ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 195 เงินออมในครอบครัว
บทที่ 195 เงินออมในครอบครัว
ทุกปีจะมีการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อน และทุกครั้งทุกคนก็ยังคงมีความกระตือรือร้นไม่คลาย
หลินชิงเหอสอนหนังสือในตอนเช้าครึ่งวันและออกจากโรงเรียนในตอนบ่าย แม้เงินเดือนและแต้มค่าแรงจะถูกหักเหลือครึ่งเดียว แต่เธอก็ยังได้รับธัญพืชหยาบไม่กี่ชั่งเมื่อการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนสิ้นสุด
ปีที่แล้วพวกเขาได้เมล็ดข้าวโพด ส่วนปีนี้ไม่แน่ใจว่าจะได้อะไร แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นข้าวโพดเหมือนกัน
หลินชิงเหอไม่กังวลกับเรื่องนี้เลย เธอมีหน้าที่เตรียมหุงหาอาหารทุกวันอยู่แล้ว
หลายปีผ่านมานี้โจวชิงไป๋ไม่ได้แก่ตัวเร็วนักนับตั้งแต่ที่เขาลาออกจากกองทัพอันเนื่องมาจากอาหารการกินของเขา เมื่อเทียบให้พี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง และพี่ชายสามมายืนข้างเขา มันก็เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
โจวชิงไป๋อ่อนกว่าพี่ชายสามอยู่ 2 ปี แต่พี่ชายสามกลับดูแก่กว่าโจวชิงไป๋ถึง 5 ปี เขาแก่ตัวเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
การทำเกษตรกรรมเป็นงานใช้พลังงานหนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างประหยัดมัธยัสถ์ด้วย แล้วพวกเขาจะไม่ทรุดโทรมยันกระดูกได้อย่างไรล่ะ?
แน่นอนว่าถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน พี่ชายสามนับว่ามีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่า เพราะว่ามีผู้หญิงบางคนในหมู่บ้านที่ขี้เหนียวอย่างมากอยู่ พวกหล่อนคือตัวอย่างของความสุดโต่ง ทำให้สามีของพวกหล่อนเป็นลมล้มพับจากการอดอาหารขณะทำงานในแปลงนาได้
หลินชิงเหอนึกไม่ออกเลยว่าทำไมพวกเขาถึงมีความคิดแบบนี้
อย่าว่าแต่ในชนบทเลย แม้แต่ในเมืองก็ตาม หากหัวหน้าครอบครัวล้มลงมันก็เท่ากับว่าฟ้ากำลังจะถล่ม การทำให้สามีของตัวเองอดอาหารจนถึงขั้นนี้ได้มันไม่ใช่การอยู่อย่างประหยัดหรอก แต่เป็นการจงเกลียดจงชังสามีทางอ้อมมากกว่า
อาหารฝีมือหลินชิงเหอเยี่ยมยอดอยู่เสมอ
ท่านพ่อโจว โจวชิงไป๋ และเด็ก ๆ ทั้งสามที่มีส่วนร่วมในการเก็บเกี่ยวประจำฤดูร้อนต่างได้ทานชุนปิ่งกันหมด
ต่อให้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่ก็ยังกินชุนปิ่งได้อยู่
ชุนปิ่งนี้อัดแน่นไปด้วยแตงกวา ไข่ กุยช่าย ถั่ว และหมูที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนนำไปผัดและใส่ในแผ่นแป้งในสภาพพร้อมทาน นอกจากนี้ยังมีซุปกระดูกหมูที่ใส่ไว้ในมิติขณะปั่นจักรยานมาที่แปลงนาก่อนจะนำออกมาใส่ตะกร้าเมื่อถึงที่แล้ว
เทียบกับชุนปิ่งที่พวกเขากินแล้ว อาหารของคนอื่นก็ดูธรรมดาไป
ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นแป้งจี่ที่ทำจากแป้งสองชนิดกับหมั่นโถวแป้งผสมที่มีแป้งสาลีขาวเพียงเล็กน้อยคู่กับผักดอง ส่วนของคนที่แย่หน่อยก็เป็นแป้งจี่กับน้ำเปล่า
มันเป็นแบบนี้เสมอ นับจากเวลาที่พวกเขาทำงานอีกครั้งในตอนเที่ยงจนถึงตอนพักงานในช่วงบ่ายแล้ว ทุกคนล้วนหิวจนไส้กิ่วแทบติดกับสันหลังเลยทีเดียว
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเขากินกันอย่างไร แม้แต่ท่านพ่อโจว โจวชิงไป๋ และเด็กชายทั้งสามที่กินมาอิ่มท้องก็ยังรู้สึกหิวเช่นกัน
โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าในทันทีที่กลับถึงบ้าน มันก็จะมีน้ำแกงหอม ๆ หมั่นโถวนุ่ม ๆ นึ่งใหม่ ๆ และอาหารแสนอร่อยหลายชนิดรอคอยพวกเขาอยู่
สามวันระหว่างการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน โจวชิงไป๋ก็กลับมาพร้อมกับหิ้วกระต่ายตัวหนึ่งมาด้วย
เป็นเรื่องปกติที่โจวชิงไป๋จับกระต่ายมาเป็นอาหารได้ในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ในหลายปีที่ผ่านมามีปีไหนที่เขาจับไม่ได้บ้างล่ะ?
