ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 367 คิดจะประหารก่อนแล้วรายงานทีหลังเหรอ?
บทที่ 367 คิดจะประหารก่อนแล้วรายงานทีหลังเหรอ?
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ทั้งคู่จึงเดินทางกลับบ้าน
ยิ่งหลินชิงเหอคิดทบทวนเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดี ส่วนโจวชิงไป๋ไม่คัดค้านในเรื่องที่เธอจะเปิดร้านเลย เขาแค่ถามว่า “แล้วใครจะเป็นคนดูแลร้านนี้เหรอครับ?”
“มันง่ายออกไม่ใช่เหรอคะ?” หลินชิงเหอตอบ
เธอบอกแผนการของเธอให้เขาฟัง
เธอจะจ้างเด็กสาวไหวพริบดี 2 คนเฝ้าหน้าร้าน และยังต้องการผู้จัดการคนหนึ่งไว้ติดตามการจัดส่งสินค้า การลงบัญชี และการจัดการบัญชี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการกำลังคนทั้งหมด
เธอวางแผนจะให้หม่าเฉิงหมินเป็นคนดูแลในด้านนี้
หลินชิงเหอตั้งใจเลื่อนขั้นให้เขาเป็นหัวหน้าผู้จัดการ ความจริงแล้วตัวเลือกอันดับหนึ่งของเธอคือเอ้อร์นี แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เอ้อร์นีตอนนี้ยังขาดประสบการณ์อยู่ หล่อนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานในตำแหน่งนี้ได้
จึงเป็นเรื่องดีกว่าหากจะให้คนท้องถิ่นอย่างหม่าเฉิงหมินเป็นคนช่วยเหลือเธอ
ส่วนเรื่องเงินเดือนเธอจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่าให้ในระดับที่เหมาะสม เขาอยู่ในแผนกจัดการอยู่แล้ว ซึ่งอนาคตอาจจะมีร้านอื่นให้จัดการมากกว่านี้
หลินชิงเหอยังคงรู้สึกลิงโลดไม่น้อยตลอดทางที่กลับบ้าน
เธอไม่คิดที่จะเปิดร้านหรอก แค่รู้สึกอยากซื้อร้านไว้ให้คนอื่นเช่า แต่เธอก็อดไม่ได้ ในยุคนี้สามารถหาโอกาสได้ทุกที่ เพียงเหลือบมองครู่เดียวก็มองเห็นลู่ทางทำธุรกิจแล้ว
เงินทองล้วนหามาได้อย่างง่ายดายเป็นพิเศษ
ยกตัวอย่างเช่นร้านขายเสื้อผ้าทั้งสองร้านของเธอในช่วงนี้ไม่ต่างจากแม่ไก่ทองที่ออกไข่ทองคำเลย ในอนาคตข้างหน้า ถ้าร้านเสื้อผ้าขนาดใหญ่แบบนี้มีทำเลที่ตั้งไม่ดีและไม่ได้รับการจัดการอย่าางเหมาะสม มันคงไม่สามารถทำรายได้ให้เธอเหมือนกับตอนนี้
รูปแบบเสื้อผ้าที่เธอผลิตดึงดูดความสนใจคนซื้อโดยแท้ แต่เป็นการผลิตแบบทีละมาก ๆ ซึ่งมันยังไม่มีการทำเลียนแบบหรือการลอกเลียนแบบ ดังนั้นความต้องการจึงลดต่ำลงเล็กน้อย
เธอจึงเพิ่มร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายเข้าไปอีกร้านหนึ่ง
เธอจะคว้าโอกาสขณะที่ทุกคนมีความต้องการต่ำและขาดแคลนแหล่งสินค้ามาให้ได้มากที่สุด ทันทีที่เธอทำกำไรได้เธอก็จะลงทุนเพิ่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นในอนาคตพวกเขาก็จะได้ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินที่มีเก็บไว้จนหมดไปเปล่า ๆ
นี่คือหนทางเดียวที่เธอจะได้อยู่อย่างเสือนอนกิน
