ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 106 เรียนหนังสือกันทุกคน
บทที่ 106 เรียนหนังสือกันทุกคน
แต่ภายใต้การสอนสั่งของหลินชิงเหอ เจ้าใหญ่ก็ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทมากนัก เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้เกี่ยวกับการต่อสู้ตัวต่อตัวที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เด็กผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้เมื่อตอนยังเด็ก เพราะมันมีความสำคัญต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
เธอไม่อาจเลี้ยงดูเขาเข้มงวดเกินไป
เจ้าใหญ่เป็นคนมุทะลุและเรียนเก่ง เขาจึงผูกมิตรกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น
สะใภ้สามได้ยินก็เอ่ยความเห็น “พี่เองก็อยากให้อู่นีเข้าโรงเรียนเหมือนกันนะ”
“งั้นก็ให้เธอเข้าเลยค่ะ” หลินชิงเหอจ้องมองหล่อนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยและตอบกลับ
ไม่มีเด็กผู้หญิงบ้านตระกูลโจวคนไหนได้เรียนหนังสือเลย ทั้งลูกสาวสามคนของสะใภ้ใหญ่ ลูกสาวสองคนของสะใภ้รอง และอู่นีผู้เป็นลูกสาวของสะใภ้สามต่างไม่เคยเข้าโรงเรียนกันทั้งสิ้น
แต่พวกเธอไม่ใช่ลูกของเธอและไม่อยู่ในความดูแลของเธอด้วย คงเป็นเรื่องดีหากเธอเลี้ยงดูเด็กผู้ชายได้ดี ดังนั้นเรื่องนี้เธอจึงไม่ได้พูด
แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อสะใภ้สามพูดถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็เลยให้คำตอบเชิงบวกไป
“เธอเองก็คิดว่ามันดีเหรอ?” สะใภ้สามมองเธอ
“แน่นอนค่ะว่าได้เรียนหนังสือจะเป็นเรื่องดีกว่า คนที่อ่านหนังสือได้จะฉลาดและมีโอกาสไม่สิ้นสุดในอนาคต ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งนาไปทั้งชีวิต เวลาเข้าเมืองทีก็จะกลายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองไป ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลยค่ะ ในตอนนั้นที่ครอบครัวตระกูลโจวเลือกฉันมาเป็นสะใภ้ พวกเขาก็ไม่เพียงมองรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาได้ยินมาว่าฉันเคยเรียนหนังสือมาก่อนและอ่านออกเขียนได้” หลินชิงเหอบอก
สะใภ้สามได้ยินดังนั้นก็ถามขึ้น “แล้วค่าเทอมมันแพงไหมจ๊ะ?”
“ไม่แพงหรอกค่ะ แค่ไม่กี่หยวน พี่กับพี่ชายสามสามารถจ่ายได้อยู่แล้ว ให้อู่นีเข้าโรงเรียนเถอะค่ะ หลังจากที่เธอโตขึ้น เธอจะรู้สึกซาบซึ้งต่อพี่แน่นอน” หลินชิงเหอพูด
“ไม่จำเป็นต้องรู้สึกซาบซึ้งหรอก ตราบใดที่เธอสบายดีก็พอแล้ว” สะใภ้สามยิ้ม
หลินชิงเหอพยักหน้า หัวอกของคนเป็นพ่อแม่ก็เป็นแบบนี้ พวกเขาหวังสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ เว้นแต่ท่านพ่อกับท่านแม่หลินเท่านั้น
สะใภ้สามตัดสินใจส่งอู่นีเข้าโรงเรียน
อู่นีรู้สึกปิติยินดีเมื่อได้ยินข่าวนี้ มีอู่นีที่สามารถไปโรงเรียนได้ แต่หลานสาวบ้านโจวคนอื่น ๆ กลับไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
ซานนีลูกสาวของสะใภ้รองก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่เมื่อเธอบอกเรื่องนี้กับแม่ สะใภ้รองก็ตัดความฝันของเธอ “เรียนหนังสืออะไรกันล่ะ? มันมีประโยชน์หรือไง? แกไม่เห็นพวกนักศึกษาจบใหม่ในหมู่บ้านเราเหรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเขากลับมาทำงานในทุ่งนาตามชนบทหรืออย่างไร?”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ซานนีหุบปากเงียบ
จากนั้นสะใภ้รองก็บ่นเรื่องนี้กับพี่ชายรอง “สะใภ้สี่รวยนี่ แล้วสะใภ้สามก็ทำตามหล่อน พวกหล่อนทำอะไรกันอยู่นะ?”
