ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 497 ทำให้ภรรยาต้องลำบาก
บทที่ 497 ทำให้ภรรยาต้องลำบาก
ปีที่แล้วตอนที่พวกเขาไปเยี่ยมครอบครัวโจวในช่วงปีใหม่ มีใครในครอบครัวตระกูลโจวมีทัศนคติที่ดีต่อเขาบ้าง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางคุณน้าสี่ของหล่อน พวกเขาไม่แม้แต่จะชวนพวกตนให้อยู่กินอาหารด้วย คิดว่าเขาชอบนั่งอยู่บนตั่งเย็นหรือ? พวกเขายิ่งใหญ่อะไรนักหนา? ก็แค่เปิดร้านค้าไม่กี่ร้านเท่านั้นเอง? ทำราวกับว่าพวกเขายิ่งใหญ่เสียเต็มประดา
ตอนนี้ครอบครัวจ้าวได้เข้าซื้อกิจการโรงงานมาเป็นของพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว หลังจากรวมยอดทางบัญชีทั้งหมด รายได้ของปีนี้สูงถึง 80,000 หยวน
นี่เป็นเงินขนาดไหนกันล่ะ?
ครอบครัวตระกูลโจวจะสามารถมาเทียบกับโรงงานของครอบครัวจ้าวของเขาได้อย่างไร?
ทำไมเขาจะต้องไปที่นั่นและต้องทนนั่งอยู่บนตั่งเย็นของครอบครัวโจวด้วยเล่า?
สวี่เชิ่งเหม่ยจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาหมายถึงอะไร? หล่อนพูดว่า “อย่าได้ประเมินร้านค้าของคุณน้าฉันต่ำเกินไปนะคะ พวกมันทำกำไรได้มากเลยละค่ะ บางทีอาจจะได้น้อยกว่าโรงงานของพวกเราไม่มากเท่าไหร่หรอกค่ะ”
หล่อนเปิดร้านเสื้อผ้าจึงรู้เรื่องผลกำไร ซึ่งได้เยอะมากจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร้านในทำเลที่หล่อนเป็นคนเลือกนั้นดีมาก ๆ มีคนเข้าออกร้านทุกวัน
“ไม่ต้องมาบอกฉันเรื่องนี้ ฉันไม่อยากไปที่นั่น ถ้าเธออยากจะไปก็พาน้องชายของเธอไปเอง” จ้าวจวินตอบอย่างไม่พอใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปหาน้องชายฉันแล้วพาเขามากินอาหารที่นี่ด้วยกัน นี่มันปีใหม่นะคะ จะไม่ให้น้องชายฉันมากินอาหารด้วยไม่ได้นะคะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็รู้สึกเศร้าใจ หล่อนอยากจะชวนน้องชายของตนมากินอาหารค่ำในวันส่งท้ายปีเก่าด้วย ต่อให้น้องชายของหล่อนทำตัวน่าผิดหวัง แต่เขาก็ยังเป็นน้องชายอยู่ดี ตั้งแต่ที่เขาเริ่มออกไปตั้งแผงขายของ เขาก็ก้าวหน้าขึ้นไปมาก
อย่างไรก็ดี ทั้งแม่สามีและพี่สะใภ้ของหล่อนต่างก็ไม่เห็นด้วยและบอกว่าแค่จัดแบ่งอาหารแล้วส่งไปให้ก็พอแล้ว ครอบครัวจ้าววางแผนไว้ว่าจะกินอาหารเย็นในวันปีใหม่ร่วมกันเฉพาะพวกเขาเท่านั้น
ทว่าสวี่เชิ่งเหม่ยก็ยังอยากให้น้องชายของตนมาที่นี่
“เธอก็ไปเองสิ” จ้าวจวินพูด
“ถ้าฉันทำได้ ฉันก็ไม่ให้คุณไปหรอกค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูด
หากจ้าวจวินเป็นคนพาน้องชายของหล่อนมาที่บ้าน ถึงแม้พวกเขาจะมีความคิดเห็นอะไร ครอบครัวจ้าวก็จะไม่พูด แต่หากเป็นหล่อน ครอบครัวจ้าวอาจจะไล่เขากลับไปทันทีเลยก็ได้
ถึงตอนนั้นเด็กคนนั้นก็คงจะต้องเสียหน้า
จ้าวจวินไม่อยากไปบ้านครอบครัวโจว เขาจึงทำได้แค่ต้องยอมไปหาสวี่เชิ่งเฉียง ตอนที่ไปถึงเขาก็ค้นพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ซ่อนผู้หญิงเอาไว้ในห้อง
เมื่อเห็นจางเหมยเหลียน เขาก็ตะลึงงันทันที นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขามีท่าทางที่ดีต่อสวี่เชิ่งเฉียง “เจ้าหนู นายแน่มาก”
สวี่เชิ่งเฉียงตอบด้วยความกระดากอาย “พี่เขย อย่าไปบอกพี่สาวผมนะครับ”
“ฉันรู้น่า ตอนนี้รีบไปกินข้าวที่บ้านกันก่อนเร็วเข้า” จ้าวจวินพูด
สวี่เชิ่งเฉียงหันไปหาจางเหมยเหลียน “รอผมอยู่ที่บ้านนะ แล้วผมจะแบ่งอาหารกลับมาให้”
จางเหมยเหลียนตอบเบา ๆ “ไปเถอะค่ะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน”
ในเวลาเดียวกัน หล่อนก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองจ้าวจวิน พอเห็นว่าจ้าวจวินกำลังมองมาทางหล่อนเช่นกัน หล่อนก็รีบก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
“นี่เป็นเพื่อนของพี่สาวนายไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงพาหล่อนกลับมาที่ห้องเช่าของนายได้ล่ะ? มาตกอยู่ในมือของนายแล้วเหรอ?” จ้าวจวินถาม
“ครับ” สวี่เชิ่งเฉียงกล่าวอย่างรู้สึกภูมิใจ “ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนเลยครับ”
