนก็คงจะไปทำให้หมอฉินโกรธ และกลายเป็นการทำร้ายสามีของหล่อนไปด้วย ดีที่หมอฉินไม่ได้ถือโทษอะไร
ถึงแม้ฉินมู่หลานจะไม่ใส่ใจ แต่สีหน้าของหลี่ปิ่งฉวนกลับดูไม่ดีนัก เขาก้มมองไปที่ผู้อำนวยการถังแล้วกล่าวว่า “ผู้อำนวยการถัง คุณยังไม่ได้เล่าเรื่องของคุณหมอฉินให้คนไข้ฟังอย่างละเอียดเหรอ?”
เมื่อผู้อำนวยการถังได้ยินก็รีบกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราได้พูดไปแล้ว ว่าหมอฉินได้ผ่าตัดเคสแบบนี้หลายเคสแล้ว และไม่ต้องกังวล แต่ไม่คิดว่าคนไข้จะยังกังวลอยู่”
เหวยซิ่วลี่ได้ยินดังนั้นก็เสียใจที่เผลอพูดไปเมื่อครู่ จึงรีบกล่าวขอโทษ “คุณหมอฉิน ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
ฉินมู่หลานโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะตรวจอาการคนไข้ก่อน จากนั้นเราจะกำหนดแนวทางการรักษาขั้นต่อไป”
เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ซักไซ้ไล่เลียงแล้ว หลี่ปิ่งฉวนและคนอื่น ๆ จึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ผู้อำนวยการถังก็โล่งใจและรีบเล่าอาการของเหยียนอีผิงอย่างละเอียด แล้วส่งประวัติคนไข้มาเล่มหนึ่ง
ฉินมู่หลานอ่านอย่างตั้งใจและยังถามคำถามอีกมากมาย
ผู้อำนวยการถังเป็นแพทย์เจ้าของไข้ของเหยียนอีผิง เขาจึงรู้ทุกอาการของคนไข้ทุกอย่าง ฉินมู่หลานถามอะไรเขาก็ตอบได้หมด ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มาก พอทราบอาการทั้งหมดแล้ว ฉินมู่หลานก็หันไปหาเหยียนอีผิง “ฉันขอจับชีพจรหน่อยนะคะ”
ได้ยินดังนั้น นอกจากหมอหลี่แล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจ
ส่วนเหยียนอีผิงยิ่งหันไปมองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นหมอคนนี้เป็นพิเศษ จึงยื่นมือไปอย่างว่าง่าย “รบกวนคุณหมอฉินด้วย”
หลังจากที่ฉินมู่หลานจับชีพจรเหยียนอีผิงแล้ว ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อาการของคุณยังไม่รุนแรงมาก รอทำการตรวจอีกหน่อยก็ผ่าตัดได้เลย”
นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่เหยียนอีผิงได้ยินมาตั้งแต่ไปหาหมอ หมอคนอื่นบอกว่าโรคของเขาร้ายแรงมากจนแทบจะไม่มีทางรักษาแล้ว แต่หมอสาวตรงหน้ากลับบอกว่าอาการไม่รุนแรงมาก โรคนี้จะรักษาให้หายได้งั้นเหรอ
จิตใจที่รู้สึกสิ้นหวังเมื่อครู่ก็กลับมีคลื่นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“หมอ อาการของผมดีขึ้นจริง ๆ เหรอ โรคของผมรักษาหายได้เหรอ?”
“แน่นอนค่ะ”
ฉินมู่หลานพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วหันไปหาผู้อำนวยการถัง “ผู้อำนวยการถัง เดี๋ยวฉันจะนัดให้คนไข้ทำการตรวจร่างกายให้ครบนะคะ”
ผู้อำนวยการถังพยักหน้ารับคำ “ได้ เดี๋ยวเราจะรีบทำการตรวจโดยเร็วที่สุด”
ฉินมู่หลานจดการตรวจทั้งหมดที่เหยียนอีผิงต้องทำลงไป จากนั้นก็เตรียมตัวจะกลับไปพัก
โดยที่มีผู้อำนวยการถังเดินนำหน้า “หมอฉิน เหนื่อยหน่อยนะครับ เดินทางไกลมาแล้วก็มาดูคนไข้ต่อเลย เดี๋ยวยังไงผมจะพาคุณไปพักผ่อน”
พอทุกคนออกไป เหวยซิ่วลี่ก็มองด้วยความสงสัย
“หมอฉินน่ะไว้ใจได้เหรอ แล้วเมื่อกี้ที่เธอมาจับชีพจรน่ะ เธอเรียนแพทย์แผนจีนหรือแพทย์แผนปัจจุบัน”
เห็นภรรยากังวลสงสัยแบบนี้ เหยียนอีผิงเลยพูดว่า “ซิ่วลี่ หมออื่นก็รักษาไม่ได้อยู่แล้ว ก็ให้หมอฉินผ่าตัดไปเถอะ ตอนนี้ชีวิตของผมก็แทบไม่มีความหวังอยู่แล้ว แต่ถ้าเราลองแล้วผลลัพธ์มันออกมาดีก็ดีไป”
แต่ว่าเหวยซิ่วลี่กลับหน้าซีด “อีผิง อย่าพูดอย่างนั้น อย่าคิดอย่างนั้น เราหาหมออื่นต่อก็ได้ คุณอย่าเพิ่งหมดหวังนะ”
เหยียนอีผิงเริ่มเหนื่อยใจ
“ซิ่วลี่ ขนาดผู้อำนวยการถังยังบอกว่าหมอฉินเก่ง ดังนั้นเชื่อหมอฉินเถอะ”
“คุณ…”
แต่เหยียนอีผิงกลับหันหน้าหนี ปิดเปลือกตาลงและไม่คุยเรื่องอาการป่วยของตัวเองต่อ
เห็นสามีเป็นแบบนี้ เหวยซิ่วลี่ก็ถอนหายใจ แล้วก็คิดว่าคงต้องลองพึ่งหมอสาวคนนั้นแล้ว
ส่วนฉินมู่หลานเดินตามผู้อำนวยการถังไปที่เกสต์เฮาส์ที่จองไว้ เขาได้ช่วยจัดการเรื่องเข้าพัก แล้วก็ปล่อยให้เธอพักผ่อน
“ผู้อำนวยการถัง พรุ่งนี้เจอกันนะคะ”
“ครับ เหนื่อยหน่อยนะครับหมอฉิน”
ผู้อำนวยการถังยิ้มแล้วก็ลาไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ช่วยไม่ได้ มู่หลานดันหน้าเด็กอายุน้อย เลยต้องเหนื่อยแสดงฝีมือหน่อย
ไหหม่า(海馬)
……….