ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 206 งานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปี 1974
บทที่ 206 งานเลี้ยงอาหารเย็นวันสิ้นปี 1974
สถานการณ์ของท่านพ่อโจวคลี่คลายแล้ว ทุกคนในบ้านตระกูลโจวต่างพากันโล่งอก
อาการป่วยของท่านพ่อโจวเกิดขึ้นแบบปุบปับและรุนแรง ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกหวาดผวา ไม่ใช่แค่นางคนเดียว พี่ชายใหญ่กับคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกร้อนใจมากด้วย
เมื่อคืนนี้ท่านพ่อโจวถึงกับเริ่มเพ้อไม่เป็นภาษาและทำท่าอยากจะเอ่ยคำสั่งเสียสุดท้าย
แต่โชคดีที่สะใภ้สี่มียารักษา หลังได้กินยาแล้วเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม
แล้วคนในตระกูลโจวจะไม่ถอนหายใจอย่างโล่งอกกับเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ?
จากความสำเร็จของหลินชิงเหอในตอนนี้ มันก็ทำให้ตำแหน่งของเธอในตระกูลโจวมั่นคงไม่สั่นคลอนตราบใดที่เธอไม่ได้ทำอะไรล้ำเส้น
สะใภ้ใหญ่กับคนอื่น ๆ ไม่สามารถเทียบตัวเองกับเธอได้เลย
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เทียบตัวเองกับเธอหรอก เพราะพวกเขาเองก็โล่งใจเหมือนกัน
ในช่วงพักฟื้นร่างกายของท่านพ่อโจว ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าอาหารที่เขาได้กินมันเป็นอาหารดีขนาดไหน มันดีเลิศเลยล่ะ เหนือสิ่งอื่นใด บวกกับร่างกายอันแข็งแกร่งเป็นธรรมดาของชายชราแล้ว เขาก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้ภายใน 2 วันหลังหายไข้ดีแล้ว
ในตอนนี้มันก็ใกล้ถึงวันสิ้นปีแล้ว
แม้ท่านพ่อโจวจะฟื้นตัวอย่างมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา แต่เขาก็มีน้ำหนักลดลงเช่นกัน เพราะเขาเองก็แก่มากแล้ว การอดทนได้ถึงขนาดนี้มันใช้พลังกายพลังใจของเขาไม่ใช่น้อย
หัวหน้าหมู่บ้านได้มาแสดงความห่วงใยด้วยตัวเอง เขาเอ่ยติดตลกว่า “พี่ชายเฒ่า คราวหน้าอย่าหักโหมมากเกินไปเหมือนครั้งนี้นะ ชิงไป๋กับพี่ ๆ ของเขาต่างมีกำลังความสามารถกันทุกคน พวกเขาไม่ปล่อยให้คุณกับสะใภ้ของผมไม่มีอะไรกินหรอก”
“ถ้าธัญพืชปีนี้ไม่ได้รับการเก็บเกี่ยวก็อย่าคิดจะฉลองวันปีใหม่เลย มันเหนื่อย” ท่านพ่อโจวตอบ
ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าเขามีอาการป่วยสืบเนื่องมาตั้งแต่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ช่วยไม่ได้นี่นะ อากาศในปีนี้เลวร้ายขนาดนี้ มันจึงไม่อาจปล่อยไว้ล่าช้าได้จริง ๆ
หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับยอมรับในจิตสำนึกของเขา
“แต่อาการเจ็บป่วยนี้มันส่งผลเรื้อรังอยู่ ผมกลัวว่าในอนาคตอาจไม่สามารถทำงานได้อีกต่อให้อยากจะทำก็ตาม” ท่านพ่อโจวพูดต่อ
เขารู้สึกว่าต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ๆ ไม่อาจหักโหมเกินกำลังของตัวเองได้ หากเขาทำแบบนั้นเขาก็คงจะม่องเท่งภายในเวลาไม่กี่ปี
หัวหน้าหมู่บ้านเองก็เห็นด้วย หลังทำงานหนักมาทั้งชีวิตแล้ว เขาควรจะได้ผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับการตอบแทนจากลูกชายและลูกสะใภ้บ้างถูกไหม?