เขาต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการพาจางเหมยเหลียนมาที่ห้องเช่าเพื่ออยู่ด้วยกัน
แน่นอนว่าจางเหมยเหลียนแทบจะไม่ค่อยได้มาที่พักของเขาในระหว่างวัน และจะมาที่นี่แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น
จ้าวจวินคิดอยู่ในใจ ‘คนแบบนายได้หล่อนมาในเวลาครึ่งเดือน? มันเยี่ยมตรงไหน?’
แน่นอนว่าเมื่อจ้าวจวินพาสวี่เชิงเฉียงกลับมารับประทานอาหารเย็นด้วย ครอบครัวจ้าวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้ว่าจะไม่พอใจในเรื่องนี้ก็ตาม
หลังจากที่กินเสร็จแล้ว สวี่เชิ่งเฉียงก็กลับมาพร้อมกับอาหารว่างยามดึกสำหรับจางเหมยเหลียน
ต้องบอกว่าอาหารของครอบครัวจ้าวนั้นช่างยอดเยี่ยม จางเหมยเหลียนพอใจกับมันมาก
หล่อนค้างคืนที่นี่ ในวันรุ่งขึ้นหล่อนก็ออกไปก่อนที่สวี่เชิ่งเหม่ยจะมาถึง
สวี่เชิ่งเฉียงก็ไม่เต็มใจที่จะตามหล่อนไปอวยพรปีใหม่ที่บ้านครอบครัวโจวเช่นกัน
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋อยู่บ้านด้วยกันทั้งคู่ มีผู้คนไปมาหาสู่ตลอดในช่วงปีใหม่
เมื่อสวี่เชิ่งเหม่ยและสวี่เชิ่งเฉียงไปถึง หลินชิงเหอและคนอื่นกำลังดูทีวีกันอยู่
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรในเรื่องที่พี่น้องคู่นี้มาที่นี่ เธอมีท่าทางเป็นปกติธรรมดา
หลังจากที่ได้ยินสวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ยถึงเรื่องการลาออกของน้องชาย โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านก็ดีแล้ว ถ้าเธอทำงานหนัก มันก็จะไม่แย่หรอก”
“กลับหมู่บ้านอะไรกันครับ? ตอนนี้ผมตั้งแผงขายของอยู่ กำไรดีมากด้วย!” สวี่เชิ่งเฉียงทนฟังคำพูดพวกนี้ไม่ได้จึงพูดขึ้นมาในทันที
“ระวังน้ำเสียงนายเวลาพูดกับคุณน้าด้วย!” สวี่เชิ่งเหม่ยต่อว่าออกมาเบา ๆ จากนั้นก็ยิ้ม “ตอนนี้เฉียงจือออกไปทำตามลำพังน่ะค่ะ หนูเอาสินค้าจากโรงงานของพี่เขยหวังหยวนมาให้เขาออกไปตั้งแผงขายของด้วยตัวเองค่ะ มันไม่ได้แย่ไปกว่าการทำงานในโรงงานเลยล่ะค่ะ”
หล่อนได้สินค้ามาจากโรงงานผลิตเสื้อผ้าของหวังหยวน โจวชิงไป๋รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่หล่อนพูด เขาก็แนะนำว่า “ในเมื่อเธอตั้งแผงขายของ ก็ทำงานให้ดี สิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจก็คือความสงบสุข ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการหาเงินได้มากหรือน้อย สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ที่จะวางตัวกับผู้อื่นและรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ให้ได้”
คำพูดเหล่านี้กล่าวในฐานะที่เขาเป็นคุณน้า แม้ตนจะรู้สึกผิดหวังในตัวสวี่เชิ่งเฉียงผู้เป็นหลานชาย แต่เขาก็ยังให้คำแนะนำด้วยความหวังว่าหลานชายจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
เธอไม่ได้ไล่คู่พี่น้องให้กลับออกไปก็เพราะเห็นแก่หน้าของชิงไป๋
สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้มแล้วรับคำ ในขณะที่สวี่เชิ่งเฉียงเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนักว่าเขาจะจำเอาไว้
พวกเขาไม่ได้ชวนทั้งคู่อยู่รับประทานอาหาร กลับบอกให้พวกเขาไปกินที่บ้านคุณตาคุณยายแทน
“ผมบอกแล้วว่าพวกเราไม่ควรมา พอผมมา พวกเขาก็อบรมผม!” ตอนที่เดินลงบันได สวี่เชิ่งเฉียงก็บ่นพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ
นั่นเป็นวิธีการทำธุรกิจของเขา คนไหนอยากจะซื้อเสื้อผ้าก็ซื้อ หากไม่อยากจะซื้อก็ออกไป เขาจำเป็นจะต้องประจบประแจงเอาใจผู้อื่นด้วยหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น หากเสื้อผ้าสวยดูดี ถึงแม้เขาจะขึ้นราคา ผู้คนก็ยังต้องมาอ้อนวอนขอให้เขาขายให้
สำหรับเรื่องการเข้าสังคมและการจัดการปัญหาต่าง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องให้คุณน้ามาสอนเขาหรอก ในเมื่อคุณน้าไม่ได้ให้งานเขาทำ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมาสั่งสอนเขาให้มาก!
