ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 155 มนุษยสัมพันธ์
บทที่ 155 มนุษยสัมพันธ์
หลินชิงเหอไม่รีบร้อนออกจากร้านค้าสหกรณ์นักและพูดคุยกับเสิ่นอวี้ เพราะเธอเองก็สนใจเรื่องการออกเดทของเสิ่นอวี้อยู่
เสิ่นอวี้ยังคงมีท่าทางเอียงอายเล็กน้อย โดยไม่ต้องให้หลินชิงเหอถามซ้ำ หล่อนก็เล่ามันออกมาทั้งหมด
คู่ของหล่อนชื่อว่าเฉินเจี๋ย เป็นชายหนุ่มที่ซื่อตรงอย่างยิ่ง เขาบอกหล่อนทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาเองอย่างเช่นเรื่องเงินเดือนที่ได้และเรื่องอื่น ๆ ทั้งหมด
“ติดที่ว่าบ้านของเขาค่อนข้างแออัดนี่สิคะ” เสิ่นอวี้ถอนหายใจ
อย่างอื่นดีหมด เว้นแต่บ้านของเฉินเจี๋ยแออัดเกินไปเพราะมีคนหลายคนอยู่ในบ้าน
“ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเขามีคนเยอะ แต่สภาพบ้านของเขาตอนนี้ยังเล็กเกินไปอีกด้วย คงจะดีหากหาที่อยู่ใหม่ได้” หลินชิงเหอเอ่ยตรง ๆ
อย่าคิดว่าการเป็นคนเมืองจะเป็นเรื่องน่าประทับใจ ภาพที่น่าประทับใจมันก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น เพราะต่อให้คนในเมืองมีงานทำ แต่สภาพความเป็นอยู่ในบ้านกลับเลวร้ายยิ่งกว่าคนที่อยู่ในชนบทเสียอีก
ห้องภายในอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ มีพื้นที่แค่ 10 กว่าตารางเมตร บางครั้งก็มีคนถึงสามชั่วรุ่นรวมกันสิบกว่าคนอาศัยอยู่ด้วยกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในยุคนี้ถึงย่ำแย่สุดขีด หากต้องการหาครอบครัวที่อยู่กันอย่างสันติสุขก็อาจจะหาไม่ได้เลย
และนี่ก็คือเหตุผล
การมีคนหลายคนอยู่กันอย่างเบียดเสียดนี่เอง ที่ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ระหว่างบุคคลหายไปหมด
“เรื่องหลักก็คือเธอกับเขาต่างมีงานทำกันทั้งคู่ หากเธอแต่งงานไปแล้ว ก็แค่กลับไปซุกหัวนอนที่นั่นตอนกลางคืนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ตลอดทั้งวันหรอก เรื่องนี้มันไม่สำคัญอะไรมาก” หลินชิงเหอพูด
“ฉันวางแผนว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านใหม่อยู่น่ะค่ะ” เสิ่นอวี้บอก
“นั่นต้องใช้เงินมากเลยนะ” หลินชิงเหออุทานขณะมองหล่อน
หญิงสาวไม่คิดเลยว่าจริง ๆ แล้วสาวน้อยคนนี้อยากจะซื้อบ้านด้วยตัวเอง
มันเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่จะซื้อบ้านในยุคนี้ แต่ก็มีบ้านไม่มากนักที่สามารถซื้อได้ และพวกเขาก็ต้องมีคุณสมบัติพอที่จะซื้อมันได้ด้วย ทุกคนต่างมีมาตรฐานพื้นที่บ้านของตัวเอง และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะอยู่ในบ้านหลังใหญ่
เพราะคนอื่น ๆ จะหาว่าพวกเขาหลงระเริงไปกับระบบศักดินาได้
แน่นอนว่าหากบ้านที่ได้อยู่เป็นมรดกตกทอดจากพ่อแม่เหมือนกับซูต้าหลิน โดยปกติแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร
ขณะที่พ่อแม่ของซูต้าหลินยังมีชีวิตอยู่ ปู่และย่าของเขาก็อยู่ในบ้านนั้นด้วย มันจึงมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับให้ทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกัน
แต่ในตอนนี้มันดูกว้างขวางนักโดยไม่ต้องสงสัยสำหรับซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ย
“มันใช้เงินเยอะมากเลยค่ะแล้วก็อาจจะซื้อไม่ได้ด้วย” เสิ่นอวี้คร่ำครวญ
“พี่รู้จักคนอยู่บ้างน่ะค่ะ พี่ถามให้เอาไหมคะ?” หลินชิงเหอบอก
ดวงตาของเสิ่นอวี้เบิกกว้างมองเธอพร้อมกับอุทานออกมา “พี่รู้จักคนบางคนจริง ๆ เหรอคะ?”
