ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 766 ร้านถ่ายรูป(2)
ตอนที่ 766 ร้านถ่ายรูป(2)
“พวกเธอตัดสินใจเรื่องชื่อเล่นได้แล้วสินะ”
ฉินมู่หลานได้ยินชื่อเล่นนี้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเธอสองคนเถียงกันนานมากเพื่อชื่อเล่นนี้เนี่ยนะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ คังอันเหอก็อดพูดไม่ได้ “ถูเฉิงเสียงนี่ก็แย่จริงๆ ฉันบอกแล้วว่าถังถังฟังดูดี เขาดันไม่ชอบ อยากจะตั้งชื่อเป็นเฟิงเฟิงอะไรแบบนั้น คิดว่ามันแข็งแกร่ง ถังถังของเราเป็นสาวน้อยนะ ทำไมต้องตั้งชื่อว่าเฟิงด้วย”
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยต่างก็เข้าข้างคังอันเหอในเรื่องนี้
“ใช่แล้ว ถังถังฟังดูดีที่สุดแล้ว”
“ใช่แล้ว แม้แต่ลุงรองยังบอกว่าถังถังฟังดูดี เฉิงเสียงเลยไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับชื่อเล่นนี้” คังอันเหอมองลูกสาวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า รู้สึกมองเท่าไรก็มองไม่พอ
ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยนั่งคุยกันอีกสักพักก็เตรียมจะกลับแล้ว แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะลุกขึ้น ก็มีคนมาเยี่ยมคังอันเหอ
“อันเหอ งั้นพวกฉันกลับก่อนนะ”
“ได้จ้ะ”
คังอันเหอเห็นคนที่มาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่มาคืออาเล็กของถูเฉิงเสียง หล่อนไม่คิดว่าอาเล็กจะมาด้วย เนื่องจากพวกหล่อนไม่ค่อยคุยกันบ่อยนัก คิดว่าหล่อนจะมาตอนลูกครบเดือนเสียอีก
ถูหงหัวได้ยินว่าหลานสะใภ้คลอดลูกแล้ว วันนี้เลยแวะมาเยี่ยมคังอันเหอ
“อันเหอ เธอกับลูกเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ใครดูแลเธอ?”
“คุณอา ช่วงนี้แม่เป็นคนดูแลฉันที่โรงพยาบาล เฉิงเสียงก็จะมาเมื่อว่าง ฉันกับลูกสบายดีทุกอย่างค่ะ”
ได้ยินคำพูดนี้ ถู่หงหัวก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ดีแล้ว แต่ท้องนี้ของเธอนี่ไม่ค่อยดีเลยนะถึงได้คลอดลูกสาว ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ต่อให้เธอกับเฉิงเสียงอยากมีลูกคนที่สองก็มีไม่ได้แล้ว เธอว่านี่เป็นปัญหาไหมล่ะ”
ความรู้สึกดี ๆ ของคังอันเหอหายวับไปหมดหลังจากได้ยินคำพูดนี้
“อาเล็ก ถึงจะมีลูกได้แค่คนเดียวแล้วยังไงคะ ฉันกับเฉิงเสียงมีถังถังก็พอแล้ว”
หล่อนเองก็รู้ว่าต้องเริ่มวางแผนครอบครัวแล้ว ด้วยเงื่อนไขของเฉิงเสียง ต่อให้พวกเขาอยากมีลูกคนที่สองก็มีไม่ได้แล้ว แต่ลูกสาวมันจะเป็นปัญหาอะไร หล่อนเองก็เป็นผู้หญิง มีลูกสาวแล้วก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรเลย
หลานสะใภ้คนนี้คลอดลูกสาวออกมาแล้ว ยังกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้อีก “เธอ…”
แต่ยังพูดไม่จบ ก็ถูกฉินมู่หลานขัดขึ้นมาก่อน “อันเหอ นี่อาของเธอเหรอเนี่ย ญาติของเธอมีจิตสำนึกแย่ขนาดนี้เลยเหรอ ท่านผู้นำเคยพูดไว้ว่าผู้หญิงสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งฟ้า พวกเราที่เป็นผู้หญิงก็เทียบเท่าผู้ชายได้เหมือนกัน ในสายตาหล่อน ผู้หญิงกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ไปได้ยังไง”
“เธอเป็นใครกัน”
ถูหงหัวไม่คิดว่าจะมีคนกล้าสั่งสอน มองไปด้วยใบหน้าโกรธเคือง
ตอนนี้เอง คังอันเหอก็เปิดปากพูดว่า “พวกเธอเป็นเพื่อนของฉัน ฉันคิดว่าเพื่อนของฉันพูดไม่ผิด อาเล็กไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่านผู้นำหรือคะ”
“ฉัน…ฉันต้องเห็นด้วยสิ”
ถู่หงหัวถูกบีบคั้นจนพูดอะไรไม่ออก และเดินจากไปอย่างโกรธเคือง กระทั่งถังถังก็ยังไม่มอง
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นสถานการณ์แล้วก็อดพูดไม่ได้ “อันเหอ เธอมีอาแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย หล่อนเองก็เป็นผู้หญิง กลับยังพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้ มันเกินไปจริง ๆ เมื่อกี้ฉันอยากด่าคนแล้ว แต่พอคิดอีกทีก็ช่างมันเถอะ ยังไงหล่อนก็เป็นอาของเธอ”
“หล่อนเป็นอาเล็กของเฉิงเสียง ก่อนหน้านี้ฉันก็คุยกับหล่อนไม่ค่อยรู้เรื่อง ความคิดในบางเรื่องของหล่อนฉันก็ไม่กล้าเห็นด้วย พวกเธอไม่ต้องใส่ใจคำพูดของหล่อนหรอก”