พี่ชายรองให้ความเห็นตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเงินหรอกนะ อีกไม่กี่ปีเราก็ส่งซานนีกับลิ่วนีเข้าโรงเรียนได้แล้ว”
แม้การเรียนหนังสือจะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องดี อย่างน้อยพวกเธอก็อ่านออกเขียนได้บ้าง
“ฉันไม่ให้ไปเรียนคนหนึ่งแต่คุณกลับอยากให้ไปเรียนทั้งสองคน คุณคิดว่าเงินในครอบครัวของเรามีเยอะขนาดปลิวไปกับสายลมง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? มีเด็กผู้หญิงสักกี่คนในหมู่บ้านกันที่เรียนหนังสือน่ะ?” สะใภ้รองเอ่ยอย่างเดือดดาล
ในวันสิ้นปีเมื่อปีที่แล้ว ทุกครอบครัวต่างได้เงินส่วนแบ่งบางส่วนหลังแยกครอบครัวกัน เงินนี้สะใภ้รองเป็นผู้ถือไว้อย่างแน่นหนาและไม่มีวันหยิบเอาออกมาใช้แน่นอน
ใช้ไปกับการศึกษาของลูกสาวงั้นเหรอ? สิ้นเปลืองเงินสิ้นดี หล่อนเองก็ไม่คิดที่จะส่งลูกชายเข้าโรงเรียนเหมือนกัน!
พี่ชายรองไม่ได้พูดอะไรต่อ
สะใภ้ใหญ่มาหาสะใภ้สามเป็นการส่วนตัวเพื่อถามว่าทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงอยากส่งอู่นีเข้าโรงเรียน?
“คือว่าฉันเห็นแม่เจ้าใหญ่ยังเรียนหนังสือด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน ก็เลยรู้สึกว่าคงจะดีไม่น้อยหากผู้หญิงได้เรียนหนังสือและอ่านออกเขียนได้มั้งคะ?”
หล่อนยอมรับว่าอิจฉาไม่น้อยยามเห็นสะใภ้สี่เขียนเรียงความได้ดีมากและยังอ่านหนังสือได้หลายเล่ม
ดังนั้นเมื่อหล่อนได้ยินพัฒนาการที่โรงเรียนของเจ้าใหญ่ จิตใจของหล่อนก็ปั่นป่วน ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้แยกครอบครัวกัน หล่อนจึงไม่กล้าพูดออกมา ตอนนี้พวกเขาอยู่แยกกันแล้ว หล่อนก็สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ ดังนั้นแล้วหล่อนจึงอยากจะส่งลูกสาวเข้าโรงเรียน
“เรียนหนังสือเป็นเรื่องดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” สะใภ้ใหญ่ยังมีท่าทางงุนงง
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันเคยถามแม่เจ้าใหญ่แล้ว หล่อนบอกว่าการไปโรงเรียนและอ่านออกเขียนได้จะทำให้หาสามีได้ง่ายขึ้นในอนาคตน่ะค่ะ” สะใภ้สามยิ้มกริ่ม
คำพูดเหล่านี้ทำให้สะใภ้ใหญ่คล้อยตาม ลูกสาวคนโตของหล่อนก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว หากเธอบอกว่าได้เรียนหนังสือขณะที่หาคู่ครอง ฝั่งพ่อแม่สามีของเธอก็คงให้ความนับถือเธอมากขึ้น
“งั้นพี่จะส่งต้านี เอ้อร์นี กับซื่อนีไปเรียนด้วยกันเลยดีไหม?” สะใภ้ใหญ่เอ่ยความเห็นอย่างลังเล
“เรื่องนี้ถามแม่เจ้าใหญ่เถอะค่ะ” สะใภ้สามยิ้มแห้งอย่างไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ได้ หล่อนจึงทำได้เพียงแนะนำดังนี้
สะใภ้ใหญ่เองก็รู้สึกว่าหลินชิงเหอมีความรู้รอบตัวดีมาก ดังนั้นเมื่อหลินชิงเหอมาที่บ้านตระกูลโจวเพื่อมาขอยืมใช้จักรเย็บผ้าอีกครั้ง หล่อนก็นำเรื่องนี้มาปรึกษาเธอ
“เป็นเรื่องดีแน่นอนค่ะที่จะให้สาว ๆ ได้เข้าโรงเรียน แต่พี่วางแผนว่าจะให้พวกเธอเรียนกี่ปีเหรอคะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก็ถึงระดับที่อ่านออกเขียนได้น่ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ
“ถ้างั้นก็ให้เรียนเถอะค่ะ สองหรือสามปีน่าจะพอแล้ว หากพวกเธอขยันขึ้น พวกเธอก็จัดการเรื่องต่าง ๆ ในบ้านได้ด้วย” หลินชิงเหอบอก
“น้องสะใภ้สี่เองก็เห็นด้วยเหรอจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่ยิ้มตอบ
“ฉันเห็นด้วยหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าพี่คิดอย่างไร ส่วนตัวแล้วฉันสนับสนุนให้เด็กผู้หญิงอ่านออกเขียนได้นะคะ ถึงตอนนั้นเราไม่มีข้อแม้อะไรแล้ว ตอนนี้พวกพี่ต่างแยกครอบครัวกันหมดแล้ว ถือว่าพี่เป็นหัวหน้าครอบครัวของตัวเองแล้วล่ะค่ะ” ประโยคสุดท้ายเธอพูดด้วยเสียงเบาลง ราวกับว่าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้มากนัก
สะใภ้ใหญ่พยักหน้า เรื่องนั้นไม่ถูกเหรอ?