ในวันที่ยี่สิบเก้า โจวชิงไป๋ก็เข้าอำเภอและนำผลสาลี่กลับมาหนึ่งถุงตาข่าย
โดยไม่ต้องกล่าว ท่านพ่อโจวก็ได้ส่วนแบ่งด้วยเป็นจำนวนครึ่งถุงตาข่าย
ท่านพ่อโจวเก็บไว้กับตัวจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายให้กับหลาน ๆ ที่เหลือ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เด็ก ๆ ปิติยินดีเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันสิ้นปี
“คุณพ่อตั้งใจจะให้ทั้งครอบครัวมากินอาหารเย็นด้วยกันน่ะ” ท่านแม่โจวมาแจ้งเรื่องนี้กับหลินชิงเหอ
“ตกลงค่ะ งั้นแต่ละครอบครัวจะนำอาหารของตัวเองมาแบ่งกันนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อได้ยินดังนี้
ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม นางเดินไปแจ้งเรื่องนี้กับสะใภ้คนอื่น ๆ ตราบใดที่สะใภ้สี่เห็นด้วย สะใภ้อีกสามคนก็ไม่มีปัญหา
ทั้งซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยต่างถูกพ่อพากลับเข้าไปในอำเภอเพื่อฉลองปีใหม่ เนื่องจากฤดูหนาวปีนี้หนาวทารุณมาก จึงว่ากันว่าคนในเมืองจะไม่ต้องไปทำงานจนกว่าจะถึงวันที่สิบห้าของเดือนมกราคม ซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานอยู่
ฝั่งหลินชิงเหอเตรียมอาหารไว้ 5 จาน มีหมูผัดมันฝรั่ง หมูตุ๋นกับวุ้นเส้น ซี่โครงหมูตุ๋นซีอิ๊ว หมูตุ๋นหนึ่งจาน และแกงจืดกระดูกหมูกับหัวไชเท้าหม้อหนึ่ง
อาหารแต่ละจานนับว่าเป็นอาหารชั้นยอด
อีกสามครอบครัวาก็ให้ความร่วมมือมากเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็เตรียมอาหารไว้หลายจาน
เนื่องจากคนในครอบครัวมีมากเกินไป พวกเขาจึงต้องแยกอาหารออกเป็นสองโต๊ะ
นับตั้งแต่แยกครอบครัวออกไปก็ไม่มีการรวมครอบครัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ แต่เนื่องจากท่านพ่อโจวป่วยหนักและอยากเห็นอะไรแบบนี้ ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็รู้สึกมีความสุขที่จะทำให้เขาพอใจ
ดังนั้นในทันทีที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน พวกเขาก็เริ่มกินอาหารมื้อเย็นเป็นการฉลองวันสิ้นปี
ที่โต๊ะอาหารมีแต่การกล่าวถึงการเก็บเกี่ยวในหลายปีที่ผ่านมาและความเป็นไปของแต่ละครอบครัว
ตระกูลโจวกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดก็คือครอบครัวของโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอที่คนในหมู่บ้านไม่ได้มีความคาดหวังมากขนาดนี้มาก่อน
กล่าวได้ว่าม้ามืดได้เผยตัวออกมาแล้ว
อีกสามครอบครัวก็นับว่าไม่แย่เหมือนกัน ลูกสาวของพี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่เติบโตขึ้นแล้ว โดยเฉพาะโจวต้านี
ทันทีที่ช่วงวันหยุดในปีหน้ามาถึง หล่อนก็จะแต่งงาน
ความจริงแล้วทางฝั่งครอบครัวลูกเขยอยากจะให้แต่งงานหลังปีใหม่ แต่สะใภ้ใหญ่ต้องการอยู่กับลูกสาวคนโตนานกว่านี้ พวกเขาจึงตกลงกันได้ว่าจะจัดงานแต่งในช่วงวันหยุดปีหน้า
สะใภ้รองกับสะใภ้สามก็มีความเป็นไปที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน พี่ชายรองกับพี่ชายสามไม่ใช่คนขี้เกียจ ตราบใดที่ชายผู้เป็นเสาหลักครอบครัวมีความรับผิดชอบ ผู้หญิงในครอบครัวก็จะคอยดูแลบ้าน แล้วชีวิตของพวกเขาจะแย่ลงได้อย่างไรล่ะ?
พวกเขาทั้งหมดต่างมีเงินเก็บเล็ก ๆ น้อยๆ กันทุกคน
ดังนั้นทุกคนจึงกินอาหารจนอิ่มหนำสำราญใจในงานเลี้ยงอาหารเย็นฉลองวันสิ้นปี
หลังกินข้าวเสร็จ หลินชิงเหอก็สนทนากับสะใภ้ทั้งสาม
“ซานนี พาลิ่วนีไปช่วยพี่สาวกับคนอื่น ๆ ล้างจานด้วยนะ” สะใภ้รองสั่ง
โจวซานนีเห็นด้วย แต่โจวลิ่วนีไม่อยากไป ทว่าไม่กล้าจะพูดต่อหน้าแม่ของหล่อน หล่อนจึงเดินมาที่ครัวและเอ่ยขึ้น “มีคนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ไม่ต้องให้หนูทำก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“พี่เห็นเธอกินเนื้อ ปลา ไข่เข้าไปเยอะเลยนะ พอเป็นเรื่องล้างจานเธอกลับอิดออดไม่อยากทำงั้นเหรอ?” โจวซานนีไม่ได้พูดประโยคนี้ หากแต่เป็นโจวอู่นีลูกสาวสะใภ้สามที่แค่นเสียงเย็นชา
“พี่พูดอะไรน่ะ? ไม่ใช่ว่าพี่ก็กินด้วยเหรอ? หนูคิดว่าพี่กินมากกว่าหนูอีก!” โจวลิ่วนีสวนกลับทันที
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เธอน่ะกินมากที่สุด” โจวซื่อนีลูกสาวของสะใภ้ใหญ่ชี้มาที่โจวลิ่วนี
พวกหล่อนต่างเป็นพยานได้ แม้มันจะเป็นโอกาสหายากที่จะได้กินอาหารดี ๆ แบบนี้ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องไร้เกียรติอยู่ดีกับการทำตัวแบบสัมภเวสีหิวโหยที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
โจวลิ่วนีรู้สึกไม่พอใจ “พวกพี่รังแกหนู!”