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าตอนนี้จะถึงเวลาวางแผนเปิดร้านแห่งที่สี่
โจวข่ายเริ่มเดินทางกลับไปที่ค่ายในวันที่สี่ของวันหยุดปีใหม่ โดยที่ครอบครัวของเขาไปส่ง ครั้งนี้เขาอาจไม่มีเวลากลับมาบ้านในช่วงวันหยุดฤดูร้อน บางทีอาจเป็นวันสิ้นปีในปีหน้าเลยทีเดียวที่เขาจะได้กลับมา
หลินชิงเหอรู้สึกหดหู่ไป 2 วันหลังส่งลูกชายคนโตกลับไปแล้ว
ปีนี้ลูกชายคนโตมีอายุ 18 ปี ถึงเวลาต้องบินจากอ้อมอกของพ่อแม่แล้ว แต่ในฐานะที่เป็นแม่ชราคนหนึ่ง หลินชิงเหอก็ยังรู้สึกไม่ยอมรับว่าต้องห่างจากลูกอยู่นิดหน่อย
“ม้า อย่ากังวลเลยครับ ผมจะไม่ทิ้งม้าไปไหนหรอก ภายภาคหน้าผมจะทำงานอยู่กับม้านะ” โจวเฉวี่ยนปลอบ
ปีนี้เขามีอายุ 16 ปี มีรูปร่างค่อนข้างสูงคือเกิน 180 เซนติเมตร และยังมีหน้าตาหล่อเหลา
ในบรรดาลูกชายทั้งสาม เจ้ารองดูเหมือนเธอมากที่สุด เขาเคยเป็นเด็กที่ดูเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก แต่ในตอนนี้เขากลับเอนเอียงมาทางหนุ่มผู้อ่อนโยนสง่างาม
มีลูกชายคนรองเป็นแบบนี้ก็ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกสบายใจขึ้น เธอหันไปหาเจ้าสามและเอ่ยถาม “เจ้าสาม ลูกว่าอย่างไรล่ะ?”
โจวกุยหลายชะงักไป จากนั้นก็ประกาศเสียงดัง “ม้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องนี้ผมยังเด็ก แต่ถ้าผมโตขึ้น ผมจะพาม้ากับป๊าไปเที่ยวให้ทั่วเลย”
“ถ้าเราไปเที่ยวแล้วจะยังต้องการลูกอยู่อีกเหรอ?” หลินชิงเหอดูถูก
โจวกุยหลายยิ้มกริ่ม “งั้นม้าก็พาผมไปด้วยได้ไหมครับ?”
“ไม่พาไปด้วยหรอก ในอนาคตป๊ากับม้าจะเที่ยวกันเอง หลังเลี้ยงดูลูก ๆ มาจนโตขนาดนี้แล้วก็ไม่อยากจะปกครองพวกลูกอีกต่อไปแล้วล่ะ ลูกต้องปล่อยให้เราสองคนมีเวลาของตัวเองบ้าง” หลินชิงเหอบอก
จากนั้นเธอก็เหลือบมองชิงไป๋ของเธอ
โจวชิงไป๋มีแววตาอ่อนลง
โจวกุยหลายจึงเอ่ยอย่างฮึดฮัด “ป๊า ม้า ทั้งสองคนเก็บอาการหน่อยได้ไหมครับ? ผมเหนื่อยใจแล้วนะ”
เขาไม่เคยเห็นคู่รักคู่ไหนเหมือนพ่อกับแม่ของเขามาก่อน พวกเขารักกันแบบปานจะกลืนกินจริง ๆ ตอนที่เขายังเด็กกว่านี้เขาเคยเห็นทั้งคู่ขลุกอยู่ในห้องและจูบกันมาแล้ว
ตอนนั้นพวกเขายังเล็กอยู่ คนทั้งคู่ก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ
นับตั้งแต่วันนั้นมันผ่านมากี่ปีแล้ว? พวกเขาโตขึ้น แต่ก็ยังเห็นคนทั้งคู่ประกบจูบกันอีกครั้งในคืนหนึ่ง
โดยที่แม่ของเขาจะนั่งบนตักของพ่อ ขณะที่พ่อโอบเอวแม่ไว้
ตอนนั้นประตูไม่ได้ปิดสนิท หลังแอบมองแล้วเขาก็รีบกลับเข้าห้องของตัวเอง
อย่างไรก็ไม่เหมาะที่จะให้เด็ก ๆ ดูอยู่ดีนั่นแหละ
ในวันธรรมดาตอนที่ทั้งคู่นอนอยู่บนโซฟา พวกเขาก็จะดูทีวีพร้อมกับจับมือกัน แถมพ่อของเขายังตัดเล็บให้แม่อีกด้วย!
