ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 77 จะแปลกมากถ้าคุณไม่เหนื่อย
บทที่ 77 จะแปลกมากถ้าคุณไม่เหนื่อย
“อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน เวลาเปลี่ยนไปแล้วถูกไหมคะ? คนเราก็ต้องฉลาดกันบ้างว่าควรภาคภูมิใจในเวลาที่ควรภูมิใจ แต่เมื่อใดที่ช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจหมดลง มันก็ถึงเวลาต้องกลับคืนสู่สามัญน่ะค่ะ” หลินชิงเหอหัวเราะเบา ๆ
“ใช่ ๆ ถึงตอนนี้เธอคงภูมิใจไม่ออกแล้วสินะ” หญิงคนนั้นหัวเราะคิกคัก
“ก็ยังดีกว่าคนบางคนล่ะนะที่ไม่เคยมีช่วงเวลาให้ได้ภาคภูมิใจเลย” หลินชิงเหอส่งยิ้มที่ไม่ใช่ยิ้มให้หล่อน
คำพูดเหล่านี้ทำให้หญิงสาวที่ชื่อหวังหลิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี “เธอหมายความว่ายังไงนะ?”
“เธอไม่มีสมองเหรอ? เธอถึงไม่เข้าใจ? เลยทำได้แค่เยาะเย้ยฉัน? ต่อให้ชิงไป๋ลาออกจากกรมแล้วฉันก็ไม่ต้องทำงานในไร่นา เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันได้อยู่ที่บ้านอย่างมีความสุข เธอเคยมีวันเวลาแบบฉันไหมล่ะ?” หลินชิงเหอแสยะยิ้ม
หวังหลิงถูกเย้ยกลับจนรู้สึกโกรธจุกชนิดที่พูดไม่ออก
“ดูจากชีวิตของเธอแล้ว หากเป็นฉันคงทนไม่ได้ไปนานแล้ว เธอยังจะมีหน้ามาสาระแนต่อหน้าฉันอีกเหรอ? บ้านของเธอคงไม่มีกระจกสินะ ถึงไม่รู้จักชะโงกดูเงา ว่าหนังหน้าตัวเองแก่เกินวัยขนาดไหน? อายุใกล้กับฉันก็จริง แต่เธอกลับดูแก่กว่าฉันมากกว่าสิบปี ถึงอย่างนั้นยังมีหน้ามาเยาะเย้ยต่อหน้าฉันอีกเหรอ เอาความมั่นหน้ามาจากไหนน่ะ? เจ้ารอง บอกไปสิว่าเมื่อกลางวันนี้เรากินอะไรกันมาบ้าง” หลินชิงเหอบอก
“หมูสามชั้นตุ๋นไข่กินกับข้าวสวย อร่อยมากเลยครับ!” เจ้ารองตอบในทันที
“ได้ยินหรือยังล่ะ?” หลินชิงเหอปรายตามองหวังหลิง
หวังหลิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ แต่หล่อนรู้ดีว่าหลินชิงเหอไม่ใช่คนที่ยอมถูกรังแกง่าย ๆ หากยังโต้เถียงกันต่อไป หล่อนเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายแพ้ หล่อนจึงตัดสินใจสะบัดหน้าเดินจากไป
หญิงสาวคนอื่น ๆ ได้ยินเข้าก็รู้สึกหน้าบางขึ้นมา แต่หลินชิงเหอไม่อยากมีปัญหากับพวกหล่อนจึงพาเจ้ารองกับเจ้าสามไปขุดหาผักป่าตรงอื่น
การกระทำของเธอทำให้พวกหล่อนถึงกับระบายลมหายใจโล่งอก
“หวังหลิงคิดอะไรอยู่นะ? หล่อนไม่ได้คิดทบทวนก่อนเหรอว่าคนที่หล่อนหาเรื่องด้วยคือใคร? คน ๆ นี้ใช่เป้าหมายที่จะหาเรื่องด้วยซะที่ไหนกันล่ะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยพึมพำ
“หรือว่าหล่อนอิจฉาก็เลยอยากหาเรื่องหลินชิงเหอกันคะ?” อีกคนหนึ่งถึงกับปากสั่น
“มีอะไรน่าขันกันล่ะ? ต่อให้โจวชิงไป๋จะลาออกแล้ว มีผู้หญิงคนไหนในหมู่บ้านบ้างที่เทียบกับหล่อนได้ หล่อนไม่เคยทำไร่ทำนาเลยนับตั้งแต่แต่งงานกับโจวชิงไป๋” หญิงสาวคนที่สามเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ใครจะปฏิเสธเรื่องนี้ได้ล่ะ? ฉันได้ยินว่าหล่อนซื้อเนื้อกลับมากินทุกสามวันหรือประมาณนั้นด้วยล่ะ หล่อนช่างทนได้นะ”
“ดูจากเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ก็รู้ ปีนี้พวกเขาโตขึ้นมาก เจ้าสามเองก็เกือบจะเป็นเจ้าหมูน้อย ราวกับเทวดาน้อยในภาพวาดเลย”
“…”
หญิงสาวจำนวนมากต่างพูดคุยกันไปด้วยและขุดหาผักป่าในบริเวณนี้ไปด้วย
ส่วนหลินชิงเหอก็พาเจ้ารองกับเจ้าสามไปขุดหาผักตรงอีกด้านหนึ่ง เธอสลัดหวังหลิงทิ้งจากใจ คน ๆ นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับสะใภ้รองและชอบนินทาอยู่เสมอ ตราบใดที่หล่อนไม่สาระแนต่อหน้าเธอ เธอก็ไม่สนใจ แต่คราวนี้หล่อนกลับปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นถึงขั้นมาเยาะเย้ยต่อหน้าเธอ เธอก็เลยไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วย
สามแม่ลูกเก็บผักป่าไปด้วยเล่นไปด้วย จากนั้นหลินชิงเหอก็พาลูก ๆ ขึ้นไปเก็บเห็ดบนภูเขา เนื่องจากไม่กี่วันก่อนมีฝนฤดูใบไม้ผลิตกปรอย ๆ ติดต่อกันสี่ถึงห้าวัน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เข้าไปในป่าลึกมากนักเพราะมีเจ้ารองกับเจ้าสามไปด้วย พวกเขาจึงทำเพียงหาเห็ดตามชายป่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเจอเห็ดจำนวนมากอยู่ดี
สามแม่ลูกออกจากบ้านมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง และมันก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว
เห็ดดอกที่มีสภาพสมบูรณ์ดีถูกวางไว้บนตะแกรงเพื่อทำเป็นเห็ดตากแห้งไว้ใช้ในยามขัดสน ส่วนดอกที่หักเสียรูปนั้นเธอจะนำไปผัดเป็นอาหารเย็นนี้ ซึ่งเห็ดที่เพิ่งเก็บมามีความสดอร่อยมาก
ส่วนผักป่าที่เก็บมาได้ก็แค่นำมาล้างและผัด แถมยังมีเนื้อหมู เนื้อซี่โครง และไข่ที่เหลือในหม้อจากเมื่อกลางวันอยู่อีก ดังนั้นคืนนี้เธอจะทำอาหารจานผัดสองจาน จากนั้นก็นึ่งหมั่นโถวข้าวโพดบางส่วน บวกแกงจืดอีกชามหนึ่งเข้าไปก็น่าจะพอ
หลินชิงเหอพาเจ้ารองกับเจ้าสามกลับบ้าน จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขารินน้ำดื่มดับกระหาย และให้นมอัดเม็ดกับเด็กชายทั้งสองก่อนที่พวกเขาจะออกไปวิ่งเล่น
ส่วนเธอเองก็ปรุงอาหารหมู