ในอดีตที่ผ่านมา พวกเขามีความสุขกับการได้กินอาหารมากขึ้นอีกสักคำหนึ่ง พวกเขาไม่เคยคิดที่จะเรียนหนังสือมาก่อนเลย แต่ตอนนี้พวกเขามีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยเรียนหนังสือสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
“ต้านีไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วค่ะ เธอจะเป็นคนมีการศึกษาในทันทีที่เข้าโรงเรียน คนที่ไม่เหมาะสมจะไม่กล้าเข้าหาและขอแต่งงานด้วย” หลินชิงเหอบอก
สะใภ้ใหญ่ได้ยินก็พยักหน้า
จากนั้นหล่อนก็ตัดสินใจให้ลูกสาวทั้งสามคนได้เรียนหนังสือ แต่พวกเธอก็ยังต้องช่วยทำงานอย่างเช่นไปเก็บผักขมมาแลกกับแต้มค่าแรงมากขึ้น
เอ้อร์นีกับซื่อนีต่างยินดีปรีดา ขณะที่ต้านียังลังเล “แม่คะ หนูจะแก่เกินกว่าที่จะเรียนหรือเปล่าคะ?”
“แก่อะไรกัน? ลูกเพิ่งจะสิบสี่เองนะ เข้าไปเรียนหนังสือแค่สองปีเอง” สะใภ้ใหญ่เอ่ย
หลังเรียนหนังสือเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เธอก็ได้จะอยู่ที่บ้านเป็นเวลาอีก 4 หรือ 5 ปี ถึงตอนนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องแต่งงานพอดี
ดังนั้นเมื่อภาคการศึกษาใหม่เริ่มขึ้น เจ้าใหญ่ก็ได้พาบรรดาพี่สาวน้องสาวไปโรงเรียนและจ่ายค่าเทอม โดยมีโจวชิงไป๋ไปด้วย
เพราะการที่เจ้าใหญ่จะเลื่อนชั้นไปเรียนชั้นประถมปีที่สามได้จะต้องมีผู้ปกครองมาช่วยจัดการในเรื่องนี้
การเลื่อนชั้นของเจ้าใหญ่ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา อะไรกันน่ะ? ลูกชายคนโตของโจวชิงไป๋สามารถเรียนชั้นนี้ได้เหรอ? ไม่เพียงแต่เขาจะได้เรียนหนังสือเมื่อตอนอายุยังน้อย เขายังได้เลื่อนชั้นไปเรียนชั้นประถมปีที่สามอีกต่างหาก
เจ้าใหญ่รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับเรื่องนี้
แต่แล้วหลินชิงเหอก็สาดน้ำเย็นใส่เขา “ตอนนี้ดีใจไปก่อนเถอะ ครั้งนี้ลูกสอบผ่าน แต่ถ้าลูกเรียนในชั้นประถมปีที่สามได้ไม่ดี คนที่อิจฉาลูกในตอนนี้ก็จะกลายเป็นคนที่จะหัวเราะเยาะลูกในคราวหน้า”
“การเรียนของผมไม่ย่ำแย่หรอกครับ!” เจ้าใหญ่บอกแล้วก็ลงมือท่องจำบทความ
หลังท่องจำแล้วเขาก็ให้หลินชิงเหอตรวจทานให้เขา ต้องบอกว่าเด็กคนนี้มีความจำเป็นเลิศ เขาสามารถจำข้อความได้หลังอ่านมันไป 4 หรือ 5 ครั้งเท่านั้น
สมกับที่เป็นตัวร้ายในอนาคตจริง ๆ
หลังท่องจำข้อความเสร็จแล้ว เขาก็แก้โจทย์เลขก่อนจะวิ่งออกไปเล่นนอกบ้าน
หลินชิงเหอปล่อยให้เขาทำได้ตามใจชอบ ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไปเธอก็ได้ยัดหมั่นโถวพุทราจีนให้เขาทานรองท้อง
“แม่ครับ เมื่อไหร่ผมจะได้ไปโรงเรียน?” เจ้ารองถอนหายใจขณะเคี้ยวหมั่นโถวพุทราจีนตุ้ย ๆ
“ปีหน้าจ้ะ ปีนี้ลูกเรียนกับพี่ใหญ่ไปก่อนนะ ถ้าลูกไม่เข้าใจก็ถามเขา บางทีลูกอาจได้เข้าชั้นประถมปีที่สองได้เลย” หลินชิงเหอรู้ว่าไม่มีลูกชายคนไหนที่ถูกหลอกง่าย ๆ เลย เธอจึงทำเพียงให้คำตอบจริงจัง
“ก็ได้ครับ!” ดวงตาของเจ้ารองเป็นประกาย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่คือผู้เปลี่ยนแปลงที่แท้จริงค่ะ หลานสาวบ้านโจวได้เรียนกันเกือบทุกคนเลย
เด็ก ๆ จะมีพัฒนาการอย่างไรต่อ ติดตามตอนหน้าค่ะ
ปล. เดี๋ยวว่าง ๆ จะลองทำหมั่นโถวพุทราจีนดูบ้างดีกว่าค่ะ รู้สึกว่ามันน่ากินเหลือเกิน
ไหหม่า (海馬)