“พี่เองก็ไม่รู้นะว่าจะมีบ้านที่พอจะซื้อได้ไหม อย่าเพิ่งตั้งความหวังสูงเกินไปนะคะ ให้พี่ไปถามรายละเอียดให้เธอก่อน” หลินชิงเหอเอ่ย
“ถ้างั้นต้องรบกวนพี่สาวแล้วล่ะค่ะ ถ้ามีแบบเก่าหรือเล็กกว่าที่ฉันบอกก็ไม่เป็นไรนะคะ” เสิ่นอวี้เอ่ยรัวเร็ว
หลินชิงเหอให้สัญญาและเดินมาถามหญิงพนักงานเกษียณอายุที่เคยเย็บผ้านวมให้เธอ
“หนูอยากได้บ้านเหรอ?” หญิงชราถาม
“ฉันน่ะเหรอคะอยากได้บ้าน? หนึ่งในน้องสาวของฉันอยากแต่งงานแต่บ้านของฝ่ายชายมีห้องไม่พอให้อยู่ต่างหากล่ะคะ พวกเขาก็เลยอยากย้ายออกมาอยู่ข้างนอก” หลินชิงเหออธิบาย
เมื่อหญิงสาวเอ่ยดังนั้น หญิงชราผู้นี้ก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที ทุกครอบครัวในทุกวันนี้ต่างมีความต้องการเหมือนกันเลย
“ป้ารู้จักที่หนึ่งนะ แต่มันค่อนข้างโทรมแล้วก็เล็กอยู่น่ะ” คุณป้าเอ่ยขึ้น
เหตุที่หญิงชราคนนี้ให้การช่วยเหลือในสิ่งที่หลินชิงเหอต้องการก็เป็นเพราะว่าเธอนำเนื้อหมูมาขายให้นางบ่อย ๆ
บางครั้งนางยังถามรหัสลับเข้าตลาดมืดกับหลินชิงเหอด้วย
หลินชิงเหอถามหญิงชราว่าพอมีเวลาว่างไหม และตอนนี้นางก็กำลังว่างพอดี นางจึงพาเธอไปดูบ้านหลังนั้น
บ้านหลังนี้เล็กจริง ๆ มันมีพื้นที่ 10 ตารางเมตรอย่างมากและตั้งอยู่ตรงนั้นมานานจนดูเก่าคร่ำคร่า ต้องบอกว่าบ้านแบบนี้หายากยิ่งนัก
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงชราตัวเล็กที่อยู่กับหลานชายเพียงคนเดียว คนในบ้านมีแค่คู่ยายหลานคู่หนึ่งเท่านั้น
ทั้งคู่มีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ พวกเขาต้องการขายบ้านหลังนี้มาก แต่ติดตรงความจริงที่ว่าราคาบ้านค่อนข้างสูง จึงไม่มีใครมาขอซื้อเลย
บ้านหลังนั้นมีราคา 80 หยวน บวกกับคูปองอาหารอีกมูลค่า 50 ชั่ง
ราคานี้ถือว่าไม่ถูกเลยในยุคนี้ และบอกได้ว่าแพงไปด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น หลินชิงเหอก็ยังมาบอกเรื่องนี้กับเสิ่นอวี้
เสิ่นอวี้ไม่คิดเลยว่าจะได้รับข่าวเร็วขนาดนี้
“บ้านหลังนี้มีขนาดแค่ 10 ตารางเมตร ยิ่งกว่านั้นมันยังเก่านิดหน่อย คนขายบอกราคามาที่ 80 หยวนกับคูปองอาหารมูลค่า 50 ชั่ง ซึ่งถือว่าแพงมาก พี่จะให้ที่อยู่บ้านหลังนี้กับเธอนะ หลังเลิกงานเสร็จเธอก็พาผู้ชายของเธอไปเจรจากับทางนั้นดูว่าขอลดราคาได้ไหม ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พี่ต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” หลินชิงเหอบอกพลางเขียนที่อยู่ของบ้านหลังนั้นและยื่นให้กับสาวน้อย
“ขอบคุณพี่มากนะคะ” เสิ่นอวี้ตอบรัวเร็ว
เรื่องนี้ช่วยหล่อนได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากหล่อนกับเฉินเจี๋ยต่างต้องทำงาน จึงไม่มีเวลาไปสำรวจบ้าน หล่อนไม่คิดเลยว่าหลินชิงเหอจะมีเส้นสายดีขนาดหาบ้านมาได้หลังหนึ่งภายในบ่ายวันนี้
หลินชิงเหอโบกมือลาหลังทิ้งที่อยู่บ้านไว้ให้พนักงานสาว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับบ้าน
วันนี้เธอออกมานอกบ้านนานกว่าเดิมมาก ทำให้ท่านแม่โจวอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างกับเธอหรือไม่
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงครึ่งแล้ว หลินชิงเหอจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยและเริ่มเตรียมอาหารมื้อเย็นทันที