โจวกุยหลายเห็นภาพแบบนี้มาตั้งแต่เล็ก เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี
หลินชิงเหอแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กหัวเหลือง ลูกรู้อะไรบ้าง? รู้แล้วอย่ามายุ่งนะ”
จากนั้นเธอก็มองชิงไป๋ของเธอและเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ได้เวลาเข้านอนแล้ว ดึกมากแล้วค่ะ”
“อืม” โจวชิงไป๋ลุกขึ้น การได้นอนหลับและทำเรื่องทำนองนั้นเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด
สามีภรรยากลับไปยังห้องของพวกเขา โจวกุยหลายยังดูทีวีกับโจวเฉวี่ยนต่อ จากนั้นโจวกุยหลายก็เอ่ยขึ้นมา “พี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปเลยนะ”
โจวเฉวี่ยนพยักหน้า สองพี่น้องดูทีวีด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขามองเวลาก็พบว่ามันเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ทั้งคู่จึงปิดทีวีและเข้านอน
ชั่วพริบตาเดียว วันที่เจ็ดมกราคมก็ผ่านไป
เมื่อวันที่เจ็ดมกราคมผ่านพ้นไป ร้านเกี๊ยวของโจวชิงไป๋ก็เปิดทำการอีกครั้ง
แม้ว่าจะมีลูกค้าเข้าร้านอย่างค่อนข้างเบาบาง แต่ทางร้านก็มีรายได้ราว 2 หรือ 3 หยวนต่อวันเสมอ ซูต้าหลินเองก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ เขาจึงเปิดร้านซาลาเปาอย่างเร็วรี่เช่นกัน
“พี่รอง ไปกินข้าวที่ร้านซาลาเปาของอาเขยเล็กกัน” โจวกุยหลายเอ่ยชวนพี่รองในวันนั้น
โจวเฉวี่ยนเองก็อยากกินซาลาเปาเหมือนกัน
“เอาเกี๊ยวไปให้คุณปู่คุณย่าด้วยสิ บอกคุณอาเล็กว่ากลางวันนี้ไม่ต้องทำอาหาร ให้กินเกี๊ยวกันไปแทน” หลินชิงเหอบอก
“ครับ” สองพี่น้องนำเกี๊ยวไปด้วย 2-3 ชั่ง
ที่นั่นมีคนอยู่มากมาย จึงต้องนำเกี๊ยวไป 2-3 ชั่งถึงจะพอกินสำหรับหนึ่งมื้อ
ทันทีที่พวกเขาไปถึงที่นั่น โจวเอ้อร์นีก็มาหาและรายงานข่าวให้ฟัง
เมื่อวานนี้หล่อนโทรศัพท์หาทางบ้านอีกครั้ง
แล้วแม่ของหล่อนก็พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟังทางโทรศัพท์
“ดูเหมือนว่าสวี่เชิ่งเฉียงลูกของป้าใหญ่อยากจะมาที่นี่น่ะค่ะ” โจวเอ้อร์นีบอก
สวี่เชิ่งเฉียงคือน้องชายของสวี่เชิ่งเหม่ย อ่อนกว่าสวี่เชิ่งเหม่ยอยู่ 2 ปี
