ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 105 ผมได้ยินมากับหูตัวเอง
บทที่ 105 ผมได้ยินมากับหูตัวเอง
“พ่ออย่าคิดหาข้อแก้ตัวเลยครับ ผมได้ยินมากับหูตัวเอง แล้วก็ยังมีอีกหลายครั้งก่อนหน้านั้นด้วย!” เจ้ารองเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เจ้าสามลุกออกจากเตียงเตาและคว้าขาของโจวชิงไป๋ไว้ ก่อนจะตีสองสามครั้งด้วยกำลังที่มี จากนั้นก็หันไปมองแม่ “ตีให้แล้ว แม่หายโกรธนะ”
ในตอนแรกหลินชิงเหอก็เหงื่อตกอยู่ในใจเหมือนกัน จะมีอะไรน่าอายยิ่งไปกว่าการที่กิจกรรมคู่รักของพวกเขาถูกเจ้าสามแสบนี่รู้เข้าล่ะ?
แต่เมื่อเห็นลูกชายทั้งสามคอยปกป้องเธอแบบนี้แล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกปวดใจ จากนั้นก็กลายเป็นซาบซึ้งใจ
หลินชิงเหอเข้าไปกอดเจ้าสามและเหลือบมองโจวชิงไป๋ ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจและอยากหัวเราะออกมาเช่นกัน
เจ้าใหญ่เคยตื่นกลางดึกมาก่อนและเขาก็คิดว่าเด็กชายจะลืม แต่ไม่คิดเลยว่าเขากลับไม่ลืม
แถมเมื่อคืนนี้เขาก็แอบได้ยินพวกเขาทำอะไรกันด้วย
หลินชิงเหอไม่ปล่อยให้สามีได้พูด เธออธิบายกับเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามที่อยู่ในอ้อมกอด “พ่อไม่ได้ตีแม่หรอกจ้ะ”
“เป็นไปได้ยังไงครับ? ผมได้ยินไม่ผิดนะ” เจ้าใหญ่เอ่ยอย่างไม่เชื่อ
ในตอนนั้นเขาอยากจะตื่นมาช่วยแม่ของเขาเหลือเกิน แต่กำลังของเขาช่างน้อยนักในวัยเพียงนี้ เขาง่วงนอนเกินกว่าจะตื่นขึ้นมาได้
“แม่ไม่ต้องช่วยพ่อปกปิดความผิดเลยครับ พวกเราไม่ให้อภัยในความผิดของพ่อหรอก!” เจ้ารองที่ยังเป็นเด็กยังคงออกหน้าแทน
“ตีกลับเลย!” เจ้าสามในอ้อมแขนของเธอโบกหมัดเล็ก ๆ ไปมาเป็นการขู่พ่อของเขา
“เป็นเรื่องจริงจ้ะ พ่อไม่ได้ตีแม่หรอก แต่ว่าแม่ฝันร้ายน่ะ” หลินชิงเหอพูด “แม่ฝันร้ายจนทำให้เจ้าใหญ่ตื่น ขณะที่ลูก ๆ สองคนยังหลับสนิทเหมือนหมู พ่อเองก็ตื่นด้วยและมาช่วยปลอบแม่จากฝันร้าย”
คำอธิบายนี้ฟังดูมีเหตุผลอย่างมาก
เจ้าใหญ่เริ่มเชื่อ ขณะที่เจ้ารองยังสงสัย “ฝันร้ายคืออะไรเหรอครับ?” เขามักหลับลึกจนกระทั่งถึงรุ่งสาง นอกจากลุกจากที่นอนกลางดึกเพื่อมาฉี่แล้ว เขาก็ไม่ฝันเลย
“ฝันร้ายก็คือความฝันที่ไม่ดีน่ะ” เจ้าใหญ่อธิบายให้น้องฟัง
“พี่ใหญ่เคยฝันร้ายบ้างไหม?” เจ้ารองถามเขา
“ฉันเคยนะ ฝันว่าขาหมูของฉันโดนกังเถี่ยที่นายพามาบ้านแย่งเอาไปกิน ฉันโกรธมากเลยเตะเขาตกน้ำ จากนั้นก็ตกใจตื่น” เจ้าใหญ่ตอบ
“แล้วเขาไม่จมน้ำเหรอ?” เจ้ารองเอ่ยพลางเบิกตากว้าง
“ไร้สาระน่า ในเดือนแรกใครเขาให้พูดอะไรไร้สาระกัน” หลินชิงเหอแทรก
แต่หลังจากพูดขัดไปแบบนั้นแล้ว สามพี่น้องก็เข้าใจ กลายเป็นว่าพ่อไม่ได้ตีแม่ แต่เป็นเพราะแม่ฝันร้ายแล้วพ่อเป็นคนปลอบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอายนะ แม่ไม่อนุญาตให้ลูกเอาไปพูดข้างนอก ไม่อย่างนั้นถ้าแม่จับได้แม้แต่คำเดียว คราวหลังแม่จะไม่ให้ลูกกินขนมทุกอย่าง แล้วแม่ก็รักษาคำพูดด้วย” หลินชิงเหอส่งสายตาเป็นเชิงเตือนให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารอง
เจ้าใหญ่กับเจ้ารองให้สัญญา ทำให้เธอรู้สึกวางใจ พวกเขาไม่บอกเรื่องที่แม่ของพวกเขาส่งเสียงร้องจากฝันร้ายจนพ่อต้องเป็นคนปลอบอย่างแน่นอน
“เห็นว่าลูกเป็นเด็กดี งั้นแม่จะให้รางวัลเป็นชุดใหม่คนละชุดแล้วกันนะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
“ฮิ ๆ แม่กำลังติดสินบนพวกเราอยู่เหรอครับ?” เจ้าใหญ่หัวเราะ
หลินชิงเหอยิ้มกลับด้วยความรู้สึกอยากตีเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ เด็กคนนี้นี่รู้จักใช้คำว่าติดสินบนด้วย!