ผักป่าส่วนใหญ่ที่เก็บมาได้นั้นเอาไว้เลี้ยงหมู หมูสองตัวในบ้านของเธอล้วนเป็นหมูพันธุ์ดี เมื่อถึงวันที่ต้องส่งเข้าโรงเชือด น้ำหนักตัวละ 200 ชั่งคงไม่เป็นปัญหา
หากพวกมันสร้างเนื้อได้ 200 ชั่ง ก็จะนับว่าเป็นหมูอ้วนพีในยุคนี้ และผู้เลี้ยงก็จะได้แต้มค่าแรงเพิ่มเป็นพิเศษ
และเมื่อถึงเวลาต้องแจกจ่ายเนื้อ ครอบครัวของพวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่ง
แม้กลิ่นมูลหมูจะเหม็นฉุน แต่หลินชิงเหอก็ยังทนได้ อีกอย่างเธอมีหน้าที่เลี้ยงพวกมัน ส่วนเรื่องทำความสะอาดเล้าหมูนั้นเป็นหน้าที่ของโจวชิงไป๋
ความจริงก็คือเธอเป็นคนเลี้ยงพวกมันสองครั้งต่อวัน ครั้งหนึ่งในตอนเช้าและอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่าย ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของโจวชิงไป๋
ยิ่งกว่านั้นการเลี้ยงหมูเพื่อเอาเนื้อยังไม่ใช่แหล่งทำเงินเพียงแหล่งเดียว หากขนมูลสุกรไปให้ฝ่ายผลิตได้ มันก็จะนับเป็นแต้มค่าแรงอีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการทั้งหมดโดยที่หลินชิงเหอจะไม่เข้ามายุ่ง
เธอมีคนของเธอจัดการเรื่องนี้แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องทำมัน เธอเป็นคนเสแสร้งแบบนี้แหละ ไม่ต้องพูดเธอก็รู้อยู่แก่ใจ
ไม่อย่างนั้นแล้วเธอจะเป็นห่วงโจวชิงไป๋ผู้ชายน่าสงสารคนนี้ทำไมล่ะ
หลังเลี้ยงหมูและรดน้ำผักในสวนเสร็จ งานทั้งหมดที่ต้องทำก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หลินชิงเหอล้างมือและใบหน้าจนสะอาดก่อนเข้าครัวเพื่อดูว่าแป้งขึ้นฟูได้ที่แล้วหรือยัง และพบว่ามันเกือบจะขึ้นตัวดีแล้ว เธอเลยยังไม่แตะต้องมัน แต่หยิบผ้าที่เหลืออยู่ในบ้านออกมาเย็บรองเท้าแตะสำหรับสวมใส่ในบ้านให้โจวชิงไป๋แทน
พอถึงสี่โมงเย็น เจ้าใหญ่ก็เลิกเรียนและกลับมาที่บ้าน เมื่อเด็กชายเข้ามาในบ้านแล้วเขาก็พักดื่มน้ำก่อนออกไปเล่นนอกบ้าน หลินชิงเหอไม่ห่วงเรื่องที่สามพี่น้องออกไปเล่นนอกบ้านช่วงนี้ ตราบใดที่พวกเขาทำงานบ้านที่่ได้รับมอบหมายจนเสร็จ พวกเขาจะออกไปเล่นอะไรกันนั้นเธอจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งหากมันไม่ใช่เรื่องอันตราย
เมื่อใกล้จะได้เวลาแล้ว หลินชิงเหอก็วางมือจากรองเท้าผ้าที่ทำเสร็จไปครึ่งหนึ่งและเก็บเข็ม ด้าย และกรรไกรเข้าที่
เธอเดินเข้าไปในครัวและเริ่มลงมือทำหมั่นโถวข้าวโพดสำหรับอาหารเย็นนี้
หลินชิงเหอตั้งใจจะทำหมั่นโถวข้าวสาลีเต็มเมล็ดด้วย แต่เด็ก ๆ ไม่ชอบกินมันมากนัก ส่วนเธอกินได้ไม่มีปัญหา ขณะที่โจวชิงไป๋ไม่คัดค้าน
