ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 454 มาหาซานนีที่หมู่บ้านหลี่เจี่ย
บทที่ 454 มาหาซานนีที่หมู่บ้านหลี่เจี่ย
หลี่อ้ายกั๋วไม่คิดว่าเขาจะรู้จักตนเองด้วย ครั้นแล้ว เขาก็นึกถึงประโยคที่หลินชิงเหอพูดเกี่ยวกับเรื่องที่หลานสาวของเธอแต่งงานไปอยู่ที่นั่นขึ้นมาได้ จึงพอจะเดาได้ว่าทั้ง 2 คนนี้เป็นใคร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยทักทายออกไป
“คุณคือหลี่อ้ายกั๋วหรือคะ?” หลินชิงเหอมองไปที่เขาด้วยความงุนงง มันเป็นโชคชะตาจริง ๆ ที่พวกเขามาเจอหลานเขยเข้าให้พอดี เมื่อพวกเขามาถึงเมืองนี้
รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้แย่ แต่ดูเหมือนว่าอายุของเขาจะไม่น้อยแล้ว
“ใช่ครับ” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้ารับอย่างสงบ
“ซานนีเป็นภรรยาของคุณใช่ไหม?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว
“พวกคุณคือคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ใช่ไหมครับ?” หลี่อ้ายกั๋วถามพร้อมกับมองไปที่พวกเขา
ภรรยาของเขาเคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับครอบครัวทางมารดาของหล่อน และคนที่หล่อนพูดถึงอย่างระมัดระวังก็คือคุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อน
ตอนที่ภรรยาของเขาแต่งงานมาที่นี่ หล่อนเอานาฬิกามาให้เขา 1 เรือน นาฬิกาเรือนนั้น ตอนนี้อยู่บนข้อมือของเขา
นอกจากนี้ ยังมีเงินสินเดิมอีก 100 หยวน
ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของหล่อนเป็นคนให้มา
เขายังรู้ด้วยว่าพวกเขาทั้งคู่อยู่ที่ปักกิ่ง ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าทักทายพวกเขาในตอนแรก อีกทั้งคนทั้งสองก็ดูไม่เหมือนกับคนที่มีอายุ 40 ปีต้น ๆ เลย พวกเขาดูมีอายุไม่มากและก็ดูดีกันมาก
แต่ตอนนี้ หลี่อ้ายกั๋วถามออกมาเช่นนี้แล้ว
“ถ้าซานนีไม่มีอาสี่และอาสะใภ้สี่คนอื่นอีก งั้นก็น่าจะเป็นเรา 2 คนนั่นแหละจ้ะ” หลินชิงเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ ทำไมถึงได้เดินทางมาไกลขนาดนี้ล่ะครับ? อากาศมันร้อนมากนะครับ” หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าพวกเขาเป็นใครแล้ว หลี่อ้ายกั๋วก็รีบพูดขึ้น
เขาลงจากเกวียนและไปซื้อไอศกรีมมา 2 แท่ง
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ “…”
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเขาและรับมันมา วันนี้อากาศร้อนมากจริง ๆ การได้กินไอศกรีมแท่งเป็นวิธีคลายร้อนที่ดี
“พวกเราได้ยินมาว่าปีนี้มีฝนตกหนักมาก ทำให้เก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งนาไม่ได้เลย” หลินชิงเหอพูด
“ใช่ครับ ตอนนั้นผู้คนตื่นตระหนักกันมาก” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้า
ต้องไม่ลืมว่า คนในรุ่นของพวกเขาเคยต้องหิวโหยกันมาก่อน ดังนั้นอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลดีย่อมจะเป็นชนวนให้เกิดความตื่นตระหนกได้
“ทำไมวันนี้เธอถึงออกมาได้ล่ะ?” โจวชิงไป๋ถามเขา
“พวกเราเก็บของป่าตุนเอาไว้ที่บ้านน่ะครับ ผมเลยเอามันออกมาขาย” หลี่อ้ายกั๋วตอบ
“ฉันได้ยินมาจากป้าสะใภ้สามของเธอว่า เธอตั้งใจจะเปิดร้านค้าที่อำเภอของเราหรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอถามเขา
หลี่อ้ายกั่วสั่นหน้า “แค่ถามดูเท่านั้นเองครับ”
จริง ๆ แล้วเขามีความตั้งใจจะทำอย่างนั้น อำเภอที่อยู่ติดกันนี้คึกคักกว่าที่อำเภอของเขามากทีเดียว เขารู้สึกว่า หากได้ไปทำธุรกิจที่นั่นคงจะไม่แย่นัก ซานนีก็จำเป็นต้องไปรักษาตัวในอำเภอด้วยแช่นกัน
แต่การเริ่มทำธุรกิจไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ขาของเขาไม่ดี เขาจะไปรับสินค้าได้ที่ไหน แล้วจะไปรับสินค้าได้อย่างไรกันล่ะ?
