ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 194 ราคาบ้านในอนาคต
บทที่ 194 ราคาบ้านในอนาคต
ไม่นานนักมันก็เข้าสู่เดือนมิถุนายนแล้ว
โจวชิงไป๋ซื้อปุ๋ยมาจากนอกหมู่บ้าน พร้อมกันนั้นเขาก็นำเชอร์รี่กลับมาด้วยหนึ่งตะกร้า
หลินชิงเหอเห็นแล้วก็ประหลาดใจ “ที่นี่เราไม่มีเชอร์รี่เลยนะคะ”
“จากที่อื่นน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
เชอร์รี่มีรสหวานไม่น้อย โดยไม่รีรอ เธอก็นำมันไปล้างและใส่ชามใบหนึ่งเพื่อกินสด
“วันนี้ขอบคุณที่ทำงานหนักนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางกวักมือเรียกเขามากินด้วย
“ไม่เหนื่อยหรอก” โจวชิงไป๋ตอบ
จากนั้นเขาก็หยิบแหวนออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นแหวนหยกวงหนึ่ง ไม่ใช่แหวนทอง
ดวงตาของหลินชิงเหอเป็นประกาย ในยุคนี้ของเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นของแท้ทั้งนั้น
“คุณได้มาจากไหนเหรอคะ?” หลินชิงเหอมองเขา
“ผมเก็บได้จากบนถนนน่ะ” โจวชิงไป๋ตอบ
มุมปากของหลินชิงเหอกระตุก ต้องยอมรับว่ายุคนี้ไม่มีใครต้องการของจำพวกทองหรือหยกหรืออื่นๆ เลย ของเหล่านี้มักถูกโยนทิ้งขวางบนถนนตลอด
ต่อให้พวกมันมีมูลค่า ก็ต้องบอกว่าไม่มีใครกล้าเก็บมันไว้เลย พวกมันล้วนเป็นของจากยุคโบราณ และตอนนี้กฎหมายข้อห้ามนอกหมู่บ้านก็ยังมีน้ำหนักสูงอยู่ ต่อให้พวกเขาได้มันไปแล้ว จะมีใครกล้าอวดของพวกนี้ให้คนอื่นเห็นกันล่ะ?
พูดถึงเรื่องนี้ หลินชิงเหอก็ได้ของพวกนี้ส่วนหนึ่งจากตลาดมืดในอำเภอ เธอไม่กล้าแสดงความเคลื่อนไหวประเจิดประเจ้อใดๆ ทำเพียงเก็บสะสมสร้อยทองจำนวนหนึ่งไว้ ซึ่งประเมินว่าพวกมันจะมีมูลค่าเป็นหมื่นๆ หยวนในยุคต่อมา และพวกมันก็ไม่ใช่ทองหยองเล็กๆ ด้วย แต่เป็นสร้อยทองที่มีน้ำหนักทองค่อนข้างมากทุกเส้น
“ในอนาคตมันจะมีมูลค่าเยอะมากหรือเปล่า?” โจวชิงไป๋ถามขณะมองภรรยา
“มันก็เยอะแหละค่ะ แต่ในอนาคตสิ่งที่จะมีมูลค่ามากที่สุดก็คือบ้าน ถ้าในอนาคตเราไปที่เมืองหลวงและซื้อบ้านไว้สักหนึ่งหรือสองหลัง เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเลยล่ะค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยท่าทางฝันหวานว่าจะรวยในวันข้างหน้า
โจวชิงไป๋ยิ้ม “ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลนัก”
หลินชิงเหอเลิกคิ้ว “ทำไมคะ? คุณไม่เชื่อเหรอ? คุณรู้ไหมคะว่าในยุคอนาคตมันจะมีค่ากี่หยวน?”
“งั้นคุณบอกผมหน่อย” โจวชิงไป๋ถาม ด้วยอยากรู้ว่าประเทศนี้จะพัฒนาไปอย่างไรบ้างในอนาคต
หลินชิงเหอจึงอธิบายให้ฟัง ”บ้านทั่วไปที่มีขนาดพื้นที่มากกว่าหนึ่งร้อยตารางเมตรในเมืองที่ดีกว่านี้เล็กน้อยจะมีราคาอย่างต่ำหนึ่งล้านหยวน ต่อให้มันเป็นบ้านในเมืองธรรมดาๆ มันก็ยังมีราคาประมาณหลายแสนหยวน ส่วนราคาบ้านในเมืองหลวงว่ากันว่ามีราคาหนึ่งแสนหยวนต่อตารางเมตรเลยทีเดียวค่ะ”
โจวชิงไปรู้ว่าอนาคตจะดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอึ้งไปกับเรื่องนี้
สีหน้าของเขาในตอนนี้ช่างหาดูได้ยาก แสดงให้เห็นว่าเขาตกใจกับราคาบ้านในยุคหลังๆ มาขนาดไหน
“ถึงตอนนี้จะมีบ้านอยู่จำกัด แต่ราคาบ้านก็ฟังดูไม่เลวเลย” โจวชิงไป๋เอ่ย
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้มีการจัดสรรบ้านกันเหรอคะ? ตราบใดที่ไม่รีบนัก ทุกคนก็จะได้กันคนละหลัง แต่ราคาบ้านที่ได้คงไม่สูงนัก ความคิดของคนในยุคหลังแต่กต่างจากตอนนี้อีกค่ะ ทุกคนต่างอยากถือครองกันคนละชุด ราคามันก็เลยสูงขึ้น” หลินชิงเหออธิบาย
บ้านไม่ได้มีมูลค่ามากเท่ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย
แล้วตอนนี้เครื่องไฟฟ้ามีมูลค่าแค่ไหนล่ะ?
