ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 327 คนน่ารังเกียจ
บทที่ 327 คนน่ารังเกียจ
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าจางเหมยเหอไม่ได้สนใจในตัวโจวชิงไป๋
ผู้ชายแบบโจวชิงไป๋เป็นแบบที่ผู้หญิงสาวสะพรั่งเต็มตัวแล้วมักจะชื่นชอบ ด้วยรูปร่างที่สูงและร่างกายแข็งแรงบึกบึน สมเป็นชายชาตรีอย่างมาก
ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจพวกผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย
บางคนที่ไปกินเกี๊ยวที่ร้านถึงกับอดไม่ได้ที่จะแอบมองเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องเพราะหลินชิงเหอไม่ชอบใจนักที่เขาเริ่มเจ้าเนื้อมากเกินไปเมื่อปีที่แล้ว เขาจึงเริ่มหันกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งในปีนี้ บางโอกาสเขาจะให้ลูกชายคนโตมารับช่วงดูแลร้านแทนเพื่อที่เขาจะได้ไปสนามบาสเกตบอลที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเพื่อเล่นบาสเกตบอล
เขาจึงมีรูปร่างที่ดีมาก
หลินชิงเหอไม่สามารถปล่อยมือออกห่างจากเขาได้เลย
จะไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้อื่นได้อย่างไรล่ะ? โดยเฉพาะจางเหมยเหอผู้ซึ่งแต่งออกไปและมีความสัมพันธ์กับหนุ่มข้างบ้านนั้น เมื่อหล่อนหันกลับมามองก็ยังพบว่าคนโปรดของหล่อนเป็นโจวชิงไป๋อยู่ดี
แต่จะทำอะไรได้ บุปผาร่วงหล่นมีใจแต่สายน้ำกลับไร้ไมตรี โจวชิงไป๋ไม่แม้แต่จะชายตามองมาที่หล่อนตั้งแต่ต้นจนจบ
สะใภ้ตระกูลจางจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าหล่อนเป็นคนที่มีศีลธรรมอะไรบ้าง หล่อนจึงเอ่ยปาก “ฉันว่านะคะพี่สาว พี่น่าจะหยุดมองได้แล้ว ด้วยท่าทางแบบนี้ของเขา แล้วเขาจะไปมองพี่ได้อย่างไรกันคะ?”
ในเดือนมีนาคมของปีนี้ สะใภ้บ้านจางได้ให้กำเนิดลูกชายคนโตกับบ้านตระกูลจาง ตอนนี้หล่อนมีความมั่นใจขึ้นมามากในเรื่องคำพูดคำจา และไม่สามารถเก็บปากเก็บคำไว้ได้เช่นกัน
“ทำไมเขาจะไม่สนใจล่ะ? เธอไม่เห็นหรือว่ายัยคนแซ่หลินนั่นหยิ่งยโสขนาดไหน? ผู้ชายที่ไหนจะไปชอบผู้หญิงอย่างนั้นกัน?” จางเหมยเหอย้อนกลับ
หล่อนได้เผชิญหน้ากับหลินชิงเหอมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว หลินชิงเหอเป็นคนนิสัยอย่างไร? หลินชิงเหอไม่แยแสหล่อนโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างไรพวกหล่อนต่างก็เคยฉีกหน้ากันมาแล้ว ดังนั้นหล่อนยังจะตีหน้าแบบไหนได้อีก?
