ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 574 ปัญหาความเรียบร้อยทางสังคม
บทที่ 574 ปัญหาความเรียบร้อยทางสังคม
แต่ยายเฒ่าเจียงที่อายุเท่านี้กลับชอบชายหนุ่มแบบนี้ เพียงได้ดูก็รู้สึกมีชีวิตชีวา
“เดินทางมาคงจะเหนื่อยมากแน่ ฉันไปซื้อกับข้าวดีกว่า ทางนี้ก็อย่าเพิ่งทำกับข้าวล่ะ มากินข้าวที่บ้านฉันสักมื้อนะ” ยายเฒ่าเจียงพูด
“ให้ชิงไป๋ไปซื้อกับข้าวเถอะค่ะ คุณป้าไปดูว่าเหม่ยลี่กับคนอื่น ๆ ว่างกันหรือเปล่านะคะ ถ้ามีเวลาว่างก็เรียกมากินข้าวที่นี่กันค่ะ” หลินชิงเหอพูด
“คุณป้าไปเรียกเถอะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวเอง” โจวชิงไป๋พยักหน้าพูด
ยายเฒ่าเจียงยิ้มแล้วพูดว่าก็ได้ ก่อนจะออกไปเรียกพวกเธอมา รองผู้ว่าการเจียงไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาได้รับโทรศัพท์ว่ามีสถานที่ที่ไม่สงบเรียบร้อยอยู่จึงทำให้เขาต้องไปจัดการ เลยไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นแล้ว
ดังนั้นเซวียเหม่ยลี่จึงไม่ต้องทำกับข้าวพอดี เธอพาลูกสาวเจียงอวี๋อายุไม่กี่ขวบ กับลูกชายเจียงเกิงมากินข้าวด้วยกันที่นี่
โจวชิงไป๋ไปซื้อกับข้าว ส่วนโจวกุยหลายรับแอปเปิลที่แม่ของเขาหั่นไว้ให้มากิน แล้วพูด “ม้า พวกม้าอยู่ที่นี่ซื้อรถยนต์แบบนี้ พอถึงเวลาจะเอากลับไปยังไงครับ? ผมได้ยินมาว่าด้านนอกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ด้วย!”
ช่วงเวลานี้ยังบอกไม่ได้ว่ามีทางหลวงแล้ว ทางหลวงเส้นแรกที่สร้างเสร็จเร็วที่สุดคือตอนปี 88
“ถ้าไม่ค่อยปลอดภัยก็ขายทิ้งซะ ไปปักกิ่งแล้วค่อยซื้อใหม่อีกคันได้” หลินชิงเหอพูด
“รวยขนาดนี้เลย?” โจวกุยหลายหัวเราะ
หลินชิงเหอพูด “ก็ป๊าของลูกคิดมากเกินไป ม้าไม่เห็นด้วยที่จะซื้อ เขาก็บอกว่าไปโรงพยาบาลยังไงก็ต้องใช้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของป๊าผม ก่อนหน้าตอนคลอดพวกเราพ่อก็ไม่อยู่ด้วย” โจวกุยหลายพูด
แม้ว่าพวกเขาสามคนจะโตขนาดนี้แล้ว แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นสิ่งที่พ่อของเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีมาก่อน กลับไปก็โตแล้ว เขาจะไปเข้าใจอะไรได้?
ก็ไม่แปลกอะไรหรอกที่จะตื่นเต้น
หลินชิงเหอไม่พูดอะไรแล้วเช่นกัน ถ้าด้านนอกไม่ปลอดภัยล่ะก็ เธอก็ไม่ยอมให้เอากลับไปหรอก เส้นทางที่ไม่ดีถ้าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา หลินชิงเหอก็ไม่อยากจะคิดเลย
ดังนั้นพอถึงตอนที่คลอดออกมาแล้ว จะขายทิ้งไปก็ได้ ขาดทุนบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็ซื้อที่ดินเอาไว้มากอยู่ พูดตามตรงว่าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเช่นกัน ได้กำไรด้วยซ้ำ
“จริงสิ คุณยายเจียงอารมณ์ดี ๆ คนนั้นคือใครเหรอครับ?” โจวกุยหลายถาม
หลินชิงเหอจึงบอกเรื่องที่พวกเธอรับญาติบุญธรรม พูดจบโจวกุยหลายถึงได้เข้าใจ ตอนนี้เองเซวียเหม่ยลี่ก็พาเจียงเกิง เจียงอวี๋มาถึงแล้ว
“นี่ก็คือน้าสะใภ้เจียงสินะครับ?” โจวกุยหลายลุกขึ้นส่งยิ้มให้
“นี่ก็คือเจ้าสาม? สูงขนาดนี้เลยเหรอคะ?” เซวียเหม่ยลี่พูดอย่างประหลาดใจ
หล่อนกับรองผู้ว่าการเจียงไม่ถือว่าเตี้ย หล่อนสูง 160 เซนติเมตร รองผู้ว่าการเจียงยังสูงไม่ถึง 180 เลย ดังนั้นส่วนสูงของโจวกุยหลายตรงหน้า จึงทำให้หล่อนตกใจเป็นธรรมดา
“ยังไม่สูงหรอกครับ” โจวกุยหลายยิ้ม หลังจากนั้นก็มองไปที่เจียงเกิง “นี่คือน้องชายบุญธรรมของฉันสินะ?”