ในเมื่อเขาจับมาได้ตัวเดียว หลินชิงเหอก็ย่อมไม่แบ่งให้ใคร เธอให้โจวชิงไป๋จัดการชำแหละมันก่อนที่เธอจะนำไปตุ๋น
และก็เป็นอีกครั้งที่คนหลายคนจะมานั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่งพร้อมกับชามข้าว หากพวกเขาได้กลิ่นอาหาร มันก็ให้ความรู้สึกว่ากินข้าวได้มากขึ้น
“ฝีมือการทำอาหารของคุณครูหลินช่างไร้เทียมทานจริง ๆ”
คนที่เดินผ่านหน้าบ้านอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกและเอ่ยแสดงอารมณ์ออกมา
ต่อให้ผู้หญิงบางคนจะได้เนื้อมาทำอาหาร แต่พวกหล่อนก็ยังทำอาหารสู้เธอไม่ได้ พวกหล่อนขาดทักษะการทำอาหารโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับฝีมือการทำอาหารของหลินชิงเหอที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน
หลังกินอาหารแสนอร่อยเสร็จ เจ้าสามก็เปิดประตูบ้านออกไปเล่นโดยมีซูเฉิงน้อยติดตามไปด้วย
การได้กินอาหารแสนอร่อยเช่นนี้ทำให้ต้องปิดประตูทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นมันก็จะสร้างความเกลียดชังเอาได้
เจ้าสามกับซูเฉิงน้อยออกไปเล่นนอกบ้านขณะที่โจวเซี่ยรออยู่ตรงหน้าบ้านแล้ว เมื่อเขาเห็นเจ้าสามออกมา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง พร้อมกับเอ่ยรัวเร็ว “เจ้าสาม ยังมีเนื้อกระต่ายเหลืออยู่ไหม?”
“แน่นอนว่ามันไม่เหลือแล้วครับ ทุกคนกินกันหมดแล้ว พี่ไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านเหรอครับ?” เจ้าสามถาม
“ฉันกินมาแล้วล่ะ แต่ว่ามันไม่มีเนื้อเลย” โจวเซี่ยถอนหายใจเมื่อได้ยินว่าเนื้อกระต่ายหมดเกลี้ยงแล้ว
“ช่วยไม่ได้นะครับ ถ้าพี่เกิดเป็นลูกของพ่อแม่ผมก็คงจะได้กิน” เจ้าสามบอก
โจวเซี่ยหลุบตามองต่ำ เขาเองก็อยากเป็นลูกของคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่เหมือนกัน น่าเศร้าที่เขาไม่ใช่!
ตอนนี้เขาโตขึ้นบ้างแล้ว จึงไม่อยู่ในภาพมายาอีกต่อไป เขาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่เขาแล้วและไม่อาจเปลี่ยนเป็นลูกของคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ได้
“แต่ซูเฉิงน้อยไม่ใช่ลูกของคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่เหมือนกันนี่นา” โจวเซี่ยมองซูเฉิงน้อย
ซูเฉิงน้อยนิ่งไป เขาตอบไม่ได้ก็เลยหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสามผู้เป็นพี่ชาย
“พ่อของเฉิงเฉิงน้อยเอาอาหารกับไข่มาให้ทุกเดือนแถมยังเอาลูกอมนมมาให้ด้วย มันก็เลยไม่ใช่การอยู่แบบเปล่า ๆ แถมเขายังตัวเท่านี้เขากินหมั่นโถวลูกหนึ่งยังไม่ได้เลย พี่น่ะกินจุกว่าผมอีก” เจ้าสามอธิบาย
เขายังคงปกป้องลูกพี่ลูกน้องของเขา
“ถ้าฉันกินไม่เยอะ ฉันก็จะหิวบ่อยน่ะ” โจวเซี่ยตอบ
“พี่อยากเล่นลูกแก้วหรือเปล่า?” เจ้าสามเอ่ยชวน
“เล่นสักหน่อยก็ได้” โจวเซี่ยพยักหน้า
พวกเขาจึงพาซูเฉิงน้อยไปที่ลานหน้าบ้าน วาดวงกลมขึ้นมาวงหนึ่ง จากนั้นก็เล่นดีดลูกแก้วกัน ไม่นานนักเด็กคนอื่น ๆ ก็มาเล่นด้วยกันกับพวกเขา
เฟยอิงที่นั่งเฝ้าบ้านมองพวกเขาเล่นกันที่ลานหน้าบ้านขณะที่มันกำลังเคี้ยวกระดูกกระต่าย
กล่าวตามตรง อาหารของเฟยอิงดีกว่าอาหารของหลายครอบครัวในหมู่บ้านเสียอีก
เฟยอิงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ไปแล้ว แม้มันจะไม่ค่อยปรากฏตัวนัก แต่มันก็ทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้ดีเยี่ยม มีมันอยู่ที่บ้านแล้วก็ทำให้หลินชิงเหอไปไหนมาไหนได้สะดวกใจขึ้น
“เจ้าสาม เฉิงเฉิง ได้เวลาอาบน้ำแล้ว” หลังเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง เจ้ารองก็ออกมาตะโกนเรียก
เจ้าสามเก็บลูกแก้วและพาซูเฉิงน้อยเข้าบ้าน เด็กคนอื่น ๆ ยังคงเล่นต่อแต่ไม่นานนักพวกเขาก็ถูกเรียกตัวกลับบ้าน
จังหวะชีวิตผู้คนในชนบทช่างเนิบนาบ แต่ถึงอย่างนั้นวันเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนในแต่ละวันกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อธัญพืชทั้งหมดถูกเก็บเกี่ยว มันก็ถูกแบ่งไปให้ส่วนแบ่งสาธารณะ จากนั้นจึงมีการแบ่งธัญพืช ซึ่งหลินชิงเหอก็ยังคงนำมันไปขายในอำเภอ หลังขายได้เป็นเงินร้อยหยวน เธอก็ซื้อน้ำมันถั่วลิสงมา 2-3 ขวดกับไข่อีกหลายตะกร้าเก็บเข้ามิติเพื่อใช้ในคราวหลัง
หลินชิงเหอใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ทุกครั้งเธอเข้าไปในอำเภอซื้อของมามากมายจริง แต่เธอก็ไม่ได้แตะเงินออมของเธอเลย
เงินที่เธอได้จากการขายเนื้อหมูนับว่าพอใช้แล้ว และมันก็ยังมีเงินเหลือเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก
คราวที่แล้วเธอนับเงินดูก็พบว่าเงินเก็บที่บ้านมีเยอะเกินกว่า 3,000 หยวน อันเป็นจำนวนที่โจวชิงไป๋นำกลับมาบ้านในตอนแรกจนถึง 4,000 หยวนแล้วในตอนนี้ โดยมีเงินอยู่เกือบ 4,500 หยวนเลยทีเดียว
ในยุคนี้เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นเงินก้อนโตอย่างแท้จริง
การมีเงินถึงจำนวนนี้ได้ นั่นก็เพราะในครอบครัวมีการใช้จ่ายมากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็จะมีเกิน 6,000 หรืออาจจะถึง 7,000 หยวน
แต่หลินชิงเหอรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะลดค่าเลี้ยงดูครอบครัวลงเพียงเพื่อจะประหยัดเงิน 2,000 หยวนนั้น
ดังนั้นอะไรที่ควรจ่ายก็ยังคงจ่าย ส่วนแผนที่เธอจะไปปักกิ่งเพื่อซื้อบ้านเดี่ยวในอนาคตนั้น ถึงเวลามันคงจะมีหนทางเอง ไม่ต้องกลัวว่ามันจะถูกขายหมดหรอกถูกไหม?
ทันทีที่ข้อห้ามทั้งหลายถูกยกเลิกมันก็เป็นโอกาสที่จะทำ การคว้าโอกาสสร้างความร่ำรวยในตอนนั้นคงไม่มีอะไรที่ง่ายดายกว่านี้อีกแล้ว
แต่ในตอนนี้เรื่องพวกนั้นยังไกลตัวอยู่นัก
การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนสิ้นสุดแล้ว และเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของหลินชิงเหอ ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนหมายความว่าเธอจะไม่ต้องไปสอน และแน่นอนว่ามันก็จะไม่มีเงินเดือนกับแต้มค่าแรงด้วย
ระหว่างการแจกจ่ายอาหาร ทางโรงเรียนก็ได้แจกข้าวโพดให้กับคุณครูคนละ 30 ชั่ง ผลประโยชน์ที่ได้นี้นับว่าดีไม่น้อย
……………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจ้าสามนี่อนาคตทนายแน่ ๆ เลยค่ะ พูดปกป้องเฉิงเฉิงน้อยได้ขนาดนี้
ส่วนแม่ก็เป็นนายหน้าค้าบ้านได้เลยนะคะ หนทางรวยอยู่ไม่ไกลแล้ว
ไหหม่า(海馬)