ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 295 ไม่ให้โอกาส
บทที่ 295 ไม่ให้โอกาส
หลินชิงเหอไม่ได้ก้าวก่ายกับทางเลือกของลูกชายทั้งสามมากนัก พวกเขาถูกเธอเลี้ยงดูมา และล้วนไม่ใช่คนที่จะไร้ความคิดเป็นของตัวเอง ดังนั้นให้พวกเขาวางแผนอนาคตของตัวเองจะดีกว่า
เธอทำได้เพียงให้คำปรึกษาบางอย่างกับพวกเขา
หญิงสาวกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไม่สนใจที่จะดูทีวี เธอจึงทิ้งลูกชายทั้งสามไว้ในบ้านและมาที่ร้านเกี๊ยว
เธอไม่ได้บอกเด็ก ๆ ว่าออกไปแล้ว พวกเขาเจอสิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้ก็จริง แต่อีกไม่กี่วันก็เลิกเห่อไปเอง
ช่วงนี้โจวชิงไป๋กำลังว่างงาน แต่เป็นเพราะแนวคิดริเริ่มของลูกชายคนโตที่ขายเกี๊ยวสดด้วย เขากับคุณป้าหม่าเลยต้องทำเกี๊ยวต่อ
เฒ่าหวังเองก็อยู่ที่นั่นด้วย หลินชิงเหอเห็นแล้วก็เอ่ยทัก “เมื่อคืนนี้คุณลุงหลับสบายไหมคะ”
“มันเย็นมากเลย” เฒ่าหวังพยักหน้า
เมื่อคืนนี้เขาหลับสบายมาก การมีพัดลมไฟฟ้าใช้มันช่างสบายจริง ๆ
“ดีแล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยต่อ “คุณลุงคะ สองเดือนมานี้คุณลุงกับคุณป้าหม่าคงจะเหนื่อยมากสินะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มีอะไรให้ทำบ้างมันทำให้ป้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทั้งวันเลยล่ะ” คุณป้าหม่าตอบอย่างร่าเริง
จากนั้นเฒ่าหวังก็ถามถึงเรื่องภาคใต้ของประเทศ
หลินชิงเหอจึงเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ให้ฟัง
คุณป้าหม่าได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจมาก “ทางฝั่งนั้นพัฒนาจนถึงขั้นนั้นแล้วเหรอเนี่ย?”
“ฝั่งเราก็ไม่ด้อยไปกว่ากันหรอกค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย
มันก็ไม่เลวนัก แต่พูดตามตรงก็คือสินค้าในเมืองหลวงไม่ได้มีหลากหลายมากมายเท่ากับทางภาคใต้
แต่การพัฒนาของเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องตลกแต่อย่างใด มันเปลี่ยนไปในทุกวันด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่กี่ปีมันก็จะกลายเป็นโลกอีกใบ
หลินชิงเหอนั่งอยู่ที่ร้านเกี๊ยวครู่หนึ่งก่อนจะมาที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน
เธอมาที่นี่ทำไมน่ะหรือ? แน่นอนว่ามาซื้อบ้านอย่างไรล่ะ!
เธอต้องการตรวจดูว่ามีใครต้องการจะขายอสังหาริมทรัพย์ของพวกเขาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือว่าร้านค้า เธอเต็มใจซื้อหมด
แน่ล่ะ คุณรู้อะไรไหม มีคนอยากจะขายด้วยล่ะ
หลินชิงเหอนำจักรยานที่ซื้อมาจากทางภาคใต้ออกมาจากมิติและขี่กลับบ้าน ลูกชายคนเล็กสองคนต่างอิดออดที่จะตามไปและนั่งดูทีวีต่อ เธอจึงพาโจวข่ายมาที่ร้าน จากนั้นก็พาโจวชิงไป๋ที่ได้พักมายังสำนักงานจัดการทรัพย์สินกับเธอ
เธอติดตามผู้คนจากสำนักงานจัดการทรัพย์สินมาพร้อมกับชิงไป๋ของเธอเพื่อมาดูร้านค้า