“พี่สาม” เจียงเกิงรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย แต่ก็ทักไปเสียงหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้พี่สามก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีน้องชายบุญธรรมเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เลยไม่ได้เตรียมของขวัญไว้เลย พรุ่งนี้ถ้ามีเวลาเดี๋ยวพี่สามจะพาออกไปเดินเล่นนะ ชอบอะไรพี่จะซื้อให้นายเป็นการชดเชยเอง” โจวกุยหลายพูด
เจียงเกิงอายุน้อยกว่าเขา 2 ปีเท่านั้น ปีนี้ก็จะ 15 ปีแล้ว แต่ว่าเขาสูงเพียง 170 นิด ๆ เท่านั้น ที่จริงก็ไม่ถือว่าเตี้ย แต่พอเดินคู่กับโจวกุยหลายแล้วเขากลับเตี้ยกว่าเยอะเลย
ตอนถูกโจวกุยหลายยกแขนพาดไหล่ มองดูแล้วเหมือนพี่น้องกันจริง ๆ เลย
หลินชิงเหอยิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกอย่าแหย่เสี่ยวเกิง พวกลูกสองคนค่อยทำความสนิทสนมกันอีกที อย่ามาทำตัวสนิทสนมตามใจชอบ”
ในบรรดาลูกทั้งสามคน คนที่มนุษย์สัมพันธ์ดีที่สุดก็คือเจ้าสามคนนี้ เขาชอบทำเป็นสนิทสนมกับคนอื่นตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถพูดคุยด้วยได้หมด
“นี่เรียกว่าตามใจชอบไปเองที่ไหนกัน เขาเป็นน้องชายบุญธรรมของผมนะ” โจวกุยหลายยิ้มพูด “พี่รองให้ผมอยู่แค่ครึ่งเดือนเอง หลังจากนั้นครึ่งเดือนก็ค่อยไปเปลี่ยนตัวกันกับเขา ถึงตอนนั้นเสี่ยวเกิงอยากจะกลับไปกับพี่ด้วยไหมล่ะ ไปอยู่ปักกิ่งสัก 2-3 วัน จากนั้นค่อยกลับมาพร้อมกับพี่รองก็ได้”
เจียงเกิงอยากไป เขาไม่เคยไปปักกิ่งมาก่อนเลย จึงหันไปมองแม่ของเขา
“กลับไปถามพ่อของลูกก่อน ถ้าพ่อของลูกไม่มีปัญหา แม่ก็ไม่ว่าอะไร” เซวียเหม่ยลี่พูดยิ้ม ๆ
ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาครอบครัวโจวอย่างหนึ่ง ว่าการเป็นคนอัธยาศัยและทำให้แขกรู้สึกสบายใจนั้นเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมา
เจียงเกิงรู้สึกดีใจมาก แม่เขาตอบตกลงแล้ว พ่อของเขาก็น่าจะตอบตกลงด้วยเช่นกัน
“ถ้าอยากไปละก็ พาลุงเจียงไปด้วย ลุงเจียงอยากไปเทียนอันเหมินมาโดยตลอด เจ้าสามลูกก็ถ่ายรูปให้เขาเยอะ ๆ ด้วยละ” หลินชิงเหอพูด
“ผมเอากล้องมาด้วยนะ งั้นผมถ่ายให้พวกคุณรูปหนึ่งก่อน ครั้งที่แล้วตอนที่ม้ากับป๊ามาด้วยกันลืมเอามาไว้ ม้าต้องถ่ายรูปตอนคลอดเก็บไว้สักหน่อยด้วยนะครับ!” โจวกุยหลายพูด
เขาเข้าไปเอากล้องออกมา หลินชิงเหอไม่อยากถ่าย “อ้วนจะตายแล้ว ม้าไม่ถ่าย”
“ไม่อ้วน อย่างม้าเรียกว่ามีน้ำมีนวล ถ้าม้าไปเกิดตอนยุคราชวงศ์ถังนะ จะต้องได้เป็นหยางกุ้ยเฟย(1)คนที่สองแน่ ดูดีจะตาย” โจวกุยหลายพูด
“ปากลูกนี่ไม่มีความจริงเลยสักประโยคเดียว” หลินชิงเหอยิ้มแล้วว่าเขา แต่กลับลุกขึ้นเตรียมตัวถ่ายรูป
“จะถ่ายรูปเหรอ? น้ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะจ๊ะ” เซวียเหม่ยลี่พูดอย่างเกรงใจ
“น้าสะใภ้หน้าตาดีขนาดนี้ ยืนอยู่เฉย ๆ ก็กลายเป็นวิวสวย ๆ วิวหนึ่งแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนเลยครับ” โจวกุยหลายพูดปลอบใจหล่อนหนึ่งประโยค
เซวียเหม่ยลี่มีความสุขแทบไม่ไหว