หลินชิงเหอจะให้เกียรติผู้หญิงที่กล้าไปสนใจสามีของหล่อนอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง
“ไม่ชอบคนแบบอาจารย์หลินงั้นหรือ? แล้วเขาควรจะมาชอบคนแบบพี่เนี่ยนะคะ?” สะใภ้จางเอ่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ
“ฉันเป็นยังไง?” จางเหมยเหอรู้สึกว่าตนเองยังคงดูดีอยู่มาก
ผู้ชายที่หล่อนแต่งงานไปด้วยก็ดีมากทีเดียว อย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้หล่อนพึงพอใจได้มาก แต่เขาเปลี่ยนอาชีพและจะกลับบ้านได้เพียงแค่เดือนละ 2 หรือ 3 วันเท่านั้น นี่มันไม่ใช่อยู่อย่างกับตนเป็นแม่ม่ายอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นในคืนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เมื่อเด็กทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว ผู้ชายที่อยู่ข้างบ้านก็เข้ามาเอาถังน้ำที่บ้าน
จากนั้นหล่อนก็พาเขากลับมาที่ห้องและต่อจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามธรรมชาติ
แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเขาไม่กล้าที่จะทำเรื่องอย่างนั้นที่บ้านทุกครั้ง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าถึงจะออกไปหาห้องพักที่ข้างนอกแล้ว พวกเขาก็ยังถูกภรรยาของผู้ชายคนนั้นจับได้อยู่ดี
ตอนที่ถูกจับได้เป็นตอนที่พวกเขากำลังเดินจับมือถือแขนกันออกมาพอดี จากนั้นภรรยาของฝ่ายชายก็ไปถามพนักงานของที่พักว่าพวกเขาเป็นแขกที่มาที่นี่เป็นประจำหรือเปล่า?
ไม่ต้องพูดอะไรแก้ตัวอีก พวกเขาไปที่นั่นกันบ่อยมาก พนักงานยืนยันพร้อมบอกว่าพวกเขาไปที่นั่นเป็นประจำประมาณ 3 ถึง 4 ครั้งต่อสัปดาห์
ในตอนนั้นเองที่ทุกอย่างถูกเปิดโปงออกมา
อดีตสามีของหล่อนก็ไม่สามารถรับได้กับเรื่องประเภทนี้เช่นกัน
เนื่องเพราะเวลาในการเข้างานของเขาถูกปรับเปลี่ยน ดังนั้นจำนวนครั้งที่ได้กลับบ้านในแต่ละเดือนก็ถูกจำกัดลงจนเหลือน้อยมาก ดังนั้นภรรยาที่เขาแต่งกลับมาคนนี้มีอะไรกับเขาน้อยกว่ามีกับเจ้าคนข้างบ้านนั่นเสียอีก ยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่ไหม?
เขาซ้อมเจ้าคนข้างบ้านนั่นจนน่วมและหย่าขาดจากหล่อน
สะใภ้บ้านจางรู้เรื่องเหล่านี้ดี ดังนั้นจางเหมยเหอจึงได้รับคำพูดเยาะเย้ยถากถางจากหล่อนมากมาย ในเวลานี้เมื่อหล่อนได้ยินคำพูดยกตัวเองเสียจนสูงส่งของจางเหมยเหอแล้ว หล่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่สาว ครอบครัวนี้คงไม่สามารถเลี้ยงดูคนได้จำนวนมากนักหรอกนะคะ ถ้าพี่มีความสามารถถึงขนาดนั้นจริง ๆ พี่ก็อย่ามาเป็นภาระให้กับที่บ้านเลยค่ะ”
หลังจากที่สามารถกำจัดจางเหมยเหลียนน้องสาวคนเล็กของสามีออกไปได้แล้วในที่สุด พี่สาวคนโตของสามียังจะกลับมาอีก
สะใภ้บ้านจางรู้สึกว่าชีวิตของหล่อนช่างเลวร้ายจริง ๆ
สามีของหล่อนกลับบ้านได้แค่เดือนละ 1 ครั้ง น้อยกว่าสามีเก่าของจางเหมยเหอเสียอีก นอกจากนั้นเขายังกลับมาได้แค่อย่างมาก 2 วันต่อเดือนเท่านั้น
ดังนั้นตั้งแต่แต่งเข้ามา สะใภ้บ้านจางถึงเพิ่งจะมีหลานชายให้ตระกูลจางได้ในปีนี้ และแม่เฒ่าจางก็ไม่สามารถจะว่าอะไรหล่อนได้อีก
“ไม่ใช่ว่าฉันก็ให้เงินไป 5 หยวนเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านหรือไง?” จางเหมยเหอพูด
“5 หยวนจะไปพออะไรกันคะ?” สะใภ้บ้านจางตอบกลับ
เมื่อแม่เฒ่าจางที่ออกไปซื้ออาหารข้างนอกกลับเข้ามา สะใภ้บ้านจางก็อุ้มลูกชายของหล่อนและบ่นอุบอิบกับนางว่า “ของทุกอย่างในบ้านนี้ต่อไปจะต้องถูกยกให้กับเสี่ยวเป่า แล้วการที่ให้พี่สาวมาอยู่ที่นี่ด้วยมันหมายความว่าอย่างไรกันคะ?”