อย่างเช่นโทรทัศน์ โทรศัพท์ และอื่นๆ ที่เป็นของธรรมดาสามัญมากในยุคหลังๆ แต่ในยุคนี้มันกลับมีมูลค่าเป็นร้อยๆ หยวน
เธอเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานบ่นกันว่าพ่อของเธอเคยลงไปเมืองติดทะเลทางภาคใต้เมื่อนานมาแล้วและซื้อเครื่องเสียงมูลค่ามากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนมา หากราคาหนึ่งหมื่นหยวนเป็นราคาที่สามารถซื้อร้านค้าได้ในเมืองอันดับต้นๆ มันก็ถือว่าคุ้มแล้ว คนๆ นั้นจะใช้เวลาดิ้นรนน้อยกว่ากี่ปีกันล่ะ?
โจวชิงไป๋ย่นคิ้ว “เรามีลูกชายสามคนนะ”
“ใช่น่ะสิคะ มีแค่ครอบครัวฉันนี่แหละค่ะที่กล้ามีลูกมากขนาดนี้ในอนาคต” หลินชิงเหอกล่าวพลางถอนหายใจ มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่มีลูกมากในยุคที่มีการเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็วเช่นนี้?
“งั้นคราวที่แล้วคุณเข้าไปในเมืองหลวงเพื่อทำอะไรเหรอ?” โจวชิงไป๋มองภรรยา
“คุณเข้ามาก่อนค่ะ” หลินชิงเหอพาสามีเข้ามาในห้อง
จากนั้นเธอก็หยิบทองแท่ง กำไลทอง ปิ่นหยก และแจกันโบราณจากเมืองหลวงออกมา
ของพวกนี้จะมีมูลค่าคิดเป็นเงินจำนวนมากในอนาคต อีกทั้งแสตมป์ที่เธอเก็บสะสมไว้ก็มีมูลค่ามหาศาลด้วย
แต่โจวชิงไป๋ไม่มีสีหน้าว่าจะมีความสุขเลย เขาจ้องมองของเหล่านี้ด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด สายตาจับจ้องอยู่ที่หลินชิงเหอ
ต่อมาหลินชิงเหอก็ตระหนักได้ว่าเธอทระนงตัวเกินไป
ช่วยไม่ได้นี่นะ เธอมีมิติเป็นสูตรช่วยโกงอยู่ จึงใช้โอกาสในยุคนี้เก็บสะสมของไว้หลายอย่างแต่ก็แบ่งปันความสุขกับคนอื่นไม่ได้ เธอจึงได้แต่เก็บซ่อนไว้ด้วยความลำบากยากเย็น มันก็เลยทำให้เธออวดของกับเขาอย่างภาคภูมิใจในทันทีที่เขาเปิดประเด็นขึ้น
เธอรีบหาทางลงให้ตัวเองอยู่ในหัว
“ฉันสัญญาค่ะว่าในอนาคตจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ คราวหน้าเราจะไม่ไปที่ฝั่งนั้นของเมืองหลวง ฉันลืมไปแล้วว่าหล่อนหน้าตาเป็นยังไง และหล่อนเองก็คงจะลืมฉันไปแล้วเหมือนกัน” หลินชิงเหอให้คำปฏิญาณอย่างแยบคาย
ตอนนี้เองโจวชิงไป๋ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อไป “ในอนาคตมันมีมูลค่ามากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คุณยังแตะต้องมันไม่ได้หรอก ยิ่งกว่านั้นมีของแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”
เขายังคงจ้องมองเธอขณะที่เอ่ย
หลินชิงเหอพยักหน้าอย่างเชื่อฟังทันที “ฉันจะเชื่อฟังคุณค่ะ!”
โจวชิงไป๋ได้ยินดังนี้ก็ยกมือฟาดก้นของเธอ ทำให้หลินชิงเหอหน้าแดง “ทะลึ่ง”
แววตาสนุกสนานฉายในดวงตาของโจวชิงไป๋ เขาเอ่ยเสียงทุ้มพร่า “มันหมดแล้วหรือยัง?”