หลังเอ่ยดังนี้ หล่อนก็วิ่งหนี
“หึ หาข้ออ้างไม่อยากทำงานอีกล่ะสิ” โจวอู่นีเอ่ยพลางคว่ำปากลง จากนั้นก็หันมาพูดกับโจวซานนี “พี่ซานนี ทำไมพี่ถึงตามใจหล่อนละคะ? หล่อนทำตัวแบบนั้นอนาคตจะหาสามีดี ๆ ได้เหรอ?”
โจวซานนีส่ายหน้า “พี่ไม่ได้ตามใจหล่อนเลย”
หากเธอไม่ทำงานบ้าน มันก็จะคงอยู่อย่างนั้นหรือไม่ก็ต้องรอจนกว่าแม่ของหล่อนจะกลับมาทำด้วยตัวเอง
โจวซานนีเลยไม่เถียงกับน้องสาว หากหล่อนเต็มใจที่จะทำหล่อนก็ลงมือทำ หากหล่อนไม่อยากทำมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าหล่อนจะต้องทำมากขึ้น มันไม่ใช่งานหนักหนาอะไรเลย
แต่สาว ๆ เหล่านี้กลับมีความสุขมากขึ้นในตอนที่ไม่มีโจวลิ่วนีผู้ใจแคบและตีสองหน้าอยู่ด้วย พวกหล่อยคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานขณะทำงานด้วยกัน
หลินชิงเหอคุยกับสะใภ้ใหญ่และคนอื่น ๆ มากกว่าหนึ่งชั่วโมง ในช่วงนี้เธอก็ให้เจ้าใหญ่กลับไปเอาของหวานที่บ้านมาแบ่งกันกิน เกิดเป็นบรรยากาศอันรื่นเริงบันเทิงใจ
แต่การร่วมโต๊ะอาหารเย็นในวันปีใหม่อย่างครั้งนี้มีแค่ปีนี้ปีเดียว
หากปีหน้าพวกเขาอยากจะกินอะไรแบบนี้อีก ครอบครัวของเธอจะไม่เข้าร่วม
เป็นเพราะว่าเธอทนไม่ได้กับการกินของโจวลิ่วนีในระหว่างที่กินอาหารกัน แล้วสะใภ้รองก็ไม่ห้ามปรามหล่อนเลยสักนิด เธอจึงไม่อาจกินอาหารร่วมกับพวกเขาได้
ส่วนปีนี้ก็ลืม ๆ ไปเถอะ ถือซะว่าเป็นการเติมเต็มความปรารถนาของผู้ใหญ่แล้วกัน
เมื่อใกล้จะได้เวลาแล้ว หลินชิงเหอก็พาเด็ก ๆ กลับบ้านไปก่อน
ส่วนโจวชิงไป๋ยังคงจับกลุ่มอยู่กับพี่ชายใหญ่และคนอื่น ๆ เป็นโอกาสหายากนักที่พวกเขาจะได้มารวมตัวกัน ดังนั้นอยู่นานอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร
โจวชิงไป๋ไม่ได้กลับมาที่บ้านจนกระทั่งเลยสี่ทุ่มไปแล้ว
แม้เขาจะไม่พูดอะไรมาก หลินชิงเหอก็ยังเห็นว่าเขาอารมณ์ดีจากสีหน้าที่แสดงออกมา เธอรินน้ำผสมน้ำผึ้งอุ่น ๆ ให้เขาดื่มหนึ่งแก้วก่อนจะให้เขาเข้านอน
“ภรรยาครับ” โจวชิงไป๋ก้าวขึ้นมาบนเตียงเตาและกอดเธอไว้
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นานมากแล้วที่ครอบครัวนี้ไม่ได้มากินข้าวด้วยกันในวันสิ้นปี เป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นอยู่นะคะ แต่ก็…
พ่อคะ…ครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา จะกินแม่อีกแล้วเหรอคะ ๕๕๕
ไหหม่า (海馬)