“หล่อนไม่มีที่จะไปแล้ว” แม่เฒ่าจางตอบ
เมื่อได้ยินแบบนั้นสะใภ้บ้านจางก็มีสีหน้าบูดบึ้ง จากนั้นในตอนบ่ายหล่อนก็พาเสี่ยวเป่าลูกชายของหล่อนกลับไปที่บ้านมารดา
เรื่องนี้ทำให้แม่เฒ่าจางรู้สึกเป็นทุกข์ หลานชายคือชีวิตของนาง แค่นางไม่ได้เห็นหลานชายของนางเพียงครู่เดียว นางก็จะหวาดวิตกไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจะเต็มใจให้เขาถูกพาไปอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยายของเขาได้อย่างไร?
ดังนั้นนางจึงเริ่มดุด่าจางเหมยเหอว่าต้องสูญเงินค่าชดเชยไปเปล่า ๆ เพราะการเป็นคนขี้แพ้ของหล่อน
สุดท้ายจางเหมยเหอต้องย้ายออกไปทั้งน้ำตาและไปเช่าห้องเดี่ยวเล็ก ๆ อยู่ในชุมชน
สะใภ้ตระกูลจางกลับมาพร้อมกับลูกชายของหล่อนด้วยท่าทางภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยม แววตาของหล่อนเปล่งประกายวิบวับ ไม่รู้ว่าหล่อนได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการกลับไปที่บ้านทางมารดาของหล่อน
เนื่องจากว่าพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านแถมยังมีลักษณะนิสัยที่สุดโต่งได้ขนาดนี้ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่หลินชิงเหอได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
เธอได้ยินเรื่องการย้ายออกไปอยู่ตามลำพังของหล่อนมาจากคุณป้าหม่า
“ดีแล้วที่หล่อนย้ายออกไป จะได้ไม่ต้องไปเดินชนกับคนที่น่ารังเกียจอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา” คุณป้าหม่าแสดงความเห็น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลินชิงเหอไปฉีกหน้าหล่อนที่ร้านเกี๊ยวครั้งก่อนเลยทำให้หล่อนต้องเสียหน้า หรือว่าเป็นเพราะมีคุณป้าหม่าอยู่ที่ร้านเกี๊ยวด้วย แต่สรุปว่าจางเหมยเหอไม่ได้มาให้แสลงตาเลย
หลินชิงเหอเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะไปใส่ใจกับหล่อนอีก
ในเดือนมิถุนายน โจวเฉวี่ยนก็เข้าสู่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หลินชิงเหอไม่ได้ไปสนามสอบกับเขาด้วยเพราะเธอยังมีชั้นเรียนที่ต้องสอน แต่โจวข่ายในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโตได้ไปกับเขาด้วย
หลังจาการสอบเข้าเสร็จสิ้นลง นั่นหมายความว่าตอนนี้โจวเฉวี่ยนมีวันหยุดว่างแล้ว โจวชิงไป๋จึงไม่มีภาระที่ต้องสั่งงานเขาอีกเลย ทุกวันในเวลา 15:30 น. ถึง 16:30 น. โจวชิงไป๋จะไปที่โรงเรียนเพื่อเล่นบาสเกตบอล