ในเมื่อเด็ก ๆ ไม่ชอบกินมัน เธอก็จะทำเพียงครั้งเดียว แต่เธอยังต้องทำมันอีกหลายครั้งในเดือนหน้า เป็นเช่นนั้นพวกเขาจะได้รู้ว่าการได้กินหมั่นโถวแป้งขาวกับหมั่นโถวข้าวโพดเป็นเรื่องที่วิเศษเพียงใด
และมันยังเป็นการดัดนิสัยพวกเขาไม่ให้เคยตัวจนกินของที่ไม่ชอบไม่ได้
แม่เลี้ยงหลินชิงเหอวางแผนไว้แบบนี้ ขณะที่มือของเธอเตรียมส่วนผสมที่จะทำอาหารเย็นนี้อย่างรวดเร็ว
เห็ดนั้นไม่ต้องใส่เนื้อหมูใด ๆ เพียงผัดในน้ำซุปที่เหลืออยู่ขลุกขลิกก็น่ารับประทานแล้ว ผักป่าเองก็สดมากเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงทำแกงจืดผักป่าอีกชามหนึ่ง
เป็นเรื่องง่ายที่จะทำอาหารสองหรือสามจาน ซึ่งอาหารทั้งหมดปรุงเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่กี่นาที
กว่าโจวชิงไป๋จะได้กลับบ้านก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว แม้ชายหนุ่มจะเผชิญกับความยากลำบากมา เขาก็ไม่บ่นอะไร แต่หลินชิงเหอก็สัมผัสได้ถึงแววเหนื่อยล้าเล็กน้อยในดวงตาของเขา
มันคงจะแปลกมากหากเขาไม่เหนื่อยเลยหลังจากทำงานติดต่อกันมานาน
“คุณไปล้างมือล้างเท้าแล้วเตรียมตัวมากินข้าวได้แล้วค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“อืม” โจวชิงไป๋มีท่าทางหิวโหยอย่างเห็นได้ชัด
หลังล้างหน้าล้างตา ล้างมือล้างเท้าแล้ว เขาก็นั่งลง จากนั้นเด็กชายสามพี่น้องก็กลับมาทันเวลาอาหารมื้อเย็นพอดี
หลังทานอาหารเสร็จ หลินชิงเหอก็บอกโจวชิงไป๋ “คุณหาเวลาไปซื้อหนังสือพวกนั้นมาให้ฉันได้ไหมคะ?”
“ฝ่ายผลิตขอให้ผมเข้าไปซื้อยาฆ่าแมลงวันมะรืน เดี๋ยวผมจะซื้อหนังสือมาฝากคุณด้วยแล้วกันนะ” โจวชิงไป๋ตอบ
“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอตอบรับ
เธอคงไม่ใช่เด็กนักเรียนแล้วเมื่อการสอบเข้าวิทยาลัยมาถึง แต่แล้วไงล่ะ? ก้าวแรกของการศึกษาไม่จำกัดอายุนี่ เมื่อเวลานั้นมาถึงเธอก็จะสมัครสอบเข้าแน่นอน!
“คุณเหนื่อยมากแล้ว หลังอาบน้ำเสร็จไปนอนพักเสียเถอะค่ะ เดี๋ยวหลังจากนั้นฉันจะเลี้ยงหมูให้เอง ส่วนอึหมูก็ค่อยมาทำความสะอาดพรุ่งนี้ก็ได้” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างเป็นห่วง
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หวังหลิงจ๊ะ ถ้ายังสวยและรวยไม่พอ อย่ามาฟาดกับแม่ชิงเหอค่ะ โดนแม่ฉอดกลับเป็นไงล่ะ อายไหมจ๊ะหนู
อา…ชิงเหอทำร้ายผู้แปลรัว ๆ เลยค่ะตอนนี้ เห็ดนี่เป็นอาหารโปรดของผู้แปลเลยนะคะ โดยเฉพาะเห็ดโคนช่วงปลายฝนต้นหนาว หาทานยากมาก แพงมาก แต่อร่อยมาก แล้วผู้อ่านมีเห็ดชนิดไหนเป็นของโปรดกันบ้างคะ
แม่วางแผนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เอาใจช่วยแม่นะคะ
ไหหม่า (海馬)