หลินชิงเหอขอพูดจากใจเลยว่าพอได้ยินที่เจ้าสามพูดแล้ว เธอคิดเลยว่าเจ้าสามนี่ต้องเกี้ยวสาวเก่งอย่างแน่นอน
โจวกุยหลายให้เจียงเกิงไปเรียกย่ากับปู่ของเขามาและถ่ายรูปให้หนึ่งใบ ก่อนพูดว่า “ไว้ถึงตอนนั้นแล้วผมค่อยล้างมาเพิ่มสองใบแล้วกันครับ”
โจวชิงไป๋ซื้อกับข้าวกลับมาแล้ว โจวกุยหลายก็เข้าไปช่วยเขา เสี่ยวเกิงก็ถูกเรียกไปด้วยเช่นกัน
“ลุงเจียง เจ้าสามจะมาอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งเดือน แล้วก็จะเปลี่ยนตัวกับพี่รองของเขา ถึงตอนนั้นคุณกับเสี่ยวเกิงอยากตามเขากลับไปด้วยไหมคะ? ไปอยู่ที่นั่นสัก 2-3 วัน หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับเจ้ารอง” หลินชิงเหอกับเซวียเหม่ยลี่นั่งดูละครเรื่องจิ้งจอกภูเขาหิมะด้วยกัน แล้วก็หันมาพูดกับตาเฒ่าเจียง
“เอาสิ ถึงตอนนั้นก็ไปอยู่สัก 2-3 วัน ฉันจะไปเที่ยวดูให้ทั่วเลย” ตาเฒ่าเจียงได้ยินแล้วก็พูดตอบทันที
“คุณจะไปเองเหรอคะ?” ยายเฒ่าเจียงพูดอย่างอดไม่ได้
“แล้วคุณอยากไปด้วยกันไหมละ?” ตาเฒ่าเจียงมองนาง
“ไปด้วยกันก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้อากาศดี เดี๋ยวต่อไปก็หนาวแล้ว ออกไปข้างนอกก็คงไม่สะดวก” ยายเฒ่าเจียงพูด
“ไปด้วยกันเถอะค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
เดิมทีจะให้เจียงเกิงไป กลับกลายเป็นพวกเขาปู่ย่าไปด้วยกันกับหลานเป็น 3 คนเสียแล้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร
กังจือย้ายออกมาอยู่กับพี่ชายของเขาแล้ว ให้เจ้ารองกับเจ้าสามอยู่ที่ห้องของเขา ยกห้องข้าง ๆ ให้พวกเขาปู่ย่าอยู่กับหลานก็ไม่มีปัญหาแล้ว
หลินชิงเหอจึงถามขึ้นมาว่าทำไมรองผู้ว่าการเจียงถึงยังไม่มา
“คืนนี้เขาต้องทำงานจนถึง 2-3 ทุ่มเลยค่ะ พื้นที่แถวนี้ของพวกเราดูแลกันได้ไม่เลว แต่ว่าพื้นที่ด้านบนค่อนข้างที่จะวุ่นวายน่ะ” เซวียเหม่ยลี่พูด
“ฉันเคยได้ยินว่าด้านนอกขี่มอเตอร์ไซต์อยู่ดี ๆ แล้วโดนปล้นด้วยนะ ออกไปข้างนอกต้องระวังตัวกันหน่อย” ตาเฒ่าเจียงพูด
หลินชิงเหอได้ยินก็รู้แล้วว่านี่ก็คือเป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวายในช่วงปี 1980-1990 แต่หลังจากการปราบปรามอย่างเข้มงวดปี 83 จึงดูดีขึ้นมาหน่อย ก่อนหน้านั้นสิถึงจะเรียกว่าวุ่นวายของจริง ขนาดฟ้าสว่างยังมีคนดักปล้นอยู่ข้างถนนได้เลย
เป็นเพราะว่าหลังจากเปิดประเทศแล้ว พวกนักเลงที่ถูกยับยั้งเอาไว้เริ่มที่จะไม่หวาดกลัวอีก อีกทั้งยังเกิดปัญหาคนงานขาดแคลนทันทีหลังจากผู้คนกลับไปทำงานในเมือง
มันยังมีอีกหลายสาเหตุ แต่ถ้าพูดโดยรวมแล้ว อยู่ในเมืองใหญ่แบบนี้ค่อนข้างที่จะปลอดภัยกว่ามาก
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)เดิมชื่อหยางอี้หวน ต่อมาได้เป็นสนมเอกตำแหน่งกุ้ยเฟย จัดเป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีน อันประกอบด้วย ซีซือ(ไซซี) หยางกุ้ยเฟย เตียวฉาน(เตียวเสี้ยน) หวังเจาจวิน
สารจากผู้แปล
แม่รวยเสียอย่าง ขนาดไม่ใช้รถก็ขายทิ้งแล้วซื้อใหม่ได้อะคิดดู
ยุคนี้จะคล้ายกับยุคอันธพาลครองเมืองไหมนะ ไม่อยากนึกถึงหมู่บ้านแถว ๆ ชนบทเลยว่าจะวุ่นวายขนาดไหน
ไหหม่า(海馬)