สวี่เชิ่งเหม่ยแสดงความเห็นอย่างเฉยชา “พอนายทำเงินได้แล้ว ทุกอย่างที่นายพูดมันก็จะสมเหตุสมผล ตอนนี้นายยังไม่มีเงิน ดังนั้นนายก็ต้องฟังคำพูดสั่งสอนไปเสียทุกเรื่องที่นายทำนั่นแหละ”
คู่พี่น้องไปหาท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวกันต่อ
ส่วนที่ชั้นบนตึก หลินชิงเหอยังนั่งดูทีวีต่อและไม่ได้วิจารณ์ชิงไป๋แต่อย่างใด เขาแตกต่างจากเธอ เธอเป็นคนนอก แม้แต่กับท่านพ่อหลินและท่านแม่หลิน เธอยังสามารถตัดความสัมพันธ์ได้โดยไม่ลังเล หลังจากที่ได้เห็นคุณธรรมของพวกเขาอย่างแจ่มแจ้ง เนื่องจากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักความผูกพันของครอบครัวอยู่เลย
2 คนนั้นเป็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่บางครั้งเขาจะต้องมีคำพูดออกมาสัก 2-3 คำพูด
แต่ดูที่ปฏิกิริยาของทั้ง 2 คนนั้นแล้ว พวกเขาอาจจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในใจก็เป็นได้
“ตาโง่ ถ้าคุณไม่มีผู้หญิงที่ร้ายกาจและไร้ความรู้สึกอย่างฉันคอยปกป้องอยู่ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้างนะคะเนี่ย” หลินชิงเหอเหลือบมองไปทางเขา
โจวชิงไป๋จับมือเธอแล้วไม่พูดอะไร ทว่าแววตาของเขาสะท้อนความรู้สึกออกมาให้เห็น
ซินแสชราผู้นั้นพูดว่าเขามีดวงชะตาไม่ดี ในวัยนี้เขาควรจะต้องเจ็บป่วยและทนทุกข์ อีกทั้งพวกลูก ๆ ก็ไม่มีความก้าวหน้า
หลังจากที่กลับมาแล้ว โจวชิงไป๋ก็คิดว่าจะเป็นอย่างไรหากในตอนนั้นเธอไม่ได้มาที่นี่ บางทีเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บกลับบ้านและคงจะไม่ได้รับการรักษาที่ดี
ปีนั้นตอนที่เขากลับมา เธอไม่ยอมให้เขาทำงานอะไรเลย และปล่อยให้เขารักษาตัวจนหายดี เธอดูแลเขาเป็นอย่างดีด้วยอาหารและเครื่องดื่มอร่อย ๆ
แม้ว่าตอนนั้นเธอยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยก็ตาม
ถึงบางสิ่งไม่ได้พูดออกมา แต่โจวชิงไป๋ก็ตระหนักดีในหัวใจว่าภรรยาของตนนั้นไร้ที่ติในเรื่องการดูแลปรนนิบัติเขาและลูก ๆ แม้ว่าบางครั้งจะเผด็จการไปสักหน่อย
“ทำให้ภรรยาต้องลำบากแย่เลยนะครับ” โจวชิงไป๋พูด
หลินชิงเหอค้อนใส่เขาอย่างหมั่นไส้ “ดูทีวีเถอะค่ะ ไม่ต้องพูดต่อแล้ว ไม่ได้ผลกับฉันหรอกค่ะ”
……………………………………………………………………………………