ความจริง เขาสามารถจ้างคนได้ แต่การจ้างคนก็ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ๆ เพราะผู้อื่นก็อยากจะทำอะไรเป็นของตนเอง ดังนั้น เขาต้องคอยหาคนมาทำงานให้คนแล้วคนเล่าอย่างนั้นหรือ? ในตอนที่พวกเขาก็จะอยากทำธุรกิจของตัวเอง?
สุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง
ถ้าเขาไม่สามารถทำเองได้ เช่นนั้นก็อย่าไปทำมันเลย
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋กินไอศกรีมแล้วตามเขาไปบนถนนบนภูเขา ถนนบนภูเขาเส้นนี้ปลอดภัย ไม่ใช่ถนนแบบที่อยู่ตามหน้าผา เพียงแต่ต้องเดินทางไกลออกไปอีกนิดเพื่อจะไปถึงหมู่บ้านหลี่เจี่ย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
“เกวียนวัวเล่มนี้เป็นของเธอเองเหรอจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ไม่ใช่ครับ เป็นของเลขาธิการสาขาหมู่บ้านของเราน่ะครับ” หลี่อ้ายกั๋วตอบ
“ปกติแล้ว เธอทำมาหากินอะไรหรือจ๊ะ?” หลินชิงเหอถามต่อ
“ทำนาทำไร่และก็ไปหาของป่าบางอย่างบนภูเขามาตากแห้งเก็บไว้น่ะครับ” หลี่อ้ายกั๋วไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำถามของหลินชิงเหอ ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนที่เป็นห่วงเป็นใยซานนีจริง ๆ เท่านั้นถึงจะอยากถามสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้น
เมื่อตอนต้นปี เขาพาซานนีกลับไปที่บ้านแม่ของหล่อน แม่ยายของเขาเอาแต่มองขนมหวานเหล่านั้น หล่อนไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องอื่นเลย
“แล้วซานนีอยู่ที่บ้านหรือจ๊ะ” หลินชิงเหอถาม
“ครับ เลี้ยงไก่ ให้อาหารหมูแล้วก็ทำอาหารอยู่ที่บ้าน” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้า
หลินชิงเหอพยักหน้ารับรู้ สำหรับเรื่องสุขภาพของซานนี เธอไม่ได้เอ่ยถามเขาเลยสักคำ เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่บ้านหลี่เจี่ยและได้เจอซานนีแล้ว เธอค่อยถามซานนีในตอนนั้นก็ได้
หมู่บ้านหลี่เจี่ยเป็นหมู่บ้านภูเขาที่อยู่ห่างไกลมากจริง ๆ ต้องใช้เวลาจากในเมืองถึง 1 ชั่วโมงครึ่งจึงจะไปถึงที่นั่นได้ การเดินทางไปตามถนนบนภูเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อมาถึงหมู่บ้านหลี่เจี่ยแล้ว พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมหลี่อ้ายกั๋วถึงเกือบจะไม่ได้แต่งภรรยาเข้ามา ที่นี่มันช่าง…
เด็กสาวธรรมดาทั่วไปจะไม่เต็มใจแต่งเข้ามาอยู่ในเขตพื้นที่ภูเขาเช่นนี้แน่
แค่มองแวบแรก ก็รู้แล้วว่าเป็นหมู่บ้านที่ยากจนมาก ทั้งหมู่บ้าน มีบ้านอิฐอยู่ไม่เกิน 2-3 หลังเท่านั้น ซึ่งเทียบกับหมู่บ้านโจวเจี่ยไม่ได้เลย
ในหมู่บ้านโจวเจี่ย มีครัวเรือนรายได้ 10,000 หยวนอยู่ 2 ครัวเรือน และมีบ้านอิฐแบบบ้านของพี่ชายใหญ่อยู่มากกว่า 10 หลัง
หลี่อ้ายกั๋วรู้สึกอับอายเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ พลางเอ่ยขึ้นว่า “หมู่บ้านหลี่เจี่ยอยู่ห่างไกลเกินไป การจะเข้าไปในตลาดไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ถึงได้ยากจนไปสักหน่อยครับ”
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ตั้งทางภูมิประเทศนั้นไม่ดีเอาเสียเลย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ บรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยากจน แต่ก็สามารถเอาชีวิตรอดกันมาได้เสมอ
แต่ถึงแม้จะเป็นโจวชิงไป๋ผู้ซึ่งได้เห็นโลกภายนอกมาแล้วก็ตาม ก็คงจะไม่ยินดีแน่ ถ้ามีใครมาบอกให้เขากลับมาอยู่ที่หมู่บ้านเช่นนี้อีก
พูดง่าย ๆ ก็คือ หมู่บ้านหลี่เจี่ยนั้นสภาพแย่กว่าหมู่บ้านโจวเจี่ยเป็นอย่างมาก
พวกเขาตามหลี่อ้ายกั๋วไปที่บ้านของเลขาธิการสาขาหมู่บ้านเพื่อคืนเกวียนวัว ระหว่างนั้น หลี่อ้ายกั๋วได้มอบน้ำตาลทรายแดง ถ้วยเคลือบและสิ่งของอื่น ๆ ให้กับเลขาธิการสาขาหมู่บ้านซึ่งเป็นของที่เขาต้องการซื้อ
สายตาของเลขาธิการสาขาหมู่บ้านหลี่เจี่ยมองไปที่ท่าทางที่ดูไม่ธรรมดาของโจวชิงไป๋และหลินชิงเหอ เขารีบสอบถามขึ้นด้วยตนเองทันที “อ้ายกั๋ว 2 คนนี้เป็นใครกันเหรอ?”