หลินชิงเหอหน้าแดงด้วยความอายแต่ยังคงพยักหน้า
โจวชิงไป๋พยักหน้าและเดินไปผ่าฟืน คืนนี้เขาจะได้กินเนื้อแล้ว
หลินชิงเหอให้เขาไปเลี้ยงหมูหลังผ่าฟืนเสร็จ ส่วนเธอนั่งเย็บพื้นรองเท้า บ่ายวันนี้เธอไม่ต้องไปสอนหนังสือ เธอก็เลยไม่ต้องไปโรงเรียน จึงค่อนข้างจะว่างงานอยู่
ไม่นานนักโจวชิงไป๋ก็เตรียมอาหารหมูเสร็จและเดินไปเลี้ยงหมู หลินชิงเหอวางพื้นรองเท้าลง เริ่มทำความสะอาดหม้อ ก่อนฆ่าปลาไหลที่พักไว้ในอ่าง
ปลาไหลนาตัวนี้หนักราว 250-300 กรัม โดยที่ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมมันจะมีน้ำหนักราว 350-400 กรัม
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ปลาไหลนาตัวนี้ก็ถือว่าอ้วนท้วนไม่น้อย
หลินชิงเหอหยิบมีดมาเชือดปลาไหลไปเจ็ดตัว จากนั้นก็หยิบผักดองออกมา ซึ่งปลาไหลตุ๋นผักดองนับว่าเป็นอาหารอันโอชะอีกอย่างหนึ่ง
มันยังมีถั่วพร้า กะหล่ำปลี และซุปมะเขือเทศใส่ไข่ เมื่อวางตั้งเคียงกับหมั่นโถวแล้ว ก็นับว่าอาหารมื้อเย็นเสร็จสมบูรณ์พอดี
ความจริงแล้วคุณค่าทางอาหารของอาหารมื้อนี้ไม่เลวเลย ต่อให้จะไม่ค่อยอุดมไขมันก็ตาม
ยิ่งกว่านั้นมันยังมีความกดดันจากการต้องเลี้ยงลูกชายทั้งสาม มันเริ่มเห็นได้ชัดเจนในตอนที่เจ้าใหญ่อายุสิบขวบ
ในตอนนี้เด็กคนนี้กินจุมาก พ่อของเขากินหมั่นโถวได้ห้าลูกต่อมื้อ ขณะที่เขากินได้สี่ลูก และไม่มีท่าทีว่าจะอิ่มน้ำซุปเลย
ส่วนหลินชิงเหอกินหมั่นโถวชนิดนี้แค่ครึ่งลูกก็พอแล้ว
แม้แต่เจ้ารองในตอนนี้ก็ยังกินมากกว่าเธอ เขากินหมั่นโถวได้สองลูกครึ่ง
ปริมาณการกินของหลินชิงเหอนั้นพอๆ กับเจ้าสาม โดยอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าเจ้าสามกินปลาไหลมามาก หากไม่แล้วเขาก็จะกินหมั่นโถวได้สองลูก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็น้ำตาตกใน
มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอต้องขายต่อเนื้อหมูกับธัญพืชเช่นเดียวกับการต้องรับงานประจำกับแต้มค่าแรงสิบแต้มของโจวชิงไป๋ เหนืออื่นใดนั้น เด็กๆ พวกนี้ก็ช่วยเหลืองานได้ และพวกเขาก็ยังมีหมู หากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ชีวิตของเธอก็คงไม่ง่ายนัก…
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อก่อนท่านแม่โจวถึงเตือนให้เธออยู่อย่างมัธยัสถ์กว่านี้ ตอนนี้เธอคิดออกแล้วว่ามันมีเหตุผลในตัวเองอยู่ นางเคยเลี้ยงลูกชายสี่คนมาก่อน…
หลินชิงเหอสอนหนังสือจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน จากนั้นทางโรงเรียนก็เริ่มมีการเรียนการสอนแค่ครึ่งวันเช้า เนื่องจากการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนกำลังจะเริ่มต้น
ท้องฟ้าในตอนนี้ช่างสวยจริงๆ
กลางเดือนมิถุนายนยังคงมีฝนอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนนี้ ท้องฟ้ากลับใสปลอดโปร่งเมื่อเริ่มการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อน ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านต่างบอกกันว่าเป็นเพราะเทพเจ้ากำลังประทานอาหารให้พวกเขา
ในตอนสิ้นเดือนนี้เอง เสียงแตรสัญญาณการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนก็ดังขึ้น
……………………………………………
สารจากผู้แปล
แม่ชี้ช่องทางรวยให้พ่อแล้วค่ะ เหลือแค่รอโอกาสเท่านั้นเอง
ว่าแต่พ่อคะ ที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่แม่นี่คือมีแผนจะกินแม่เหรอคะ ร้ายกาจจจ
ไหหม่า(海馬)