และแล้วเรื่องนี้ก็จบลง
ขณะที่เด็ก ๆ ออกไปเล่นนอกบ้าน หลินชิงเหอก็เอ่ยเตือนโจวชิงไป๋ “ครั้งหน้าถ้าคุณทำอีก คุณนอนคนเดียวไปเลยค่ะ!”
“คุณเองก็ชอบเหมือนกันนี่” โจวชิงไป๋เอ่ยตรงไปตรงมา
ขณะที่เธอกอดเขา เธอก็กอดไว้แน่น หญิงสาวเองก็ร่วมมือกับเขาอย่างถึงใจ ราวกับต้องการรีดเขาจนแห้งเลยทีเดียว
หลินชิงเหอหน้าแดง “คราวหลังห้ามนะคะ”
โจวชิงไป๋เบนความสนใจมาที่ผ้าในมือของเธอ “คุณตัดชุดให้คุณกับเด็ก ๆ ไปเถอะ ผมมีพอแล้ว”
“ยังไงก็ต้องตัดชุดสำรองไว้ให้คุณเปลี่ยนอยู่ดีค่ะ” หลินชิงเหอบอก
เนื่องจากเธอมีรายได้จากการขายเนื้อหมูแล้ว เธอจึงไม่ต้องการให้ครอบครัวของเธอต้องอยู่อย่างแร้นแค้นใด ๆ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน รายได้ที่หญิงสาวนำเนื้อหมูไปขายก็สูงยิ่งกว่าเงินเดือนของซูต้าหลิน เนื่องจากราคาเนื้อหมูในตลาดมืดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเนื้อหมูชั่งหนึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เหมาเลยทีเดียว
และนับจากปีนี้ เธอก็วางแผนที่จะซื้อธัญพืชส่วนเกินจากฝ่ายผลิตในช่วงที่มีการแจกจ่ายอาหารและนำมันไปขายในตลาดมืดเพื่อเก็งกำไรส่วนต่าง
กำไรที่ได้จากเรื่องนี้นับว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ผลกำไรที่ได้ครั้งหนึ่งก็เทียบเท่ากับค่าแรงสองหรือสามเดือนเลยทีเดียว
ด้วยการที่มีพื้นที่มิติในมือ มันก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้เธอได้จริง ๆ เมื่อใช้มันทำธุรกิจนี้
หลินชิงเหอนำผ้าไปที่บ้านตระกูลโจวเพื่อไปยืมใช้จักรเย็บผ้าช่วยตัดเย็บชุด จากนั้นก็คุยกับสะใภ้สามเกี่ยวกับแผนที่โจวเสี่ยวเม่ยจะนำลูกมาฝากให้ท่านแม่โจวช่วยเลี้ยง
“เสี่ยวเม่ยพูดว่าเมื่อไหร่ที่พี่สะใภ้สามอยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด หล่อนจะส่งของกินที่มีประโยชน์ในการฟื้นฟูร่างกายมาให้ แล้วหล่อนก็หวังว่าเมื่อใดที่ฝากลูกมาให้เลี้ยงแล้ว พี่จะช่วยให้นมลูกของหล่อนได้น่ะค่ะ” หลินชิงเหออธิบายเรื่องนี้กับสะใภ้สาม
สะใภ้สามไม่แย้งในเรื่องนี้ และหล่อนก็ยินดีอย่างที่คาดคิดไว้ แล้วหล่อนก็ลดเสียงลง “แล้วสะใภ้รองล่ะว่าอย่างไร?”