เห็นคังอันเหอไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก ฉินมู่หลานกับเซี่ยปิงหรุ่ยก็วางใจ ทั้งสองกำชับอีกสองสามคำแล้วก็จากไป
เซี่ยปิงหรุ่ยอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องของครอบครัวฟู่ให้ฉินมู่หลานฟัง สุดท้ายก็พูดว่า “ตัวฉันไม่ต้องกังวลในเรื่องญาติฝั่งครอบครัวฟู่เลย เพราะไม่ค่อยได้ติดต่อกันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณปู่ของฟู่โฮ่วหลิ่นคิดยังไง เขากับฟู่โฮ่วหลิ่นจะชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันคงโกรธแน่ๆ”
เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยกังวลโน่นกังวลนี่ ฉินมู่หลานก็อดหัวเราะไม่ได้ “เธอก็คิดไกลเกินไปแล้ว ถ้ากังวลจริงๆ ก็ถามฟู่โฮ่วหลิ่นในครั้งต่อไปสิ”
“ก็จริงนะ”
ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างเดินไปที่ตึกผู้ป่วยนอก แล้วก็เริ่มงานในวันนี้
พอถึงวันรุ่งขึ้น คังอันเหอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ถูเฉิงเสียงขอลาหยุดมารับหล่อน ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยก็มาส่งพวกเขาด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มยุ่งอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความยุ่งวุ่นวาย พอถึงวันเสาร์ที่นัดกันไว้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็มาหาฉินมู่หลานแต่เช้า
“มู่หลาน เราไปกันเถอะ ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ มาถึงหรือยัง”
ฉินมู่หลานเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ พอเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยมาก็พูดขึ้นว่า “ออกไปเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่ เราออกไปเช้าหน่อย ถ้ามีเวลาพอก็จะได้เดินเล่นไปรอบๆ ด้วย”
“ก็ได้นะ”
ฉินมู่หลานคิดว่าพวกเธอมาเช้าที่สุด แต่ไม่คิดว่า เหมาชุนเถา เฉินเซี่ยวอวิ๋น และเกาซุนชิวจะมาถึงแล้ว
“พวกเธอมาเช้าขนาดนี้เลยเหรอ”
“ฮี่ๆ นัดกันเก้าโมง พวกเราก็เลยคิดจะมาเช้าหน่อย ไม่คิดว่าพวกเราจะคิดตรงกันเลย”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นหัวเราะพลางอธิบายไปคำหนึ่ง จากนั้นก็มองดูเวลาแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าหยวนฝูจะมาเมื่อไหร่”
พูดยังไม่ทันขาดคำ สือหยวนฝูก็มาถึงแล้ว
“หยวนฝู ทางนี้”
สือหยวนฝูรีบวิ่งมา เมื่อเห็นว่าทุกคนมาครบแล้ว จึงถามว่า “พวกเธอรอนานหรือยัง มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พวกเราก็เพิ่งมาถึงไม่นานเหมือนกัน”
สือหยวนฝูได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฉันคิดว่าพวกเธอรอมานานแล้วซะอีก”
“ไม่หรอกๆ พวกเราไปเดินเล่นบนถนนกันก่อนเถอะ”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นเตรียมตารางกิจกรรมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กออกมา หล่อนก็พูดว่า “พวกเราไปเดินเล่นกันก่อน จากนั้นก็ไปกินข้าว ตอนบ่ายค่อยไปสตูดิโอถ่ายรูป”
“สตูดิโอถ่ายรูป?”
คนอื่น ๆ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะไปสตูดิโอถ่ายรูป ทุกคนจึงหันไปมองเฉินเซี่ยวอวิ๋น
“ใช่ ก็คือไปสตูดิโอถ่ายรูปไง พวกเราชาวหอพักมาถ่ายรูปหมู่กัน พอล้างรูปเสร็จแล้ว ทุกคนก็เอาไปคนละใบ เก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเวลาพวกเราอายุมากขึ้น ก็เอารูปตอนที่พวกเรายังสาวออกมาดูระลึกความหลังก็ยังได้”
คนอื่น ๆ ต่างคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
เกาซุนชิวอดพูดไม่ได้ “เซี่ยวอวิ๋น เธอนี่คิดรอบคอบจริง ๆ พวกเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะไปถ่ายรูป”
“งั้นดีเลย พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ”
ทั้งหกคนไปเดินเล่นกันก่อน ตอนซื้อของ ต่างคนต่างให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่กันและกัน จากนั้นก็ไปกินข้าว สุดท้ายจึงไปสตูดิโอถ่ายรูป
เมื่อกล้องถ่ายรูปเก็บภาพหมู่ของทั้งหกคนเอาไว้ เวลาก็หยุดนิ่งอยู่ในวินาทีนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ป้านี่มาจากยุคไหนคะ ลืมตัวเหรอคะว่าป้าเองก็เป็นผู้หญิง จะลูกสาวลูกชายก็คือลูกไหม
ไหหม่า(海馬)
……….