ส่วนร้านเกี๊ยวได้โจวเฉวี่ยนเป็นคนจัดการแทน
โจวเฉวี่ยนที่อายุ 15 แล้วในปีนี้สูงเกือบ 180 เซนติเมตร ไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ชายคนโตของเขาตอนช่วงอายุเท่านี้เลย
เป็นที่น่าสังเกตว่าเจ้าใหญ่ โจวข่ายที่เติบโตในวัยแตกหนุ่มอย่างก้าวกระโดดมาก่อนหน้านี้ มาในปีนี้เขาไม่ได้สูงเพิ่มขึ้นมากนัก เขายังมีความสูงอยู่ที่ 187 เซนติเมตรเท่าเดิม
แน่นอนนี่ถือว่าค่อนข้างสูง ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากหน้าตาที่หล่อเหลาของเขาและสถานะทางครอบครัวที่ดีเยี่ยม ทำให้บรรดากลุ่มคุณป้าในชุมชนมักจับตาดูเขาอยู่บ่อยครั้ง
หลินชิงเหอไม่ได้ถามลูกชายคนรองว่าเขาทำข้อสอบได้หรือไม่ ในเมื่อการสอบได้เสร็จสิ้นไปแล้วจึงเป็นเวลาที่ต้องทำงาน ดังนั้นสิทธิพิเศษที่เคยได้รับของผู้เข้าสอบจึงจบลง
วันนั้นครอบครัวกำลังนั่งดูทีวีเปิดพัดลมกันอยู่ที่บ้าน ในขณะที่พวกเขากำลังกินไอศกรีมกันอยู่ โจวเฉวี่ยนเลียไอศกรีมพร้อมกับพูดด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ว่า “ผมกลายเป็นก้อนอิฐไปแล้วตอนนี้ ยกไปที่ไหนก็ได้ที่ต้องการ”
“นี่เป็นโอกาสของลูกที่จะได้ฉายแววโดดเด่นออกมาเลยนะ” หลินชิงเหอตอบ
“ม้าครับ จะให้ผมไปรับคุณปู่คุณย่ากับคนอื่นมาที่นี่หรือครับ?” โจวเฉวี่ยนพูด “แล้วก็พาหยางหยางกับอู่นีมาด้วย”
แต่แรกนั้นหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋วางแผนไว้แล้วว่าจะรอจนถึงช่วงวันหยุดฤดูร้อนจึงเดินทางไปทางตอนใต้เพื่อหาของมาปล่อยขาย และจากนั้นจะเลยไปรับพวกเขามาที่นี่หลังจากเสร็จธุระแล้ว
อีกทั้งซูต้าหลินอาจยังต้องบริหารเวลาเรื่องการลาออกจากงานของเขากับทางโรงงานให้เรียบร้อยก่อน ดังนั้นหลินชิงเหอจึงเอ่ยว่า “ถ้าลูกกลับไปแล้วค่อยดูอีกทีก่อนก็ได้ ลูกพาหยางหยางกับอู่นีมาที่นี่ และระหว่างนั้นก็ช่วยคุณปู่คุณย่าขนสัมภาระบางอย่างกลับมาด้วย ส่วนคุณปู่คุณย่าของลูก ถ้าพวกท่านอยากมาที่นี่เร็ว ลูกก็สามารถพามาได้เลยเพราะม้าเช่าบ้านไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าพวกท่านยังไม่ต้องการมาก่อนกำหนด ป๊ากับม้าจะกลับไปรับพวกท่านเอง”
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หมดเสี้ยนหนามไปอีกหนึ่ง แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจกับคนบ้านจางนะคะ
สงสารเจ้ารองจังค่ะ เป็นเจเนอรัลเบ๊ของแม่ไปแล้ว ไม่เอาลูกไม่น้อยใจแม่นะคะ
ไหหม่า(海馬)