“หล่อนมีอะไรเหรอคะ?” หลินชิงเหอชะงักไป
เธอยังไม่ได้ยินข่าวเรื่องที่ว่าสะใภ้รองตั้งครรภ์ ในช่วงเดือนแรกอากาศยังหนาวเย็นมาก เลยทำให้เธออยู่กับบ้าน อย่างมากที่สุดก็คุยกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างป้าสะใภ้หวงหรือไม่ก็ไปหาโจวต้งกับโจวซี เนื่องจากสะใภ้รองอยู่ที่บ้านตระกูลโจวซึ่งนาน ๆ เธอจะมาหาสักครั้ง เธอจึงไม่ทราบเรื่องนี้
เห็นว่าเธอยังไม่รู้ สะใภ้สามจึงได้บอกเธอ
มุมปากของหลินชิงเหอกระตุก แล้วเธอก็พูดอะไรไม่ออก พวกหล่อนตั้งครรภ์พร้อมกันทั้งหมดเลย
“หล่อนก็ส่วนหล่อน พี่ก็ส่วนพี่ ตอนที่เสี่ยวเม่ยแต่งงานออกไป หล่อนไม่เต็มใจจะฝากของชำร่วยมาสักชิ้น เสี่ยวเม่ยเลยไม่วานให้หล่อนช่วยเรื่องนี้น่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก จากนั้นก็มองสะใภ้สาม “แล้วพี่คิดว่าอย่างไรคะ?”
“ถ้าเธอไปที่อำเภอครั้งหน้า บอกหล่อนด้วยว่าพี่จะดูแลเรื่องนี้ให้นะ” สะใภ้สามยิ้มกริ่ม
กล่าวได้ว่านิสัยไม่นึกถึงผู้อื่นของสะใภ้รองทำให้หล่อนไม่ได้รับผิดชอบเรื่องของน้องสาวบ้านโจว หล่อนกับสะใภ้รองมีความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะดี แต่ลึก ๆ แล้วกลับไม่มีเลย
แล้วหล่อนจะยกของบำรุงร่างกายหลังคลอดให้กับสะใภ้รองได้อย่างไรล่ะ?
ต้องทราบก่อนว่าหล่อนให้กำเนิดอู่นีมาก่อน จากนั้นก็เป็นโจวต้งต้ง และลูกชายที่ยังไม่เกิด จากนั้นสะใภ้รองก็มาว่าหล่อนเป็นการส่วนตัวและเปิดเผย ทำราวกับหล่อนจะไม่มีทางให้กำเนิดบุตรได้อีก
ต้องบอกว่าไม่มีความยุติธรรมระหว่างสะใภ้ทั้งสอง มีแต่ความขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกัน
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกหล่อนก็อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน บางเรื่องจึงต้องอดทนซึ่งกันและกัน แต่สะใภ้สามก็ไม่อาจยกของบำรุงหลังคลอดที่โจวเสี่ยวเม่ยให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการรักษาน้ำใจของสะใภ้รอง
หลินชิงเหอยิ้มกว้างอย่างเห็นด้วย
“เจ้าใหญ่เรียนเป็นอย่างไรบ้างแล้วจ๊ะ?” สะใภ้สามถาม
“ไม่เลวเลยค่ะ ทุกครั้งเขากลับมาพร้อมกับคะแนนเต็มตลอด เขาเรียนรู้จดจำเนื้อหาวิชาเรียนในชั้นประถมปีที่สองได้ก่อนเพื่อนแล้วก็กำลังจะเลื่อนชั้นไปเรียนชั้นประถมปีที่สามในปีหน้าน่ะค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“ขึ้นชั้นประถมปีที่สามด้วยอายุเท่านี้น่ะเหรอ?” สะใภ้สามเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เขาจะโดนรังแกไหม?”
“มันจะดีกว่าค่ะถ้าเขาไม่รังแกคนอื่น” หลินชิงเหอกลั้วหัวเราะ
เจ้าใหญ่เป็นเด็กตัวใหญ่ทีเดียว แม้เขาจะมีอายุแค่ 7 ขวบ แต่เธอกับโจวชิงไป๋ก็ไม่ได้เตี้ย โจวชิงไป๋สูงมากกว่า 185 เซนติเมตร ขณะที่เธอสูงราว 160 ถึง 170 เซนติเมตร เจ้าใหญ่ได้รับพันธุกรรมมาทั้งสองทาง ตอนนี้เขาจึงมีขนาดตัวเทียบเท่ากับเด็กอายุ 9 ขวบโดยเฉลี่ย เขายังมีพละกำลังแข็งแรง จากการร่วมต่อสู้มาหลายครั้งและไม่เป็นอะไรเลย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สรุปพ่อไม่ได้ตีแม่ แต่แม่ฝันร้ายแล้วพ่อปลอบ จบนะเด็ก ๆ
ธุรกิจแม่กำลังไปได้ดีทีเดียวค่ะ เอาใจช่วยแม่นะคะ
ไหหม่า (海馬)