มันไม่ได้เป็นแค่ร้านค้า แต่ยังเป็นบ้านอีกด้วย เป็นบ้านขนาดเล็กที่มีสวนหน้าบ้าน
หลินชิงเหอไม่ได้อยากซื้อร้านค้า แม้จะรู้ว่าที่ดินทุกตารางนิ้วจะกลายเป็นทำเลทองในยุคต่อมา แต่เธอก็ไม่ได้อยากได้ที่ตรงไหนก็ได้ เพราะตอนนี้บริเวณรอบ ๆ ดูเงียบสงบอย่างมาก
บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นแบบเรือนสี่ประสาน(1) จึงไม่นับว่าเป็นบ้านที่มีลานบ้านในตัว แต่เป็นบ้านที่มีสวนหน้าบ้าน
ถึงอย่างนั้นตำแหน่งที่ตั้งของมันก็ดีมาก
แม้คิดตามราคาตลาดของยุคนี้ ราคาของบ้านหลังนี้ก็ยังมากกว่า 7,000 หยวน ซึ่งไม่ถือว่าถูกเลย
เธอพยายามต่อรองราคาแล้วก็ไม่สามารถขอลดได้ มันยังคงขายอยู่ที่ราคานั้น
แต่หลินชิงเหอก็ยังซื้อบ้านหลังนี้
ในที่สุดบ้านหลังนี้ก็ถูกลงนามซื้อภายใต้ชื่อของหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋
ไม่ต้องบอกเลยว่าหลินชิงเหอจะอารมณ์ดีขนาดไหนตอนได้รับโฉนดบ้านแล้ว
“ถ้ามีร้านค้าในบริเวณที่คนพลุกพล่าน คุณสามารถแจ้งฉันได้ไหมคะ?” หลินชิงเหอบอกกับพนักงาน
“ครับ เราจะคอยดูให้คุณนะครับ” พนักงานมองสามีภรรยาคู่นี้แล้วก็รู้ว่าครอบครัวนี้มีฐานะร่ำรวย เขาก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ
หลินชิงเหอจึงให้เบอร์โทรศัพท์สำนักงานของเธอในมหาวิทยาลัยกับเขา ต่อให้เธอไม่อยู่ที่นั่น เพื่อนร่วมงานที่รับสายก็จะเป็นคนบอกเธอ
หลังซื้อบ้านใหม่แล้วหลินชิงเหอก็อารมณ์ดีสุดขีด เธอกลับไปที่บ้านพร้อมกับโจวชิงไป๋
“คุณลุงหวังน่าจะมีวิธีอยู่นะ ทำไมคุณถึงไม่บอกคุณลุงหวังล่ะ?” โจวชิงไป๋ถาม
“เรามาที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณลุงหวังหรอก ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังว่าเราได้เงินมากขนาดนี้มาจากไหน” หลินชิงเหออธิบาย
เธอมีการตัดสินใจของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนำเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาซื้อร้านเกี๊ยว
แล้วจะมีเงินเหลือมากขนาดนั้นเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์อื่นได้อย่างไรล่ะ?
ดังนั้นช่างมันเถอะ อย่างอื่นค่อยซื้อทีหลังก็ได้ พวกเขาไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว
โจวชิงไป๋พยักหน้าและไม่ว่ากล่าวอะไร
หลังมหาวิทยาลัยเปิดภาคการศึกษา หลินชิงเหอก็กลับไปทำงาน เด็ก ๆ เองก็ตั้งใจเรียนหนังสือ ขณะที่โจวชิงไป๋ดำเนินกิจการร้านต่อ
หลินชิงเหอนึกว่าความสนใจของเด็ก ๆ ที่มีต่อทีวีจะมีไม่กี่วันเสียอีก เห็นชัดว่าเธอประมาทแรงดึงดูดของทีวีเข้าเสียแล้ว
แต่โชคดีที่ผลการเรียนของพวกเขาไม่ได้ลดถอยลง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อดดูทีวีไปได้เลย
แต่หลินชิงเหอก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยสั่งสอน
“หลังเลิกเรียนแล้วรีบไปช่วยพ่อขายเกี๊ยวนะ ถึงบ้านปุ๊บดูทีวีปั๊บนี่ลูกอยากโดนตีกันเหรอ? ถ้าไม่ฟังงั้นแม่ขายต่อทีวีนะ เชื่อหรือเปล่าล่ะ?”