ทั้งคู่ขี่จักรยานกันมาคนละคัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่าทาง พวกเขาดูเหมือนเป็นพวกเจ้าหน้าที่ของทางการเลย ใช่ไหมนะ?
“พวกเขาเป็นครอบครัวทางบ้านแม่ของภรรยาผมน่ะครับ คุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่” หลี่อ้ายกั๋วตอบ
“เป็นคุณอากับคุณอาสะใภ้ของภรรยาเธอนี่เอง” เลขาธิการพรรคของหมู่บ้านกระจ่างขึ้นทันที
“คุยกันเท่านี้ก่อนนะครับ พวกเราต้องกลับกันก่อน” หลี่อ้ายกั๋วพูด
เลขาธิการสาขาหมู่บ้านพยักหน้าพลางมองดูพวกเขาจากไป ภรรยาของเขาที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยพูดขึ้นว่า “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ คุณอากับคุณอาสะใภ้ของภรรยาอ้ายกั๋วดูมีสง่าราศีมาก! ถ้าพวกเขาไม่บอก ฉันคงคิดว่าเป็นผู้นำมาจากในเมือง”
“ดูไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปเลย” เลขาธิการสาขาหมู่บ้านพยักหน้าเห็นด้วย
คนธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะมีท่าทางสง่างามเช่นนี้ได้?
“ฉันไม่เคยได้ยินภรรยาอ้ายกั๋วพูดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ” ภรรยาของเลขาธิการหมู่บ้านกล่าว
กลับไปที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ซึ่งกำลังตามหลี่อ้ายกั๋วกลับ พวกเขาได้พบกับผู้คนในหมู่บ้านหลี่เจี่ยมากมายหลายคน ทุกคนต่างก็สอบถามกับหลี่อ้ายกั๋ว ซึ่งเขาก็ตอบกลับไปทีละคน
ดังนั้น ในตอนที่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มาถึงที่บ้านของหลี่อ้ายกั๋ว ข่าวได้ถูกแพร่กระจายไปเกือบทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว พวกเขาต่างพากันสงสัยว่าญาติของภรรยาอ้ายกั๋วเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการหรือไม่ พวกเขาดูไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริง ๆ!
พี่น้องของหลี่อ้ายกั๋วที่ได้รู้ข่าวเรื่องนี้ได้แต่มองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยว่าภรรยาของอ้ายกั๋วจะมีครอบครัวที่ดีถึงขนาดนี้?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็มาถึงบ้านของหลี่อ้ายกั๋วแล้ว
ก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน พวกเขามองเห็นซานนีซึ่งอยู่ตรงข้างรั้ว กำลังสับเถามันเทศเพื่อจะเอาไปต้มให้หมูกิน
“ซานนีจ้ะ!” หลินชิงเหอตะโกนทักออกไปเมื่อเห็นหล่อน
โจวซานนีคิดว่ามันคือภาพลวงตา เมื่อหันไปเห็นคุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่ของตน หล่อนรู้สึกตกใจมาก และน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาในทันที
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แง ซานนีน่าสงสาร สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ค่อยดีเลย ขอให้ได้ไปก้าวหน้าที่ปักกิ่งนะคะ
ไหหม่า(海馬)