“ทำไมวันนี้เธอออกไปนานจริง?” ท่านแม่โจวถามพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นสะใภ้สี่กลับมาโดยไม่เผชิญอุบัติเหตุใด ๆ
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือน่ะค่ะ ฉันก็เลยช่วยหล่อนไป แล้วหล่อนก็ขายขนมไหว้พระจันทร์นี้ให้ฉันค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย
ถึงเธอจะแนะนำคู่ครองที่ดีเลิศให้กับคนอื่นได้ แต่ความสัมพันธ์ทางสังคมก็ไม่อาจใช้กับเรื่องนี้ได้เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนไม่ได้เป็นแบบทางเดียว
ดังนั้นเมื่อเสิ่นอวี้ต้องการความช่วยเหลือ เธอจึงให้ความช่วยเหลือกับหล่อน ในอนาคตเสิ่นอวี้จะได้ทำให้การซื้อของเป็นไปอย่างง่ายดายขึ้นในตอนที่เธออยากซื้ออะไรก็ตาม
นี่คือความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างผู้คน
“ขนมไหว้พระจันทร์นี่ราคาไม่ถูกเลยใช่ไหม?” ท่านแม่โจวถาม
“ฉันใช้คูปองอาหารบางส่วนไปน่ะค่ะ ส่วนของอื่น ๆ ไม่แพงเท่าไหร่” หลินชิงเหอตอบขณะทำอาหาร
ท่านแม่โจวเตรียมแป้งข้าวโพดบดไว้แล้ว หลินชิงเหอทำเพียงนำมันไปนึ่งในหม้อ เธอรีบจัดการกับปลาไหลนาที่โจวต้งนำมาให้เมื่อวานนี้ จากนั้นก็เตรียมนำมันไปนึ่งกับผักดอง
ปลาไหลนึ่งผักดองพร้อมขิงอีกนิดหน่อยแช่อยู่ในน้ำแกงข้นขาวมีรสชาติหวานอร่อยอย่างยิ่ง เด็ก ๆ ชอบกินมันอย่างมาก
จากนั้นก็เป็นผัดไข่คนกับแตงกวา อาหารมื้อเย็นส่วนมากเป็นแบบนี้แหละ
ปกติแล้วผัดไข่คนกับแตงกวาจะมีแตงกวาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนไข่นั้นใช้เพียงสี่หรือห้าฟองคนผสมกันก็พอ และเมื่อเอาไปผัดก็จะส่งกลิ่นหอมเฉพาะตัวออกมา นั่นเป็นเพราะเธอใช้น้ำมันหมูผัดทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน
พูดถึงน้ำมันหมูแล้ว หลินชิงเหอกับท่านแม่โจวก็มีวิธีใช้ต่างกัน
ทุกครั้งหลินชิงเหอจะตักน้ำมันหมูมาใช้กระบวยหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกปวดใจที่ได้เห็น เพราะน้ำมันหมูหนึ่งกระบวยสำหรับนางนั้นสามารถผัดกับข้าวได้สี่ถึงห้าอย่างเลยทีเดียว
แต่หลังจากหลายวันมานี้ ท่านแม่โจวก็รู้สึกคุ้นชินไปแล้ว
นางรู้ดีว่าหากเข้าไปยุ่ง สะใภ้ของนางจะต้องให้สามีภรรยาชราอย่างพวกเขากลับไปทำกับข้าวกินเองแน่
บรรดาคนแก่คนเฒ่าพูดเอาไว้ได้ดีว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตแบบประหยัดไปเป็นแบบหรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะที่การเปลี่ยนวิถีชีวิตจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดนั้นเป็นเรื่องยาก
ตอนนี้นางคุ้นเคยกับอาหารที่สะใภ้สี่ทำให้กินแล้ว ท่านแม่โจวก็รู้สึกไม่คุ้นเคยนักหากมีคนขอให้พวกเขากลับไปทำอาหารกินเอง
หลังจากอาหารสองจานของหลินชิงเหอถูกวางไว้บนโต๊ะ ท่านพ่อโจวกับโจวชิงไป๋ก็กลับมาพอดี เด็กชายทั้งสามก็กลับมาพร้อมกันด้วย โดยที่เด็กตัวเหม็นทั้งสามต่างมีสภาพมอมแมมกันหมดทุกคน
ในฤดูร้อนพวกเขาก็เนื้อตัวเลอะเทอะแบบนี้ คงความสะอาดกันไม่ได้หรอก
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นอกจากแม่จะเป็นแม่สื่อแล้ว แม่ก็ยังเป็นนายหน้าอสังหาฯ ได้ด้วยค่ะ นับถือๆ /ยกจอกชาคารวะ/
ผู้แปลอยากกินแกงปลาไหลจังน้า
ไหหม่า (海馬)