จากนั้นทั้งสามพี่น้องก็ถูกส่งไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยว
หลินชิงเหอเตรียมการเรียนการสอนและนอนพักในห้องของเธอ พอใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น เธอก็ออกจากห้องเพื่อมาที่ร้านเกี๊ยว
“คุณป้าคะ” ทันทีที่ออกจากห้อง หญิงสาวก็ได้เจอกับจางเหมยเหลียนที่เรียกเธออยู่พอดี
“ฉันไม่ขอตอบอะไรเธอนะถ้าเธอเรียกฉันว่าคุณป้า” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างสุภาพ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเฉยเมย
“คุณป้าคะ ฉันขอเข้าไปดูทีวีในบ้านคุณได้ไหมคะ? ฉันเห็นเสี่ยวเฉวี่ยนกับคนอื่น ๆ กำลังดูอยู่แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจน่ะค่ะ” จางเหมยเหลียนเอ่ย
ไม่ใช่ว่าหลินชิงเหอไม่รู้ความคิดของหล่อนที่มีต่อลูกชายคนโตของเธอ หล่อนน่ะขึ้นบัญชีดำไปพร้อมกับพี่สาวหล่อนแล้ว ได้ยินแบบนั้นหลินชิงเหอจึงยิ้มออกมา “ไม่มีทางหรอกจ้ะ ถ้าเธอเป็นผู้ชาย เธอก็เข้ามาได้ แต่เธอเป็นผู้หญิงขณะที่พวกเขาเป็นผู้ชาย ดังนั้นเธออยู่ห้องเดียวกับพวกเขาไม่ได้หรอก แล้วเธอก็โตถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วด้วย มันคงไม่ดีต่อชื่อเสียงของเธอนักหากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไป”
หลังพูดจบแล้ว หลินชิงเหอก็ผละจากไป
หลังจากที่เธอเดินลงมายังชั้นล่างแล้ว สะใภ้บ้านจางก็ออกมาจากห้อง หล่อนมองจางเหมยเหลียนแล้วก็พูดขึ้น “น้องสาว อย่าหาว่าพี่พูดเลยนะจ๊ะ เธอยังอยากจะมีไมตรีด้วยทั้งที่ได้ความเย็นชากลับมาอยู่อีกเหรอ หล่อนแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าไม่ชอบใจในตัวเธอ จงฟังพี่สะใภ้คนนี้และเตรียมแต่งงานกับคนที่พี่แนะนำให้เธอเถอะ”
“ผู้ชายคนนั้นจะเทียบกับโจวข่ายได้ยังไงคะ” จางเหมยเหลียนเม้มปาก
เดิมทีหล่อนวางแผนจะไปช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวช่วงฤดูร้อนนี้ แต่เฒ่าหวังกับคุณป้าหม่าดันอยู่ที่นั่น โดยเฉพาะคุณป้าหม่า ที่ถ้าหล่อนไปที่นั่นแล้วก็อย่าหวังว่าจะตกอะไรได้เลย
หล่อนเลยไม่ได้ไปที่นั่น ซึ่งหล่อนไม่มีโอกาสได้ติดต่อโจวข่ายเป็นการส่วนตัวเลย
สวรรค์จะรู้ว่าหล่อนชอบเด็กหนุ่มคนนี้ขนาดไหนกัน อีกอย่างหนึ่งเด็กอายุเท่านี้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เขาคงว่าอะไรหล่อนไม่ได้ในเรื่องที่หล่อนคิดไม่ซื่อกับเขา
เด็กคนนี้ยังไม่เคยลิ้มรสชาติของสตรีเพศเลย ซึ่งเขาคงไม่คิดมากนักหลังหล่อนให้เขาได้ลิ้มรสแล้ว
แต่หล่อนไม่เคยได้รับโอกาสนี้เลย
“ตอนนี้เขาเพิ่งจะ 16 ปีและอีก 2 ปีข้างหน้าก็อายุ 18 ส่วนเธออายุเท่าไหร่แล้วในตอนนี้? เธอจะรอเขางั้นเหรอ? พี่ได้ยินมาว่าเขากำลังจะไปเข้ากรมด้วยนะ” สะใภ้บ้านจางเอ่ย
“เข้ากรมก็ยิ่งดีเลยค่ะ ฉันคงจะไปเยี่ยมเขาง่ายขึ้น” จางเหมยเหลียนได้ยินดังนี้ก็ตาลุกวาว “ลองนับเวลาดูแล้ว เขาจะเรียนจบปีหน้าใช่ไหมคะ?”
“ใช่จ้ะ จบปีหน้า” สะใภ้บ้านจางปากกระตุก
“เยี่ยมไปเลยค่ะ” จางเหมยเหลียนเอ่ย
สะใภ้บ้านจางเอ่ยเยาะอยู่ในใจ ครอบครัวตระกูลโจวไม่มีความนับถือใด ๆ ทั้งสิ้นขนาดนี้ แถมอีกฝ่ายยังเป็นนักเรียนดีเด่นอีก ทำไมพวกเขาถึงจะต้องการคนอย่างเธอด้วย?
สะใภ้บ้านจางอยากให้น้องสามีแต่งงานออกไปเร็ว ๆ และหยุดทำตัวเป็นภาระที่บ้านเสียที ดังนั้นหล่อนจึงหันหลังเดินกลับไปโน้มน้าวแม่สามี
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)- ลักษณะบ้านคนจีนปักกิ่งที่มีส่วนที่พักอาศัยล้อมสี่ด้าน ตรงกลางเป็นลานบ้านไว้ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว (ภาพจาก https://images.app.goo.gl/Jdb6ESB9XuhMo8peA)
สารจากผู้แปล
แม่รวยมากค่ะ ได้บ้านอีกหลังแล้ว
จางเหมยเหลียนน่ากลัวใช่ย่อย แม่แสดงออกว่าไม่อยากได้สะใภ้แบบนี้แล้วก็ยังไม่ปล่อย ใครก็ได้ลากหล่อนออกไปทีค่ะ
ไหหม่า(海馬)