ปีนี้สวี่เชิ่งเหม่ยมีอายุได้ 18 ปี ส่วนสวี่เชิ่งเฉียงมีอายุ 16 ปี เหนือสวี่เชิ่งเหม่ยขึ้นไปคือพี่สาว 2 คน ซึ่งทั้งคู่ก็แต่งงานออกเรือนกันไปแล้ว
ในครอบครัวของพี่สาวใหญ่ไม่ได้มีลูกชายแค่สวี่เชิ่งเฉียงคนเดียว เขาไม่ใช่คนที่เด็กที่สุด อ่อนกว่าเขายังมีน้องชายคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่สาวใหญ่มีลูกสาว 3 คนกับลูกชาย 2 คน
และเป็นเพราะการที่มีลูก 3 คนแรกเป็นลูกสาวติดกันนี่เอง พี่สาวใหญ่จึงลืมตาอ้าปากไม่ขึ้นไปชั่วขณะหนึ่ง หลังให้กำเนิดลูกชายคนโตแล้วหล่อนถึงได้หยัดยืนขึ้นมาได้
หลังจากนั้นลูกชายอีกคนหนึ่งก็เกิด แต่สวี่เชิ่งเฉียงที่เกิดก่อนนั้นได้รับการตามใจอยู่บ้างแล้ว
ก่อนหน้านี้โจวข่ายส่งเป็ดย่างไปให้ เมื่อโจวข่ายกลับมา เขาก็บอกว่าไม่อยากจะเชื่อกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้เลย เขาเดินทางไปตั้งไกลเพื่อส่งเป็ดย่างไปให้ แต่อีกฝ่ายกลับบ่นว่ามันตัวเล็กเกินไป เป็นนัยว่ามันไม่พอกินหรอก
หลินชิงเหอได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะยังส่งเป็ดอีกตัวไปให้ เธอก็ยังจดจำไว้ในใจ
เธอไม่มีความอดทนและตั้งใจจะสั่งสอนลูกชายของคนอื่นหรอก เธอแค่มอบน้ำใจจากฝั่งของเธอให้เท่านั้น และไม่คาดหวังอะไรอย่างอื่นเลย
ดังนั้นหลังได้ยินเรื่องนี้จากโจวเอ้อร์นี เธอก็โทรศัพท์ไปหาบ้านเก่าตระกูลโจว
ในตอนแรกเธอทักทายสะใภ้ใหญ่ก่อนจะเข้าประเด็นด้วยการขอให้พี่ชายใหญ่นำเรื่องไปบอกบ้านนั้นว่าที่นี่ไม่ขาดแคลนพนักงาน หากใครคิดกล้าประหารก่อนแล้วรายงานทีหลัง เธอจะทำให้พวกเขาเสียหน้าให้ดู
“อีกอย่างหนึ่งนะคะ พี่สะใภ้ใหญ่ ฝากพี่ชายใหญ่ไปบอกเชิ่งเหม่ยด้วยค่ะว่าถ้าปีหน้าหล่อนไม่อยากมาที่เมืองหลวงแล้ว งั้นหล่อนก็ไม่ต้องมาอีก” หลินชิงเหอเอ่ยทิ้งท้าย
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ขาดเจ้าใหญ่ไปบ้านพลันเงียบเหงาถนัดตา เอ็นดูน้อง ๆ ทั้งสองบ่นคิดถึงพี่ใหญ่จังค่ะ
แม่เริ่มฟาดคนแล้ว แหม พี่สาวใหญ่ คิดว่าเป็นใครคะถึงกล้าล้ำเส้นแม่ยัดเยียดลูกตัวเองให้ ขนาดแม่โจวที่เป็นแม่สามียังโดนแม่ฟาดไปแล้วเลยค่ะ แม่ไม่ได้ตั้งสถานสงเคราะห์เด็กเพื่อการกุศลนะคะ
เชิ่งเหม่ยถ้าหนูไม่ปรับตัวหนูก็โดนน้าสะใภ้สี่เขี่ยทิ้งได้นะ
ไหหม่า(海馬)